ตอนที่ 152 โทษประหาร

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 152 โทษประหาร

อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น หรือเขาเกิดความโกรธเคืองเพราะไทเฮา?

“คุยเสร็จแล้วหรือ? ไปเถอะ พวกเราต้องไปที่ตำหนักอี๋ซิ่ง”

อวี้ชิงลั่วพยักหน้า ลุกขึ้นยืนก่อนจะฝากหนานหนานไว้กับเย่หลานเฉิง หลังจากนั้นจึงเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเย่ซิวตู๋

ระหว่างที่เดินอยู่บนถนนเส้นยาว เย่ซิวตู่ผู้เงียบขรึมมาโดยตลอดจึงเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ทางฝั่งหนานหนาน ข้าค่อยกลับมารับตัวเขาออกจากวังคืนนี้”

อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว นางไม่ได้บอกเรื่องที่ตัดสินใจจะให้หนานหนานอยู่ที่นี่ออกมา คำพูดนี้ไม่เหมาะสมที่จะพูดที่นี่

หลังจากชะงักไป จึงย้อนถามเบา ๆ “ไทเฮาพูดอะไรกับท่านหรือ?”

“เปล่า อย่าคิดมาก”

เย่ซิวตู๋ตอบเหมือนไม่อยากจะตอบ ทว่ามุมปากของเขากลับยกขึ้นราวกับกำลังเยาะเย้ย

คิดไม่ถึงเลย ไทเฮาอยู่ในตำหนักเสียงเหอของตนเองโดยไม่ถามความเป็นจริงใด ๆ ทว่ากลับรู้เรื่องต่าง ๆ ทั้งหมด ตอนนี้ยังเข้ามายุ่งเรื่องราวในชีวิตของเขาด้วยการใช้อำนาจที่เหนือกว่า เหอะ บอกให้เขายอมแต่งงานกับหลิ่วเซียงเซียงแต่โดยดี อย่าได้คิดถึงเรื่องสตรีอื่น?

พระนางอายุมากจนมองเห็นสถานการณ์ไม่ชัดเจนแล้วจริง ๆ หรือคิดว่าเย่ซิวตู๋อย่างเขาเป็นแค่เด็กสิบกว่าขวบ?

เรื่องของเขาแม้แต่เสด็จพ่อยังไม่อาจเข้ามาแทรกแซง นับประสาอะไรกับพระนาง?

พระนางคิดว่าทุกคนต่างก็หวงแหนตำแหน่งท่านอ๋องนี้ ตำแหน่งนี้ไม่คุ้มค่าที่จะแลกด้วยชีวิตของเขาหรอก

อวี้ชิงลั่วกลอกตาใส่เขา นางไม่ได้คิดมากอะไรเลย แต่ท่าทางของเขาดูผิดปกติต่างหากล่ะ

ทั้งสองคนเดินอย่างเงียบ ๆ ตลอดทาง เพียงไม่นาน ก็มายืนอยู่ที่หน้าประตูของตำหนักอี๋ซิ่ง

ตำหนักอี๋ซิ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย หมอหลวง นางข้าหลวงและขันทีพากันวิ่งเข้าวิ่งออก ทหารคุ้มกันก็เฝ้าระวังอย่างหนาแน่น ราวกับมีศัตรูกลุ่มใหญ่มาเยือนอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเห็นเขาเดินทางมาถึงที่นี่ ขันทีของตำหนักอี๋ซิ่งก็รีบเข้ามาคารวะ “บ่าวคารวะท่านซิวอ๋อง”

“เราได้ยินมาว่าน้องเจ็ดได้รับบาดเจ็บเพราะนักฆ่า สถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง?”

“รายงานท่านอ๋อง อาจารย์เสิ่นและหมอหลวงมาดูอาการให้องค์ชายเจ็ดแล้ว อาการเจาะจงเป็นเช่นไรบ่าวเองก็ไม่ทราบแน่ชัด ตอนนี้ฮ่องเต้และกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกำลังดูอาการองค์ชายเจ็ดอยู่ด้านในขอรับ”

เย่ซิวตู๋พยักหน้า ก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าไปด้านใน

อวี้ชิงลั่วก้าวเท้าไปด้านหน้าสองก้าว ทว่ากลับถูกขันทีผู้นั้นขวางทางไว้ด้านนอก นางถึงกับบุ้ยปากและถอยไปข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหน

เย่ซิวตู๋ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปไกล ก็ได้ยินเสียงของเหมิงกุ้ยเฟยพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “กล้าฆาตกรรมภายในวัง ช่างกล้าหาญอะไรเช่นนี้ ฝ่าบาท หากจับตัวบุคคลผู้นี้ได้ ต้องตัดสินโทษด้วยการประหารชีวิตนะเพคะ”

“กุ้ยเฟยอย่าได้เป็นกังวล เราสั่งให้ทหารเฝ้าระวังที่ประตูวังอย่างแน่นหนาแล้ว หากมีใครที่น่าสงสัยเข้าออกวัง ย่อมจับตัวคนร้ายที่ทำร้ายฮ่าวถิงได้เป็นแน่”

หลังจากกล่าวจบจึงหันไปถามหมอหลวงข้าง ๆ “พิษของฮ่าวถิง พวกเจ้าเคยเห็นมาก่อนหรือไม่?”

