บทที่ 222 เสี่ยวเป่าเริงร่า

บทที่ 222 เสี่ยวเป่าเริงร่า

เมื่อหนานกงจ้านได้รับคำชื่นชมจากหลานสาวตัวน้อย หัวใจก็พลันสั่นไหวราวกับมีดอกไม้ไฟจุดประกายในใจเขา

แต่ภายนอกเขายังคงเคร่งขรึมดุดันชวนให้เหล่าเด็กเล็กตกใจกลัวจนร้องไห้

“เจ้า… ไม่กลัวข้าหรือ”

หนานกงจ้านสัมผัสรอยแผลเป็นบนใบหน้าของตน เขารู้ว่ามันน่าเกลียดน่ากลัวเพียงใด กระทั่งบุตรชายในวัยเด็กของเขายังหวาดกลัวและร้องไห้จ้าทันทีที่เห็น แม้โตแล้ว แต่ความหวาดกลัวนั้นก็ยังกลายเป็นความยำเกรง

“เสี่ยวเป่าไม่กลัว”

นอกจากเสี่ยวเป่าจะไม่กลัวแล้ว นางยังโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ ท่านอาสี่พลางเขย่งเท้าและยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้า ไม่มีความรังเกียจหรือหวาดกลัวในดวงตาใสซื่อของเด็กน้อย มีเพียงความทุกข์ใจเท่านั้น

“ท่านอาสี่ต้องเจ็บมากแน่ ๆ เดี๋ยวเสี่ยวเป่าจะเป่าให้ท่านอาสี่เอง ฟู่ ๆ ๆ ไม่เจ็บแล้ว”

หนานกงจ้าน “!!!”

นัยน์ตาคมกริบมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมดุจหมาป่าคู่หนึ่งเบิกกว้างในทันที เขาประหม่าจนทำตัวไม่ถูก

หนานกงหลีที่กำลังมองคนทั้งสองอยู่ข้าง ๆ พลันรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ

“เสี่ยวเป่า ทีกับอาเจ็ดเจ้าไม่เห็นปฏิบัติดีด้วยเช่นนี้เลยเล่า”

น้ำเสียงแสดงให้เห็นถึงอาการน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด เสี่ยวเป่าจึงรีบหันมาพูดเอาอกเอาใจเขา

“เสี่ยวเป่าก็ปฏิบัติกับท่านอาเจ็ดเหมือนกันนั่นแหละ เมื่อครู่ท่านอาเจ็ดเก่งกาจมาก ทุบตีคนพวกนั้นจนพวกเขาร้องแทบไม่ออกเลย”

หนานกงหลีได้ยินเช่นนั้นก็เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ “นั่นก็จริง”

อาหารที่มาใหม่ส่วนใหญ่ถูกสั่งมาเพื่อหนานกงจ้าน

“ท่านอาสี่หิวหรือไม่ รีบกินข้าวเร็ว”

“ท่านอาสี่เหนื่อยหรือไม่ กินอิ่มแล้วพวกเรารีบกลับกันเถอะ ท่านจะได้พักผ่อนเร็ว ๆ”

“ท่านอาสี่กินอันนี้ด้วย อันนี้อร่อยมากเลย”

เสี่ยวเป่าเป็นคนเข้ากับคนง่าย เจอหน้ากันครั้งแรกแต่รู้สึกเหมือนได้พบสหายเก่า ยิ่งเป็นญาติของตน นางก็ยิ่งเข้าหาอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น

แน่นอนว่าสายใยสัมพันธ์ก็มีส่วน เพราะเสี่ยวเป่าสัมผัสได้ถึงความรักความเมตตาที่พวกเขามีต่อนาง เป็นเหตุให้นางกล้าทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมอย่างเร็วไว

ส่วนหนานกงจ้านนั้น เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองเช่นนี้มาก่อน แม้แต่บุตรชายของตนก็ยังไม่เคยใกล้ชิดถึงเพียงนี้

เสี่ยวเป่าขี้อ้อนราวกับแมวน้อย เดินแกว่งหางปุกปุยพันแข้งพันขาท่านอาสี่ไม่ห่าง

“ต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่เสียก่อน”

เขาให้คำตอบแก่เสี่ยวเป่าผู้ต้องการให้เขากลับไปพักผ่อนทันทีที่มื้ออาหารจบลง

ที่จริงแล้วเขาเองก็เหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย เพื่อกลับมาให้ถึงก่อนกำหนด ทั้งคนทั้งม้าต้องเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลทั้งวันทั้งคืน

