บทที่ 223 รังแกกันเกินไปแล้ว

บทที่ 223 รังแกกันเกินไปแล้ว

เมื่อเห็นว่าทุกคนยังสงบนิ่งเหมือนคุ้นชินกับภาพตรงหน้า เจิ้นหนานอ๋องที่กระวนกระวายใจก็พูดอันใดไม่ออก “…”

คงเป็นเพราะเขาจากไปนานเกินไป ถึงได้เข้าใจบางอย่างในตัวฝ่าบาทผิดไปหรือไม่

แม้สิ่งที่เขากังวลจะไม่เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังไม่สบายที่ใจที่เห็นเสี่ยวเป่าซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของฝ่าบาท

เขาจำได้ว่า… เสด็จพี่ไม่ชอบให้ผู้ใดมาแตะต้องตัวเขาเกินความจำเป็นมิใช่หรือ

“ท่านพ่อ วันนี้เสี่ยวเป่ากับท่านอาเจ็ดเกือบจะถูกรังแกด้วย…”

เด็กเล็กปีนขึ้นนั่งบนตักเสร็จแล้วก็เริ่มฟ้องผู้เป็นพ่อทันที หึ ๆ องค์ชายผู้นั้นอยากโอ้อวดนักมิใช่หรือ ข้าเองก็มีเสด็จพ่อเป็นฮ่องเต้เหมือนกันนั่นแหละ!

หนานกงสือเยวียน “แล้วเจ้าอยากจะลงโทษพวกเขาอย่างไร”

น้ำเสียงยังคงราบเรียบ เหมือนไม่ได้ใส่ใจพวกเผ่าหมานเลยสักนิด

นั่นเป็นความจริง แม้ในยามที่เผ่าหมานรุ่งเรืองอยู่ พวกเขายังแทบไม่อยู่ในสายตาหนานกงสือเยวียน นับประสาอันใดกับยามที่เผ่าหมานถูกรุกรานจนต้องอยากจะเจรจาสงบศึก

เสี่ยวเป่าพิงอกท่านพ่อ ดวงตาวาวใสเหมือนผลึกหินวูบไหวอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวเป่าไม่รู้ ท่านพ่อลองถามท่านอาเจ็ดดูสิเพคะ”

หนานกงหลี “ย่อมปล่อยพวกเผ่าหมานไปไม่ได้ พวกเขามาที่นี่เพื่อเจรจาสงบศึกมิใช่หรือ แต่สิ่งที่พวกเขาทำมันคือความสันติแบบใด เสด็จพี่ให้ข้าไปกับคณะราชทูตเถิด หากข้าไม่สามารถเรียกค่าเสียหายจากคนพวกนั้นได้แม้สักตำลึงเดียว ก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าเซียวเหยาอ๋อง!”

ความสันติระหว่างอาณาจักรจะต้องมีการเจรจาต่อรอง ดูสิว่าหนานกงหลีผู้นี้จะไม่สามารถใช้เพียงคำพูดทำให้คนพวกนั้นเดือดดาลได้ เขาจะต้องผิดหวังในตัวเองที่สุด หากไม่ใช้โอกาสนี้จัดการพวกเผ่าหมานให้หลาบจำ

หนานกงสือเยวียนปรายตามองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ “อนุญาต”

หนานกงหลีเริ่มคิดว่าจะจัดการรีดเลือดพวกเผ่าหมานอย่างไรบ้าง

หนานกงจ้านรายงานสถานการณ์ทางฝั่งเขาแก่หนานกงสือเยวียน ก่อนจะได้รับอนุญาตให้กลับไปพักผ่อน

เมื่อถึงยามเดินทางออกจากวังหลวง เสี่ยวเป่าเองก็มาส่งเขาด้วย

“ท่านอาสี่พักผ่อนให้เต็มที่นะเพคะ พรุ่งนี้เสี่ยวเป่าจะไปหาท่าน~”

หนานกงจ้านย่อตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อลูบหัวนาง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ “ได้”

เมื่อเขาออกเดินทางแล้วยังหันกลับมามองคนข้างหลังตั้งสามครั้งสามหน และทุกครั้งก็ยังเห็นคนตัวเล็กยืนอยู่ที่เดิมพร้อมโบกมือให้เขาไม่หยุด

เป็นครั้งแรกที่ชายผู้เงียบขรึมเกิดความคิดเหมือนเด็กหัวรั้น นึกอยากจะเรียกร้องความสนใจจากคนผู้หนึ่งแข่งกับเสด็จพี่

เพียงแค่หลานสาวตัวน้อยไม่ใช่บุตรสาวของตนก็รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์นักแล้ว