เหล่าหมอหลวงหันมองคนนั้นทีคนนี้ที ท้ายที่สุดจึงคุกเข่าลงบนพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทิ้ม “ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย กระหม่อมไม่เคยเห็นพิษนี้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมสามารถสกัดส่วนประกอบบางส่วนของพิษนี้ได้ ในนี้ประกอบไปด้วย ประกอบไปด้วย…เห็ดพิษที่เติบโตอยู่บนเขาจี้เป่ยของอาณาจักรเทียนอวี่ งูพิษที่อยู่ในป่าของอาณาจักรหลิวอวิ๋น แล้วก็ ยังมีหญ้าพิษที่มีชื่อเรียกว่า ‘เซียงเก๋อ’ อยู่ทางเหนือของอาณาจักรเฟิงชางของเราพ่ะย่ะค่ะ”

“อะไรนะ?” เหมิงกุ้ยเฟยถึงกับตกใจ ในยาพิษนี้มีส่วนประกอบมากมายขนาดนั้น เป็นใครกันแน่ถึงได้มีฝีมือมากมายคิดจะฆ่าฮ่าวถิงให้ตาย?

หมอหลวงถึงกับเหงื่อซึมบนหน้าผาก “ฝ่าบาท เหนียงเหนียง อาจารย์เสิ่นบอกว่าสามารถผลิตยาถอนพิษออกมาได้ เช่นนั้นย่อมต้องทำได้ กระหม่อมจะช่วยเหลืออาจารย์เสิ่น พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยองค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”

หมอหลวงเหลียงเห็นอาจารย์เสิ่นก็รู้สึกไม่ถูกโฉลก หมอที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดกลับชี้มือชี้ไม้สั่งหมอหลวงอย่างพวกเขา ท่าทางดูเย่อหยิ่งราวกับตนเองเป็นหัวหน้า เขาบอกว่าสามารถผลิตยาถอนพิษได้มิใช่หรือ? เขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะถอนพิษให้องค์ชายเจ็ดได้หรือไม่

เหมิงกุ้ยเฟยได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็เกิดความรู้สึกโล่งใจไม่น้อย ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่อาจารย์เสิ่นผู้ที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จา

แม้ภายนอกอาจารย์เสิ่นจะดูใจเย็น ทว่าภายในกลับเกิดอาการใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ยาถอนพิษนี้…ยาถอนพิษนี้เขาจะไปหามาจากที่ใด? ตอนนี้แค่ยับยั้งพิษขององค์ชายเจ็ดได้ก็นับว่าเป็นความพยายามที่มากที่สุดของเขาแล้ว เขาจะถอนพิษบนตัวขององค์ชายเจ็ดจนหมดเกลี้ยงได้อย่างไรกัน?

เย่ซิวตู๋ที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูแอบกระตุกมุมปากเบา ๆ ในที่สุดจึงยกมือส่งสัญญาณให้ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากพูดออกมา

ขันทีผู้นั้นแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะพูดเสียงดังว่า “ท่านอ๋องซิวมาถึงแล้ว”

คนที่อยู่ในห้องเงียบขรึมลงทันใด จากนั้นเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “ซิวเอ๋อร์มาแล้ว รีบเข้ามา”

เย่ซิวตู๋ก้าวเท้าผ่านประตูด้วยการย่างก้าวที่มั่นคง ก่อนจะคารวะฮ่องเต้และเหมิงกุ้ยเฟย

ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ เหมิงกุ้ยเฟยทำแค่เพียงเหลือบมองเขา ตอบ ‘อืม’ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะกลับไปสนใจอยู่ที่ตัวของเย่ฮ่าวถิงอีกครั้ง

ฮ่องเต้สั่งให้คนย้ายเก้าอี้มาให้เย่ซิวตู๋ และเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ซิวเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าจะมาคารวะหมู่เฟยมิใช่หรือ? เหตุใดถึงเพิ่งมา?”