ทว่าพอมาถึงก็ดันบังเอิญพบเข้ากับพวกเผ่าหมานที่มาหาเรื่องน้องเจ็ดกับแม่นางน้อยข้าง ๆ กาย หนานกงจ้านจึงลงมือสั่งสอนคนพวกนั้นอย่างไม่ลังเล

โชคดีที่เขามาทันเวลาพอดี ไม่เช่นนั้นหลานสาวตัวน้อยของเขาอาจจะตกใจกลัวเป็นแน่

แต่ถึงเหนื่อยอย่างไร สิ่งแรกที่เขาควรจะต้องทำเมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงก็คือการไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่

เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายทันทีที่ได้คำตอบพลางฉีกยิ้มจนตาหยี

“เช่นนั้นเสี่ยวเป่ากับท่านอาสี่ไปหาท่านพ่อด้วยกัน”

หนานกงหลี “อะแฮ่ม…”

อันใดกัน เจ้าหลานตัวน้อยนี่พอมีท่านอาสี่แล้วก็ลืมท่านอาเจ็ดผู้นี้ไปเลยหรือ!

เสี่ยวเป่าหันมาถามเขาตาแป๋ว “ท่านอาเจ็ดจะไปหาท่านพ่อด้วยกันหรือไม่”

หนานกงหลี “เจ้ามีอาสี่แล้ว อาเจ็ดผู้นี้ยังสำคัญกับเจ้าอยู่อีกหรือ”

ผู้เป็นอากล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

เสี่ยวเป่ารู้ทันทีว่าอาเจ็ดของนางกำลังงอน จึงรีบคีบลูกชิ้นกุ้งให้เขา

“ท่านอาเจ็ดกินนี่สิ ท่านอาเจ็ดย่อมสำคัญกับเสี่ยวเป่าอยู่แล้ว”

ฮึ่ม… เหตุใดผู้ใหญ่พวกนี้ถึงอยากให้เด็กเอาอกเอาใจอยู่เรื่อยเลยนะ

ช่างเป็นภาระที่นางเต็มใจจะรับไว้

เสี่ยวเป่าทำหน้าหนักใจราวกับผู้ใหญ่เอือมระอาบุตรหลาน

เมื่อท้องอิ่ม เสี่ยวเป่าก็จูงมืออาทั้งสองคนละข้างพร้อมกระโดดดึ๋ง ๆ ไปขึ้นรถม้า

“ออกเดินทางได้ ไปหาท่านพ่อกัน!”

เสียงเล็ก ๆ ร่าเริงสดใส

แล้วคนขับก็บังคับรถม้ามุ่งหน้าสู่วังหลวง

ภายในรถม้า เจ้าก้อนแป้งพูดจ้อไม่หยุดเหมือนมีเรื่องราวมากมายที่นางอยากจะบอกเล่าแก่อาสี่ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก

“พอพี่ใหญ่กลับมาเดินได้แล้ว เขาก็ออกมาเที่ยวเล่นกับพวกพี่ ๆ และเสี่ยวเป่าได้ ส่วนพี่รองก็จะกลับเมืองหน้าด่านหลังวันเกิดท่านพ่อ คราวก่อนพี่รองไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เตรียมสิ่งใดติดตัวไปมากพอ ถึงได้ลำบากไม่น้อย คราวนี้เสี่ยวเป่าก็เลยจะเตรียมขนมอบไว้ให้เขากินระหว่างทางจะได้ไม่หิว ส่วนพี่สามก็คิดค้นเครื่องมือที่น่าทึ่งมาก ช่วยเหลือชาวนาได้ไม่น้อย…”

เสี่ยวเป่าทำไม้ทำมือขณะที่พูดถึงพี่ชาย ท่านพ่อ และอาเจ็ด เพราะการมีอยู่ของนาง รถม้าที่เคยเงียบเหงาจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาในบัดดล

หนานกงจ้านตั้งใจฟัง ไม่รู้สึกรำคาญเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกแปลกใหม่กับบรรยากาศเช่นนี้

เพราะไม่เคยมีผู้ใดคุยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้กับเขามาก่อน เขาอยู่กับเรื่องรบราฆ่าฟันมาทั้งชีวิต เรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตพวกนี้ เขาแทบไม่ได้คลุกคลีด้วยเลย

พอได้มาฟังเรื่องที่หลานสาวตัวน้อยบอกเล่า เขาก็เหมือนอยากจะลองใส่ใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้บ้าง

“ท่านอาสี่ เสี่ยวเป่าจะบอกความลับบางอย่างให้ฟัง เสี่ยวเป่าแอบเตรียมของขวัญที่จะทำให้ท่านพ่อประหลาดใจมาก ๆ เพียงแต่เสี่ยวเป่ายังไม่ได้บอกเขา คิกคิก…”