แต่ความจริงแล้วที่เขาอยากมีบุตรสาวนั้นได้รับอิทธิพลมาจากเจ้าเจ็ด เมื่อก่อนคนผู้นั้นเอาแต่พร่ำเพ้อถึงข้อดีของการมีบุตรสาวมาก ๆ พอยิ่งเห็นว่าในจวนมีเพียงบุตรชาย จึงเกิดคล้อยตามจนปรารถนาที่จะมีบุตรสาวกับเขาบ้าง

แต่เขากับเจ้าเจ็ดก็ไม่มีผู้ใดให้กำเนิดบุตรสาวได้เลยสักคน จะกี่ครั้งกี่หนก็เป็นบุตรชายอยู่ร่ำไป

บัดนี้ได้พบหน้าหลานสาวตัวน้อยของเขาแล้ว เขากลับไม่อยากที่จะให้กำเนิดบุตรสาวอีกแล้ว แต่อยากจะลักพาตัวหลานสาวไปเป็นบุตรสาวของตนแทน

แม้ในใจเขาจะเกิดความคิดมากมายเพียงใดก็ตาม แต่สีหน้าท่าทางภายนอกนั้นก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นเจิ้นหนานอ๋องผู้โหดเหี้ยมเงียบขรึมเช่นเดิม

หลังจากส่งอาสี่แล้ว เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้กลับไปหาท่านพ่อแต่อย่างใด ทว่าวิ่งไปดูเหล้าที่นางหมักเอาไว้

เด็กเล็กไม่ยอมให้ผู้ใดตามมาด้วย เพราะทันทีที่เปิดฝาถังหมักเหล้าพลับและเหล้าองุ่น กลิ่นหอมเกินจะพรรณนาก็โชยออกมาปะทะจมูกกระจิริดที่กำลังขยับยุกยิก

เหล้าผลไม้แต่ละชนิดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสี่ยวเป่าพยักหน้าพึงพอใจทันทีที่ได้กลิ่นหอมของเหล้าหมัก

สำเร็จ!

รอยยิ้มบริสุทธิ์บนใบหน้าเปี่ยมสุขของเด็กน้อยไร้เดียงสา เมื่อยิ้มทั้งคิ้วและดวงตาก็โค้งมนขึ้น เป็นเหตุให้คนตัวเล็กดูนุ่มนิ่มไปทั้งตัว

ที่เหลือก็แค่ต้องรอให้ถึงเวลาเหมาะสมที่จะนำเหล้าพวกนี้ไปมอบให้ท่านพ่อ นางหมักเหล้าครั้งแรกก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีไม่น้อย ท่านพ่อจะต้องภูมิใจเป็นแน่

ก่อนงานเลี้ยงวันพระราชสมภพขององค์จักรพรรดิ ก็มีการเจรจาทางการทูตระหว่างราชวงศ์ต้าเซี่ยกับชนเผ่าทุ่งหญ้า

หนานกงหลีสวมชุดขุนนางเต็มยศปะปนอยู่ในกลุ่มคณะราชทูต

“ใต้เท้าจี้ นี่เป็นคราแรกที่ข้าได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจเช่นนี้ หากข้าทำสิ่งใดไม่ถูกไม่ควรประการใด ใต้เท้าจี้โปรดชี้แนะด้วย”

ใต้เท้าจี้ที่เดินเคียงข้างพลันพยักหน้ารับ “ท่านอ๋องวางใจ เราไม่จำเป็นต้องสุภาพกับพวกเผ่าหมานมากนักก็ได้ ขอเพียงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้อาณาจักรต้าเซี่ยของเราต้องขายหน้าก็เป็นพอ ยิ่งขูดรีดพวกเขาได้มากเท่าใดก็ยิ่งดี ท่านเข้าร่วมเป็นครั้งแรก อาจถูกคนพวกนั้นหยามหน้าแล้วพานมีเรื่องกันทีหลังก็เป็นได้ เช่นนั้นท่านก็วางใจแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกคนเก่าคนแก่อย่างพวกข้าเถิด”

หนานกงหลีพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะตั้งใจเรียนรู้ก็แล้วกัน”

เมื่อคณะราชทูตจากทั้งสองอาณาจักรมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว หนานกงหลีพลันรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนพวกนั้นเป็นอย่างมาก

“โอ้ พวกท่านก็คือ ‘แขก’ ที่ทำลายข้าวของในเหลาอาหารของข้ามิใช่หรือ ดีจริง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ว่างไปพบพวกท่าน วันนั้นพวกท่านวิ่งหนีเร็วเกินไปเลยยังไม่ได้จ่ายค่าเสียหาย ในเมื่อวันนี้ได้พบกันแล้ว…”

จู่ ๆ หนานกงหลีก็คว้าเอาลูกคิดออกมาจากแขนเสื้อ

ทุกคน “???”

