เฟิ่งชิงหัวจัดการกับเด็กน้อยผู้โชคร้ายคนนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็รู้สึกสบายขึ้นมาในทันที จึงโบกมือ : “ยกสำรับ”
หลิวหยิ่งหันมองไปทางตำหนักใหญ่ : “พระชายา ท่านชายาก็ยังไม่ได้เสวยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
อารมณ์ที่กำลังดีอยู่ของเฟิ่งชิงหัวเป็นอันต้องสะดุด นางจ้องมองหลิวหยิ่ง : “เจ้ายังคิดจะให้ข้าไปเชิญเขาด้วยหรือ ?”
หลิวหยิ่งพูดขึ้นทันทีว่า : “ข้าน้อยจะไปเชิญเดี๋ยวนี้”
ไม่ช้า หลังจากจัดโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็นั่งลง ไม่นานนัก จ้านเป่ยเซียวก็เดินออกมาจากห้อง แล้วนั่งลงตรงข้ามนาง
บรรยากาศดูอึดอัดมาก
ถึงแม้จะนั่งโต๊ะเดียวกันแท้ ๆ แต่ทั้งสองกลับไม่มีใครสนใจใคร ทำให้คนอื่นอดสงสัยไม่ได้ว่า ภายในห้องก่อนหน้านี้ เกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคน
หลิวหยิ่งครุ่นคิด แล้วพูดว่า : “ท่านอ๋อง พระชายา เมื่อครู่หม่อมฉันได้ยินท่านอ๋องสิยสองตรัสว่า ไทเฮาจะทรงคัดเลือกพระชายาให้พระองค์ ในงานเลี้ยงวันประสูติของฮ่องเต้ ได้จัดเตรียมคุณหนูเอาไว้สิบกว่าคนแล้ว”
ขณะที่พูด ก็หันมองซ้ายทีขวาที จากนั้นก็พูดต่อว่า : “ท่านอ๋องสิบสงยังตรัสอีกว่า ถึงตอนนั้นอาจจะทูลเชิญพระชายาขึ้นไปร่วมแสดงบนเวทีด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว แต่ไม่หันมองจ้านเป่ยเซียว ทำเพียงหัวเราะเยาะออกมาแล้วพูดว่า : “งานเลี้ยงวันประสูติจะจัดขึ้นเมื่อใด ?”
“เดือนหน้าพ่ะย่ะค่ะ” หลิงหยิ่งตอบกลับอย่างเคารพ
“อ้อ เช่นนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อน ไม่แน่ว่าเดือนหน้าพวกเจ้าอาจมีพระชายาองค์ใหม่แล้ว พระชายาองค์ใหม่จะต้องเพรียบพร้อมในทุกด้านอย่างแน่นอน” ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็รับประทานอาหารต่อ
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้น นัยตาที่ดำขลับเหมือนหมึกก็หรี่ลงเล็กน้อย เส้นเลือดตรงขมับกระตุก และเม้มริมฝีปากเรียวบางเข้าหากัน
“หลิวหยิ่ง” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขัง
หลังหลิ่งตัวเกร็งขึ้นมาทันที และขานรับ
จากนั้น ตรงหน้าของเขาก็มีผ้าแพรสีขาวเพิ่มขึ้นมา หลิวหลิ่งผงะไป นี่คือของขวัญที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้พระชายาเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ ?
ขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น ก็ได้ยินนายท่านของตนเองพูดขึ้นด้วยความโกรธ : “ทำลายเสีย”
“ฮะ ?” หลิวหยิ่งตกตะลึง จะให้ทำลายอย่างไร ?
ของสิ่งนี้ดาบฟันไม่เข้า ไฟเผาไม่ไหม้นะ
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น ก็โยนตะเกียบลงทันที แล้วจ้องไปที่จ้านเป่ยเซียวตาเขม็ง : “จ้านเป่ยเซียว ท่านพอได้แล้ว ! นอกจากนำของบ้า ๆ นั่นมาใช่ข่มขู่ผู้อื่น ท่านยังทำอะไรเป็นอีกบ้าง ? หากมีความสามารถพวกเราออกไปสู้กันสักตั้งไหมล่ะ !”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็ถกแขนเสื้อขึ้นมา และแสดงท่าทีก้าวร้าว
อารมณ์ที่ดี ๆ อยู่ถูกทำลายจนไม่มีชิ้นดี
จ้านเป่ยเซียวแสยะยิ้ม : “หากข้าไม่ทำลาย จะรอให้เจ้าคิดหาวิธีเอามันไปจากข้าทั้งวันเหรอ ?”
