บทที่ 217 ชายโฉดหญิงชั่วแห่งเมืองหลวง

พลิกชะตาหมอยา

เฟิ่งชิงหัวรีบหลบตาทันที ถึงแม้นางไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่อง แต่ก็สร้างเรื่องเอาไว้ไม่น้อย จึงไม่อยากจะถูกคิดบัญชีย้อนหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่นางกำลังเสียเปรียบ

ทันทีที่จ้านเป่ยเซียวเห็นนางหลบตา ก็รู้ทันทีว่านางกำลังคิดหาทางปัดความผิดอยู่ในใจ ถึงไม่รีบเร่งเร้านาง ให้นางค่อย ๆ แต่งเรื่องออกมาให้ดี ๆ

เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิด แล้วพูดออกมาว่า : “ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่า ในจวนแห่งนี้ ข้าอยากทำอะไรก็ทำ ?”

จ้านเป่ยเซียวคิดไม่ถึงเลยว่า จู่ ๆ เฟิ่งชิงหัวจะพูดเช่นนี้ออกมา จึงขานรับ

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า : “ข้าแค่อยากจะลองดูว่า หากข้าทำร้ายน้องชายของเจ้า จะมีผลลัพธ์เช่นไร ท่านจะคิดบัญชีกับข้าหรือไม่ ?”

จ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัว หรี่ตามองดูอยู่สักพัก มองจนกระทั่งเฟิ่งชิงหัวรู้สึกละอายแก่ใจ แต่ยังคงรักษาสีหน้าที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้เอาไว้ แล้วมองเขากลับเช่นนี้

จ้านเป่ยเซียวกระแอม : “คราวหน้าหากคิดจะสั่งสอนเด็ก สั่งให้พวกหลิวหยิ่งจัดการก็พอแล้ว อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นพี่สะใภ้ของเขา ลงมือด้วยตนเองดูจะไม่เหมาะสมนัก”

เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจ จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “รู้แล้ว”

จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองนางอย่างจนใจ แล้วหันไปพูดกับหลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า : “เจ้าไปดูที่จวนอ๋องสิบสองสักหน่อย หากได้รับบาดเจ็บก็ให้ส่งยาไป”

หลิวหยิ่งพยักหน้า ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ จนรู้สึกตัวชา เกี่ยวกับเรื่องที่พระชายาทรงทำร้ายอ๋องสิบสอง แต่กลับคิดจะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กและปล่อยผ่านไปนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก

ขณะที่กำลังจะเดินออกไป ได้ยินพระชายาของตนเองพูดจ้อด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า : “ท่านอ๋อง ท่านรู้ไหมว่าอะไรคือจุดโคมลอย ? เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าสิบสองจะจับข้าจุดโคมลอย อีกทั้งจะจุดโคมลอยคนในครอบครัวของข้าด้วย เป็นการอวยรหรือไม่ ?”

หลิวหยิ่งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสัย พระชายาไม่ทรงรู้จริง ๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ แค่คิดก็น่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี

หรือคิดจะแสดงความไร้เดียงสาต่อหน้าท่านอ๋องสักนิด ?

ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่ หลิวหยิ่งก็ได้ยินเสียงของนายท่านพูดขึ้นอย่างดุดัน ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง : “หลิวหยิ่ง เจ้าไปดูนัก หากเขาเจ็บหนักก็แล้วไป แต่หากหากบาดเจ็บเล็กน้อยละก็ จับขาทั้งสองข้างนั้นหักเสีย”

หลิวหยิ่ง : “!”

ที่แท้ ที่พระชายาตรัสเช่นนี้ ก็เป็นการฟ้องนี่เอง เลือดเย็นจริง ๆ

หลิวหยิ่งรีบจากไปทันที เกรงว่าหากตนเองไปช้าอีกเพียงก้าวเดียว ชีวิตน้อย ๆ ของอ๋องสิบสอง คงตกอยู่ในกำมือของพระชายาแน่นอน

อีกทางด้านหนึ่ง ไม่ง่ายเลยที่จ้านชิงอิงจะรักษาชีวิตน้อย ๆ และเดินลากขาที่ถลอกปอกเปิกของตนเองกลับจวนมาได้