ทุกคน “!!!”

เซียวเหยาอ๋อง นี่ท่านกำลังทำสิ่งใด เหตุใดถึงได้พกลูกคิดติดตัวมาด้วย!

เสียงของหนานกงหลีที่กำลังชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดดังระงมพร้อมกับเสียงดีดลูกคิด

“โต๊ะอาหารตัวละสองตำลึง พวกท่านทำพังไปสามตัว รวมทั้งตะเกียบ ถ้วยชา จอกสุรา และจานอาหารอย่างละหนึ่งตำลึง แล้วก็พื้นที่เสียหายอีกสามตำลึง บวกกับที่พวกท่านทำให้ผู้ดูแลและลูกจ้างในร้านตกใจกลัว มันเป็นค่าชดเชยที่พวกท่านควรต้องจ่าย คงไม่มากเกินไปใช่หรือไม่ อืม… เช่นนั้นข้าลดให้พวกท่านสองตำลึงก็แล้วกัน อ้อ อีกอย่าง…”

ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง หนานกงหลีวางลูกคิดแล้วมองพวกเผ่าหมานผิวคล้ำพร้อมฉีกยิ้มยียวน

“รวมทั้งหมดเป็นยี่สิบสามตำลึง ไม่ทราบว่าพวกท่านจะจ่ายตอนนี้เลยหรือหลังการเจรจา”

คนเผ่าหมาน “เกินไปแล้ว! รังแกกันเกินไปแล้ว!!”

พวกเขาโกรธมากจนพูดได้เพียงเท่านี้

หนานกงหลี “พวกท่านมีเหตุผลหน่อยจะได้หรือไม่ ข้าขอให้พวกท่านไปสร้างความวุ่นวายที่เหลาอาหารของข้าหรืออย่างไร นี่ข้ายังไม่ได้คิดค่าชดเชยที่พวกท่านทำให้ข้ากับองค์หญิงตกใจเลยด้วยซ้ำ เพราะเห็นแก่หน้าพวกท่าน อันที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากได้เงินเล็กน้อยพวกนี้หรอกนะ เพียงแต่ข้าต้องควักเงินตนเองชดเชยในสิ่งที่ข้าไม่ได้ก่อเช่นนั้นหรือ ข้าไม่อาจทำใจยอมรับเรื่องอยุติธรรมเช่นนี้ได้ ต้องขออภัยพวกท่านด้วย”

แม้จะเอ่ยขออภัย ทว่าท่าทางกลับดูไม่ลำบากใจเลยสักนิด

“ท่าน ท่าน…!”

องค์ชายผู้นั้นถึงกับโมโหจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะด่าก็ด่าไม่ออก

“เอาเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านคงอยากจะสะสางบัญชีหลังจากการเจรจาจบใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา ข้ารอได้ ถึงอย่างไรเผ่าใหญ่อย่างเผ่าหมานก็คงไม่คิดโกงเพียงเพราะเงินแค่ยี่สิบห้าตำลึงใช่หรือไม่ หากทำเช่นนั้นจริงก็คงจะขายหน้าไม่น้อยเลย มา ๆ ทุกท่านนั่งลงเถิด เรามาเจรจาเรื่องค่าเสียหายที่พวกท่านต้องชดใช้ให้อาณาจักรของพวกเรากันเถิด”

มารดาเจ้าสิ มารดาเจ้าสิ ได้ยินหรือไม่!

คนเผ่าหมานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังก่นด่ามารดาอีกฝ่ายอยู่ในใจ พวกเขาแต่ละคนโกรธมากจนแทบเสียสติทั้งที่การเจรจายังไม่เริ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ใต้เท้าจี้ที่อยู่ข้าง ๆ หนานกงหลีประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็ยังมองเขาด้วยสายตาประมาณว่า ‘ท่านอ๋อง ท่านทำได้ยอดเยี่ยมมาก’

ทั้ง ๆ ที่เซียวเหยาอ๋องเพิ่งจะเดินมาพูดกับเขาว่า นี่เป็นการเข้าร่วมเจรจาครั้งแรกของเขา ซ้ำแล้วคนบอบบางเช่นเขาก็ดูเหมือนแค่มาเข้าร่วมเพียงเพื่อสังเกตการณ์เท่านั้น ไม่นึกเลยว่ามาถึงปุ๊บ เขาก็จัดการฝ่ายตรงข้ามจนอยู่หมัด นับว่ามีฝีมือเก่งกาจยิ่ง!

หนานกงหลียักไหล่พลางคิดในใจว่าเขายังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดด้วยซ้ำ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเดือดดาลได้ถึงเพียงนี้แล้ว จุ๊ ๆ การเจรจากับคนมีมันสมองอย่างเขานี่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