“……” ทำไมถึงได้เข้าใจนางขนาดนี้
“แทนที่จะต้องให้เจ้าคิดจนปวดหัว ไม่สู้ข้าทำลายความคิดของเจ้าแต่ต้นจะดีกว่า อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่อยากได้จริง ๆ เสียหน่อย”
เฟิ่งชิงหัวตบโต๊ะทันที : “ใครไม่อยากได้จริง ๆ กัน ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าท่านต่างหากล่ะที่ไม่อยากให้จริง ๆ !”
“เจ้าไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่อยากให้จริง ๆ ?”
“หากท่านอยากให้ข้าจริง ๆ ท่านก็ให้สิ !”
หลิวหยิ่งเห็นทั้งสองทะเลาะกันขึ้นมาเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าตนเองยืนอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนจะเป็นส่วนเกิน
อีกทั้ง หัวข้อสนทนานี้ มีประโยชน์หรือ ?
“หลิวหยิ่ง เจ้ามาเป็นพยาน !” เฟิ่งชิงหัวหันมองหลิวหยิ่ง จากนั้นก็หันไปพูดกับจ้านเป่ยเซียวว่า : “ตอนนี้มีคนเป็นพยานแล้ว ท่านว่ามาสิ ว่าต้องทำอย่างไรกันแน่ ถึงจะยอมมอบไหมสวรรค์ให้กับข้า”
จ้านเป่ยเซียวหันหน้า แล้วพูดลอย ๆ : “น่าจะต้องมีอะไรสักอย่างมาแลกเปลี่ยนสิ อย่างไรเสียก็เป็นของล้ำค่าขนาดนี้”
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะแหะ ๆ นางดูไม่ออกเลยจริง ๆ ว่า เขาเห็นของสิ่งนี้เป็นของล้ำค่า บอกว่าล้ำค่าแต่คิดะโยนก็โยน คิดจะทำลายก็ทำลายอย่างนั้นหรือ ?
จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองเฟิ่งชิงหัวแล้วเม้มปาก
ใครจะไปคิดว่า จู่ ๆ เฟิ่งชิงหัวจะลุกขึ้น แล้วยื่นมือออกไปยกคางของจ้านเป่ยเซียวขึ้นมา บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วพูดเตือนว่า : “ว่ามาสิ ต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด ? แต่ข้าขอเตือนท่านก่อนนะว่า อย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่นให้ข้าเป็นวัวเป็นม้า เก็บดาวเก็บเดือนลงมาให้ท่านทำนองนั้น”
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวดูมีอำนาจอย่างยิ่ง
หลิวหยิ่งยืนอยู่ในจุดที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชม เขาจับจ้องอย่างไม่วางตา คิดไม่ถึงเลยว่า เวลาที่ทั้งสองพระองค์อยู่ด้วยกัน จะมีฉากเช่นนี้ด้วย
เห็นเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่าพระชายาดูเป็นเจ้านายจอมเผด็จการที่แสนเย็นชา ส่วนนายท่านของตนเองนั้น ดูเหมือนภรรยาตัวน้อยที่หยิ่งยโส
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว เบ้ปาก แล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ : “ข้าแลกเปลี่ยนกับพระชายาของข้าคนเดียวเท่านั้น”
“ยังไม่ได้เขียนหนังสืออย่า ตอนนี้เรายังถืว่าเป็นสามีภรรยากับตามกฎหมายอยู่” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองเฟิ่งชิงหัว : “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าเดือนหน้าอาจไม่ใช่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่”
เฟิ่งชิงหัวสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า : “ข้าจะพยายามควบคุมความรู้สึกที่อยากเขียนหนังสือหย่ากับท่าน”
จ้านเป่ยเซียว : “……”
“เร็วหน่อยสิ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ได้ ท่านเป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี่ย !” ในที่สุดเฟิ่งชิงหัวก็ระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
จ้านเป่ยเซียวมองค้อนเฟิ่งชิงหัว และพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจว่า : “เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนคือ งานเลี้ยงฉลองวันประสูติเดือนหน้า คนที่ไทเฮาทรงเลือกให้กับข้า เจ้าห้ามรับไว้เด็ดขาด”
เฟิ่งชิงหัวตาเบิกโพลง : “พระชายาของท่านก็ต้องเป็นธุระของท่านสิ ทำไมถึงต้องให้ข้าเป็นคนปฏิเสธด้วย ?”