เพราะเขาไปฝึกวรยุทธ์แต่เด็ก ดังนั้นในเมืองหลวงจึงไม่มีจวนของเขา แต่อายุของเขาก็ไม่น้อยแล้ว หากอาศัยอยู่ในวังก็ดูไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นฮ่องเต้เซวียนถ่งจึงมอบคฤหาสน์ให้เขาพักอาศัยเป็นการชั่วคราวหนึ่งหลัง

คฤหาสน์แห่งนี้ เป็นจวนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพระราชทานให้กับขุนนางเก่าสามราชวงศ์ผู้หนึ่ง ขุนนางเก่าผู้นั้นไม่มีผู้สืบสกุล หลังจากสิ้นอายุขัยลงแล้ว จึงนำคฤหาสน์หลังนี้กลับมา และทำการบูรณะอย่างเรียบง่าย

จ้านชิงอิงเพิ่งกลับมาจากด้านนอก ชุดคลุมยาวที่แต่เดิมดูหรูหรา ได้กลายเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วที่ถูกแขวนอยู่บนร่างกายนานแล้ว ที่รัดผมขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง ดูอย่างไรก็เหมือนคนบ้าชัด ๆ

ทันทีที้ก้าวเข้าประตูมา ก็ถูกพ่อบ้านที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูขับไล่ออกไป

คนในจ้วนล้วนเพิ่งถูกจัดสรรมา จึงจำจ้านชิงอิงไม่ได้

“ขอทานมาจากไหนกัน ถึงได้กล้าดีมาขอทานอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก !”

“เจ้าพูดว่าใครมาของทานกัน ? ข้าเอง !” จ้านชิงอิงพูดด้วยความโมโห

เมื่อพ่อบ้านได้ยินเสียงก็รู้สึกคุ้นหู จึงเดินเข้าไปสำรวจดูให้มั่นใจ จากนั้นก็รีบปรี่เข้าไปพูดอย่างเขินอายพร้อมรอยยิ้ม : “ที่แท้ท่านอ๋องก็กลับมาแล้ว ท่านอ๋อง ทำไมพระองค์ถึงมีสภาพเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ?”

“ถูกหญิงเสียสติทำร้ายเข้า” จ้านชิงอิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ไม่รู้ว่าปกติแล้วม้าของจวนอ๋องเจ็ดเป็นอะไรเป็นอาหาร ถึงได้ลากเข้าวิ่งไปมาสี่ชั่วยามเต็ม ๆ อย่างมีชีวิตชีวา หากไม่ใช่เพราะในที่สุดเข้าสามารถคลายจุดที่ถูกสกัดออกได้ เกรงว่าคงต้องถูกลากกลับบ้านเก่าแล้ว

จ้านชิงอิงไม่รู้เลยสักนิดว่า เฟิ่งชิงหัวฉีดยากระตุ้นให้กับม้าตั้งแต่ต้นแล้ว หากไม่วิ่งจนหมดแรงคงไม่มีทางหยุดเด็ดขาด

ตอนนี้แม้กระทั่งมือและขาของจ้านชิงอิงต่างก็สั่นเทา ขาทั้งสองข้างเดินด้วยท่าทางที่แปลกประหลาดเหมือนเป็ด ทันทีที่พ่อบ้านเห็น ก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา

ที่แท้เป็นเพราะพื้นรองเท้าของจ้านชิงอิง ถูกเสียดสีจนขาดวิ่นนานแล้ว ทำไมฝ่าเท้าถูไถไปกับพื้น ปากรองเท้าด้านขวาเปิดออก เผยให้เห็นนิ้วหัวแม่เท้าของชายหนุ่ม

จ้านชิงอิงมีสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่มีเวลาที่จะคิดสั่งสอนเขาเสียด้วยซ้ำ และพูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง : “ยังไม่รีบประคองข้าเข้าไปอีก !”

“พ่ะย่ะค่ะ ๆ ๆ” พ่อบ้านประคองจ้านชิงอิงและกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน หลิวหยิ่งที่แอบเฝ้าดูอยู่ตลอดก็เดินออกมา

เมื่อจ้านชิงอิงเห็นชิงหยิ่งเข้า ก็กลอกาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด : “มาแทนนายท่านของเจ้าหรือ ?”