ฮ่องเต้ไม่เข้าพระทัยเท่าไรนัก ตอนที่เหมียวเชียนชิวมากระซิบข้างพระกรรณของพระองค์ว่าเหมิงกุ้ยเฟยจับตัวเสิ่นอิงไป พระองค์จึงคิดว่าเย่ซิวตู๋คงรีบมาหากุ้ยเฟยเพื่อขอคนของเขาคืนในทันที คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับเพิ่งปรากฎตัวหลังเรื่องผ่านมานานขนาดนี้

เย่ซิวตู๋พูดเสียงเบาด้วยใบหน้าเรียบเฉย อธิบายว่า “เดิมทีลูกจะมาคารวะหมู่เฟย เพียงแต่ตอนที่เดินมาเห็นว่าน้องเจ็ดมาที่นี่ ลูกจึงคิดว่าหมู่เฟยคงอยากคุยกับน้องเจ็ด จึงตัดสินใจว่าจะเข้ามาคารวะช้ากว่าเดิมสักหน่อย อีกอย่างลูกกลับมาถึงเมืองหลวงนานขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าเลย สีปีที่ไม่เจอกันย่อมเกิดความคิดถึง ลูกจึงไปที่ตำหนักเสียงเหอ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนไปถึงมุมตะวันตกเฉียงเหนือของวังเสียงเหอจะได้เห็นซื่อจื่อสามสี่คนกำลังทะเลาะกัน ถึงอย่างไรหลานเฉิงก็เป็นทายาทของรัชทายาท ลูกจะไม่สนใจก็คงไม่ได้…”

เย่ซิวตู๋คาดว่าต่อให้เย่หลานเวยและคนอื่น ๆ ออกจากวังไปฟ้องบิดามารดาของตนเอง เหล่าองค์ชายทั้งสามก็คงเข้าวังมาไม่ทันอยู่ดี และคงไม่เลือกที่จะมาฟ้องฮ่องเต้ขณะที่องค์ชายเจ็ดได้รับพิษ

ด้วยเหตุการณ์ประจวบเหมาะ เขาจึงใช้โอกาสในครั้งนี้อธิบายถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้

ส่วนจะตัดสินอย่างไร ก็คงต้องรอดูว่าฮ่องเต้จะว่าอย่างไร

เมื่อเห็นแววโกรธเคืองที่อยู่ด้านในสายพระเนตรของฮ่องเต้ มุมปากของเย่ซิวตู๋จึงกระตุกขึ้นเบา ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ต้องเติมน้ำมันเชื้อไฟเข้าไปแล้ว

“เหอะ ซิวเอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นคนมีจิตใจเมตตาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรหรือ?” แม้ว่าความสนใจทั้งหมดของเหมิงกุ้ยเฟยจะอยู่บนตัวขององค์ชายเจ็ด แต่คำพูดของเย่ซิวตู๋ก็ดังเข้าไปในหูของนางทุกคำไม่ขาดแม้แต่คำเดียว “มีเวลาว่างไปสนใจเรื่องของเด็ก ๆ ขณะที่น้องเจ็ดของเจ้าถูกลอบสังหาร เจ้าในฐานะพี่ชายมาถึงที่นี่ได้เร็วจริง ๆ”

เย่ซิวตู๋ก้มหน้าเบา ๆ “หมู่เฟยพูดถูก ครั้งหน้าลูกจะรีบมาในทันที”

“เจ้า…” ครั้งหน้า? นี่เขายังกล้าสาปแช่งฮ่าวถิงให้มีครั้งหน้าอีกหรือ

เหมิงกุ้ยเฟยมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง หันกลับมาเพื่อจะฟ้องฮ่องเต้ว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ถูกต้อง คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เหมียวกงกงจะเดินเข้ามากระซิบข้างพระกรรณของฮ่องเต้สองสามประโยค ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ทอดมองไปยังองค์ชายเจ็ดที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ใช้พระหัตถ์ตบหลังมือเหมิงกุ้ยเฟยอีกครั้ง ตรัสว่า “ตอนนี้ฮ่าวถิงไม่เป็นอะไรเราก็สบายใจแล้ว เรายังมีเรื่องที่ยังไม่ได้สะสาง ทางนี้คงต้องฝากเหมิงกุ้ยเฟยแล้ว”

เหมิงกุ้ยเฟยมีเหตุผลมากในเรื่องนี้ นางพยักหน้า ส่งฮ่องเต้ออกจากตำหนักอี๋ซิ่งด้วยความนอบน้อม

ตอนที่หันกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าเย่ซิวตู๋กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะและจิบน้ำชาอย่างช้า ๆ เมื่อสายตาของเขาประสานเข้ากับนาง จึงแย้มยิ้มกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เรื่องเกี่ยวกับน้องเจ็ด ข้าก็มีอะไรอยากจะคุยกับหมู่เฟยสักหน่อย”

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

หมอเสิ่นเลิกลั่กแล้ว คนที่จะโดนประหารน่าจะเป็นหมอเสิ่นมากกว่านะ ฐานหลอกลวงจักรพรรดิ

เอาล่ะ ท่านอ๋องซิวจะดัดหลังแม่ตัวเองยังไงนะ

ไหหม่า(海馬)