“ข้าว่าแล้วว่าเจ้าไม่ได้อยากได้จริง ๆ” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฟิ่งชิงหัวชะงักไป ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจาก แต่อันที่จริงแล้ว เป็นเพราะไม่มีความจำเป็นต่างหาก ที่จริงแล้วคำพูดของเขาเพียงคำเดียวก็จัดการปัญหาทุกอย่างได้ แล้วทำไมต้องให้นางกลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคนด้วย
ลังเลอยู่พักใหญ่ เฟิ่งชิงหัวก็เท้าสะเอว : “ตกลง ใครกลัวใครกัน ถึงตอนนั้นท่านก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน อย่าว่าแต่ในงานเลี้ยงฉลองวันประสูติเลย ต่อไปหากท่านคิดจะรับก็รับไว้ไม่ได้ !”
จ้านเป่ยเซียวมีท่าทีผ่อนคลายลง มองดูท่าทีหยิ่งยโสนี้ของเฟิ่งชิงหัว แต่กลับจงใจทำหน้าบูดบึ้ง : “หวังว่าเจ้าจะไม่ได้คุยโว”
เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้น : “ข้ารับปากแล้ว ให้ข้าได้หรือยัง ?”
จ้านเป่ยเซียวหันไปโบกมือกับหลิวหยิ่ง ทว่า หลิวหยิ่งที่ปกติเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว ตอนนี้กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มีที่ท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่เต็มสมอง
หลิวหยิ่งคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่า นายท่านที่ปกติอยู่ต่อหน้าเขาเป็นคนเด็ดขาด จะพูดแต่ละครั้งก็เหมือนดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระชายา คิดไม่ถึงว่าจะมีชีวิตชีวาเช่นนี้
อีกทั้งในขณะที่พระชายากำลังโมโห ดูไปแล้วเหมือนมีความขี้ขลาดปะปนอยู่อีกด้วย
เขาคงไม่ได้กำลังฝันหรอกนะ ?
หลิวหยิ่งแอบหยิกแขนของตนเอง เจ็บจัง ดูเหมือนจะเป็นความจริง
ทว่า เมื่อตั้งสติได้และสบตาเข้ากับแววตาพิฆาตของนายท่าน ตัวของเขาก็แข็งทื่อไปในทันที
ที่จริงแล้ว ความมีชีวิตชีวาและขี้ขลาด ล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งนั้น ตอนที่นายท่านเผชิญหน้ากับพวกเขา ก็ยังเป็นเหมือนสายลมอันเหน็บหนาวอยู่ดี
หลิวหยิ่งใช้มือทั้งสองถวายไหมสวรรค์ให้ด้วยความเคารพ
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวยังมีท่าทีบึ้งตึง เมื่อรับไหมสวรรค์มาแล้ว ก็สอดเข้าไปในแขนเสื้อโดยไม่เหลือบมองสักนิด แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า : “ข้ากินอิ่มแล้ว กลับก่อนนะ”
ขณะที่พูดก็หันหลังเดินจากไป แต่ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี จรแทบอยากกระโดดตัวลอยขึ้นมา
“ช้าก่อน” ด้านหลัง มีเสียงของจ้านเป่ยเซียวดังขึ้นมาทันที
เฟิ่งชิงหัวหยุดนิ่ง แล้วกระแอม : “มีอะไร”
แสดงท่าทีรำคาญ
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็คิ้วกระตุก เด็กคนนี้ หากไม่ถูกตีสักสามวันคงไปเที่ยวซุกซนอีก
“กลับมานี่”
เฟิ่งชิงหัวจนใจ ได้แต่ระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้ แล้วนั่งลงที่เดิมอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นจึงพาดศีรษะลงบนโต๊ะ แล้วพูดอย่างหมดเรี่ยวแรงว่า : “ยังมีเรื่องอะไรอีก ?”
“ได้ยินมาว่า เจ้าทำร้ายสิบสองหรือ ?” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แสดงออกว่าไม่สนใจนัก แต่กลับทำให้เฟิ่งชิงหัวรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที
นี่คิดจะทำตัวเป็นพี่ชายที่ทวงคืนความยุติธรรมให้น้องชายหรือ ?