ย่อมไม่ใช่ผู้หญิงชั่วร้ายคนนั้นแน่นอน นางคงทนรอไม่ไหวที่จะได้เห็นตนเองรีบตายไปเสีย

หลิวหยิ่งพยักหน้า : “หม่อมฉันรับคำสั่งของนายท่านให้เดินทางมา”

จ้างชิงอิงออกแรงเชิดใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น หรี่ดวงตาคู่งามที่เป็นประกายนั่นลง แล้วพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ : “แค่ขอโทษง่าย ๆ ข้าไม่รับหรอกนะ”

หลิวหยิ่งกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่จ้านชิงอิงกลับพูดอย่างมีมาด : “ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอกนะ เจ้ากลับไปบอกท่านพี่เจ็ดว่า หากต้องการให้ข้ายกโทษให้ผู้หญิงคนนั้น ก็ต้องให้ผู้หญิงคนนั้นมาขอโทษข้าด้วยตนเองเท่านั้น”

หลิวหยิ่งมองเขอย่างเวทนา : “อ๋องสิบสอง หม่อมฉันไม่ได้มาเพื่อขอโทษพ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ามาทำอะไร ?” จ้านชิงอิงขมวดคิ้ว : “หรือว่าท่านพี่เจ็ดไม่สบายใจ รู้สึกเก้อเขิน ?”

หลิวหยิ่งค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้

จ้านชิงอิงมองดูเขาค่อย ๆ เดินออกมาจากมุมมืด ในมือถือกระบองอยู่หนึ่งแท่ง ก็พูดขึ้นอย่างงุนงง : “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร ?”

“นายท่านสั่งมาว่า หากอ๋องสิบสองบาดเจ็บเล็กน้อย ให้หักขาทั้งสองข้างของท่านเสีย” ขณะที่พูด ก็ยกกระบองขึ้นแล้วฟาดลงไปที่จ้านชิงอิง

จ้านชิงอิงที่เมื่อครู่ยังอยู่ในสถาพร่อแร่ จู่ ๆ ก็กระโดดถอยห่างออกไปหลายเมตรทันที ดวงตาของเขาเบิกโพลงและพูดขึ้นว่า : “ท่านพี่เจ็ดเสียสติไปแล้วหรือ ! ข้าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเขานะ ! น้องแท้ ๆ !”

หลิวหยิ่งพูดต่อว่า : “อ๋องสิบสอง ข้าน้องก็เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ท่านโปรดให้ความร่วมมือด้วย”

“ให้ความร่วมมือบ้าอะไร ข้ายังไม่อยากนั่งรถเข็นหรอกนะ !” จ้านชิงอิงเริ่มวิ่ง โดยมีหลิวหยิ่งตามหลังมาติด ๆ

ครึ่งชั่วยามให้หลัง จู่ ๆ ก็เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง

เรื่องที่เฟิ่งชิงหัวล่วงเกินจวนเฉิงเซี่ยงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ตอนนี้ถึงแม้ยังไม่ได้ตัดขาดสัมพันธ์พ่อลูก แต่คนในเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่า ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างจวนเฉิงเซี่ยงและจวนอ๋องเจ็ดเหมือนน้ำกับไฟ

วันรุ่งขึ้น ตอนที่เฟิ่งชิงหัวออกจากจวน ก็รับรู้ได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมาจากทั่วทุกสารทิศ

นางกวาดสายตาไปโดยรอบ บ้างก็ดูคุ้นตา บ้างก็ดูแปลกตา ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางในเมืองหลวงแทบทั้งสิ้น

เฟิ่งชิงหัวหันไปเลิกคิ้วใส่คนเหล่านั้นพร้อมทั้งเชิดคาง คนเหล่านั้นต่างตกใจและแสร้งก้มหน้าก้มตาหาของในทันที

พระชายาอ๋องเจ็ดผู้นี้น่ากลัวจริง ๆ คงต้องถูกอ๋องเจ็ดพาไปในทางที่ไม่ดีแน่นอน

หลังจากเฟิ่งชิงหัวจากไปแล้ว ขุนนางเหล่านี้ต่างจับกลุ่มพูดคุยกัน : “พวกเจ้าได้ยินมาบ้างแล้วหรือยังว่า เมื่อคืนนี้ อ๋องสิบสองทรงน่าเวทนาจริง ๆ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินเสียงเขาวิงวอนนักฆ่า”