เด็กเล็กซุกซนแต่ก็เฉลียวฉลาดในทีทำให้ผู้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย

หนานกงจ้านมองเสี่ยวเป่าด้วยสายตาวูบไหว มุมปากและคิ้วที่เหยียดตรงพลันเริ่มโค้งขึ้น

รอยยิ้มนี้เหมือนจะทำให้แผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัว ท่าทางโหดเหี้ยมกระหายเลือดบนร่างกายของเขาเจือจางลง

“ว้าว! ท่านอาสี่ยิ้มแล้วดูดีมาก ท่านพ่อเองเวลายิ้มก็หล่อเหลามากเช่นกัน”

แม้ในเวลาเช่นนี้เสี่ยวเป่าก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยชมท่านพ่อของตน

หนานกงหลีจ้องหน้าพี่สี่พลางบ่นพึมพำ “ดูดีอันใดกัน ข้าว่าชวนขนหัวลุกเสียมากกว่า”

หนานกงจ้านปรายตามองนิ่ง ๆ

หนานกงหลีจึงหุบปากอย่างรวดเร็ว

จะเกินไปแล้ว เสด็จพี่กับพี่สี่ คนหนึ่งก็เย็นชา คนหนึ่งก็โหดเหี้ยม มีเพียงคนน่าสงสารเช่นเขาที่ถูกรังแกอยู่ผู้เดียว!

รถม้าเคลื่อนตัวมาหยุดภายในวัง เสี่ยวเป่ารีบคว้ามืออาทั้งสองคน ก่อนจะออกตัววิ่งไปหาท่านพ่อตามทางที่แสนคุ้นเคย

“ท่านพ่ออยู่หรือไม่”

คนตัวเล็กเอ่ยถามราชองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูเสียงใส

“กราบทูลองค์หญิง ฝ่าบาททรงประทับอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

“เรารีบไปหาท่านพ่อกันเถอะท่านอาสี่”

เมื่อได้ยินว่าท่านพ่ออยู่ที่นี่ ขาสั้น ๆ ก็รีบวิ่งเข้าไปอย่างร่าเริง

“ท่านพ่อ ๆ รีบออกมาดูเร็วเข้าว่าเสี่ยวเป่าพาผู้ใดกลับมาด้วย!”

ตัวคนยังไปไม่ถึงจุดหมาย เจ้าก้อนแป้งก็ส่งเสียงใส ๆ ตะโกนเข้าไปข้างในเป็นการล่วงหน้า น้ำเสียงเริงร่าประหนึ่งกำลังโบยบิน ทำให้ผู้ใดก็ดูออกว่านางมีความสุขมากเพียงใด

ด้านหนานกงหลีนั้นเริ่มอิจฉาขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนหนานกงจ้านกลับรู้สึกเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก

หนานกงสือเยวียนได้ยินเสียงสดใสของบุตรสาวแล้ว แต่ยังคงทำสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ต่อไปด้วยท่าทางไม่รีบไม่ร้อน

“ท่านพ่อดูสิ ท่านอาสี่ ๆ กลับมาแล้ว!”

หนานกงสือเยวียนถึงได้เงยหน้าขึ้นมองพวกเขา

“ถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงจ้านในชุดเกราะดูสง่าผ่าเผยทั้งยังน่าเกรงขามยิ่ง คุกเข่าข้างหนึ่งและกำหมัดไว้ตรงหน้าเพื่อทำความเคารพตามธรรมเนียมมารยาทของเหล่าแม่ทัพ

หนานกงสือเยวียนเพียงพยักหน้า แม้นี่จะเป็นการพบหน้าน้องชายที่ไม่ได้เจอกันมานาน ทว่าสีหน้าเขาก็ยังเย็นชาเช่นเคย

“อืม จัดที่นั่งให้เจิ้นหนานอ๋อง”

หนานกงหลีรีบเสนอหน้าทันที “เสด็จพี่แล้วข้าเล่า เหลือข้าอีกคน”

หนานกงสือเยวียนปรายตามองนิ่ง ๆ “ตามไปบอกฝูไห่เอง”

“ก็ได้”

หลังจากทั้งคู่นั่งประจำที่ของตนแล้ว เสี่ยวเป่าก็หันมองท่านอาทั้งสองสลับกับท่านพ่อของตน ก่อนจะวิ่งไปปีนขึ้นตักท่านพ่ออย่างช่ำชอง

หนานกงจ้านที่เห็นการกระทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก “!!!”

ใจถึงกับเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะกลัวว่าเสด็จพี่จะดุเสี่ยวเป่า

ส่วนหนานกงหลีนั้นเพียงมองภาพตรงหน้าอย่างชินชา