“คิดไม่ถึงเลยว่า อ๋องเจ็ดจะโหดเหี้ยมเช่นนี้ สมัยก่อนอ๋องสิบสองนับว่าเป็นคนที่สนิทสนมกับเขามากที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากเขาได้รับบาดเจ็บแล้วจะวิกลจริตเช่นนี้ อ๋องสิบสองมีแข้งขาปกติอยู่ดี ๆ กลับสั่งให้ลูกน้องของตนเองทุบตีเขาจนขาหัก”

“จริงด้วย อ๋องเจ๋ดน่ากลัวเกินไปแล้ว พระชายาผู้นั้นเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ข้าได้ยินมาว่านางทำร้ายแม้กระทั่งพี่สาวแท้ ๆ ของตนเอง”

“พี่ชายน้องชายต่อสู้กัน พี่สาวน้องสาวเกลียดชังกัน ทั้งสองคนนี้ต่างเลวทรามพอกันจริง ๆ”

ไม่นานนัก สองสามีภรรยาแห่งจวนอ๋องเจ็ด ก็กลายเป็นหญิงโฉดชายชั่วแห่งเมืองหลวง ที่บรรดาขุนนางต่างกล่าวขวัญถึงทันที ทั้งดูถูก แต่ก็ไม่อาจล่วงเกินได้

เฟิ่งชิงหัวไม่แน่ใจเกี่ยวกับคำวิพากษ์วิจารณ์จากโลกภายนอกมากนัก วันนี้นางจึงหาเวลาไปเยี่ยมท่านแม่ของตนเอง

ทันทีที่ถึงหน้าประตู อู่ตู๋จื่อเอทราบข่าวก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเองทันที ทั้งสองทักทายกันแล้วเดินเข้าไปด้านใน เดินไปพลางก็ฟังอู่ตู๋จื่อพูดไปพลางว่า : “หลายวันมานี้ท่านทวดฟื้นขึ้นมาเป็นพัก ๆ เมื่อฟื้นกินมาก็ไม่ยอมดื่มยา เอาแต่กรีดร้องสุดเสียงด้วยความกลัว อีกทั้งยังหดตัวแน่นอยู่ที่มุมเตียง ข้าเองก็จนปัญญา ทำได้เพียงปล่อยให้นางนอนหลับต่อไป แล้วค่อยบังคับป้อนยา ร่างกายของนางนับว่าอ่อนแอจริง ๆ”

“นางพูดอะไรออกมาบ้าง ?”

“พูดว่าอย่าเข้ามานะ อะไรทำนองนี้ แต่ข้าพบเรื่องน่าประหลาดเรื่องหนึ่ง” ขณะที่อู่ตู๋จื่อพูดอยู่นั้น ก็หยุดชะงักลงในทันที และไม่ได้พูดออกมา อีกทั้งยังเดินตรงเข้าไปด้านใน และดึงฝ่ามือของหญิงชรามาให้เฟิ่งชิงหัวดู

“ท่านดูสิ เดิมดีบนฝ่ามือของนางมีรอยแผลเพียงหนึ่งรอย แต่ตอนนี้ กลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้แม้แต่น้อย ไม่เพียงรอยที่ถูกฟันนี่เท่านั้น ข้าตรวจสอบดูแล้วพบว่า เลือดลมของนางไม่ดี ซึ่งชัดเจนว่ามาจากภาวะที่สูญเสียเลือดมากเกินไป แต่ร่างกายทุกส่วนของนางกลับไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย” อู่ตู๋จื่อพูดอย่างสงสัย

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น ใบหน้ากลับไม่แสดงถึงความประหลาดใจ ทำเพียงแค่พยักหน้าแล้วพูดว่า : “ยังมีอย่างอื่นอีกไหม ?”

“จริงสิ” อู่ตู๋จื่อนึกขึ้นมาได้ : “ก่อนหน้านี้ที่ท่านให้ข้าจับตาดูองค์หญิงเป่ยเว่ย ดังนั้นข้าจึงเคยเขาะเลือดของนางออกมา ยังมีเหลืออยู่อีกเล็กน้อย จากนั้นข้าจึงนำเลือดของท่านทวดกับเลือดของนางผสมกัน พบว่าเลือดสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี”

อู่ตู๋จื่อพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“หรือว่าพวกนางจะเป็นแม่ลูกกัน ?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว รู้ว่าการตรวจเลือดของสมัยโบราณนั้นไม่แม่นยำ จึงรู้สึกสงสัยในจุดนี้ อย่างไรเสีย นางกับองค์หญิงเป่ยเว่ยก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน