ตอนที่ 166 เห็นแสงของพระจันทร์

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 166 เห็นแสงของพระจันทร์
ครั้งนี้เขาเดินทางไปพร้อมกับขบวนกองทัพของรัชทายาท ผู้ใดจะกล้ามาตรวจค้นสินค้าของเขากัน! อีกอย่าง ครั้งนี้เป็นการออกรบแบบเร่งด่วน…กองทัพเดินทางอย่างเร่งรีบ ประตูเมืองทุกบานเปิดต้อนรับ ที่สำคัญ การเดินทางไปพร้อมรัชทายาทสามารถใช้เส้นทางหลักเดินทางได้อย่างเปิดเผย เวลาที่ประหยัดไปเท่ากับได้ช่วยชีวิตของชาวบ้านแคว้นต้าเยี่ยนได้มากขึ้น

บัดนี้แคว้นต้าเยี่ยนกำลังเผชิญวิกฤต ผู้ใดจะคาดคิดว่าแคว้นต้าเยี่ยนที่ใกล้จะล่มสลายเช่นนี้ อีกสิบปีข้างหน้าจะทำลายล้างทั้งสี่แคว้น กลายเป็นแคว้นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่ทุกแคว้นต้องหวาดกลัว

“เซียวเซียนเซิง เหยียนเป็นคนของแคว้นต้าจิ้น เซียวเซียนเซิงกล่าวกับเหยียนอย่างละเอียดเช่นนี้ มิกลัวว่าเหยียนจะขัดขวางเซียนเซียนเซิงหรืออย่างไรเจ้าคะ”

หากถามว่าบนโลกนี้มีแคว้นใดที่ไม่อยากเห็นแคว้นต้าเยี่ยนกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งมากที่สุด ย่อมต้องเป็นแคว้นต้าจิ้นอยู่แล้ว

“เรื่องที่ขนาดเสี่ยวซื่อของตระกูลไป๋ยังมองออก ด้วยความฉลาดของคุณหนูใหญ่ไป๋แล้ว ไม่มีทางมองไม่ออกหรอกขอรับ…” เซียวหรงเหยี่ยนมองหญิงสาวยิ้มๆ “ที่ข้ากล่าวตามตรงกับคุณหนูใหญ่ไป๋เพราะต้องการบอกให้คุณหนูใหญ่ไป๋ทราบว่าข้ามิได้คิดเป็นศัตรูกับแคว้นต้าจิ้น ข้าแค่ต้องการช่วยเหลือชาวบ้านของต้าเยี่ยนเท่านั้น”

การดื่มชาที่ศาลาเจ๋อหลิววันนั้น เซียวหรงเหยี่ยนรับรู้แล้วว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ได้จงรักภักดีต่อแคว้นต้าจิ้น แต่เป็นคนที่มีจิตใจเมตตากรุณา เขาจึงตั้งใจมาสารภาพกับนางตามตรง เพื่อให้นางวางใจ ไม่ต้องคิดหวาดระแวงมากนัก

ไม่ใช่เพราะเซียวหรงเหยี่ยนกลัวที่จะต้องรับมือกับคุณหนูใหญ่ไป๋ที่ฉลาดและเก่งกาจผู้นี้ ทว่า เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับความเป็นความตายของชาวบ้านแคว้นต้าเยี่ยน เขาไม่อาจนำชีวิตของชาวบ้านมาเป็นเดิมพันได้ แคว้นต้าเยี่ยนไม่อาจเดิมพันได้

“รัชทายาทมีที่ปรึกษาคนหนึ่งนามว่าฉินซ่างจื้อ เซียวเซียนเซิงคิดว่าด้วยสติปัญญา และความสามารถของฉินซ่างจื้อ เขาจะมองไม่ออกหรือเจ้าคะ”

น้ำเสียงของเซียวหรงเหยี่ยนอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม

“ฉินเซียนเซิงมีความสามารถ ทว่า ฉินเซียนเซิงไม่ทราบความสัมพันธ์ของข้ากับแคว้นต้าเยี่ยน ข้าเป็นพ่อค้า ในฐานะพ่อค้า ข้าอาศัยบารมีของรัชทายาทแสวงหากำไรในเมืองผิงหยาง มีสิ่งใดผิดปกติกันขอรับ”

เซียวหรงเหยี่ยนวางแผนได้รอบคอบมากจริงๆ ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าแกะเชือกของเสื้อคลุมออก จากนั้นยื่นเสื้อคลุมกันลมตัวหนาคืนให้เซียวหรงเหยี่ยน

“เหยียนมีแต่เหงื่อ เกรงว่าจะทำให้เสื้อคลุมของเซียนเซิงสกปรก ในเมื่อเซียนเซิงทำเพื่อช่วยเหลือคน เหยียนก็จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

“เหงื่อออก หากโดนลมจะเป็นหวัดได้ง่ายๆ สวมไว้เถิด!” เซียวหรงเหยี่ยนผลักเสื้อคลุมกลับไปเบาๆ

ไป๋จิ่นจื้อซึ่งนอนอยู่ห้องเดียวกับไป๋ชิงเหยียนเพิ่งตื่นนอน เมื่อเห็นว่าเตียงของพี่หญิงใหญ่ไม่มีคนนอนอยู่แล้ว นางจึงออกมาตาม

ผู้ใดจะคิดว่านางจะเห็นพี่หญิงใหญ่อยู่กับเซียวเซียนเซิง เห็นว่าพี่หญิงใหญ่ปลดเสื้อคลุมคืนให้เซียวเซียนเซิงกับตาของตัวเอง สาวน้อยหรี่ตาเล็กน้อย นึกถึงเมื่อวานที่นางกล่าวว่าสินค้าของเซียวเซียนเซิงอาจมีสิ่งผิดปกติ พี่หญิงใหญ่กลับช่วยแก้ต่างแทนเซียวเซียนเซิง…

ดวงตาของสาวน้อยเป็นประกาย

พระเจ้า! นางล่วงรู้สิ่งใดเข้าให้แล้ว พี่หญิงใหญ่ของพวกนางกำลังมีความรัก!

แม่เจ้า! พี่หญิงใหญ่มีใจให้เซียวเซียนเซิงอย่างนั้นหรือ! แต่ก็จริง…เซียวเซียนเซิงผู้นี้เป็นบุรุษรูปงาม อ่อนโยน แม้กระทั่งองค์ชายยังไม่มีรัศมีเปล่งประกายและสง่างามเท่าเซียวเซียนเซิงเลย!

อืม…รูปร่างหน้าตาและรัศมีในตัวของเขาคู่ควรกับพี่หญิงใหญ่เป็นอย่างมาก

ที่สำคัญพี่หญิงใหญ่ต้องแต่งเขยเข้าตระกูลอย่างแน่นอน เซียวเซียนเซิงผู้นี้…แม้ฐานะพ่อค้าของเขาจะต่ำต้อยไปหน่อย ทว่า เขามีบุญคุณกับตระกูลไป๋ และยังเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งในใต้หล้า ถือว่าคู่ควรกับพี่หญิงใหญ่ของนางอยู่เหมือนกัน!

นางนึกว่าชาตินี้พี่หญิงใหญ่ของนางจะไม่มีวันรักผู้ใดแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าพี่หญิงใหญ่จะชอบเซียวเซียนเซิงผู้นี้!

เมื่อนึกว่าภายภาคหน้าเซียวหรงเหยี่ยนจะแต่งงานเข้าตระกูลไป๋ ผู้อื่นเห็นเขาก็ต้องเรียกขานว่าไป๋เซียวซื่อ จู่ๆ สาวน้อยก็ย่นคอปิดปากลอบหัวเราะออกมา

“ผู้ใด!” สายตาคมกริบราวกับเหยี่ยวของเซียวหรงเหยี่ยนจ้องไปยังมุมมืด

ไป๋จิ่นจื้อกลั้นหายใจ ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ คงไม่ได้หมายถึงนางหรอกนะ

ไม่รอให้ไป๋จิ่นจื้อมีเวลาคิด สาวน้อยเห็นแสงสว่างพุ่งตรงมายังใบหน้าของนาง ดาบของเซียวรั่วไห่ และองครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนพุ่งตรงมายังนางอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ว้าย! ข้า…ข้าเอง!” ไป๋จิ่นจื้อหลบคมดาบขององครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนอย่างรวดเร็วพลางหันไปกล่าวกับเซียวรั่วไห่

เซียวรั่วไห่รีบลดดาบลงทันที

“คุณ…คุณชายสี่!”

ไป๋จิ่นจื้อถลึงตาใส่องครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยน วิ่งไปหาไป๋ชิงเหยียน “พี่หญิงใหญ่!”

ไป๋จิ่นจื้อวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน หยิบเสื้อคลุมมาจากมือของไป๋ชิงเหยียนแล้วสวมคลุมให้นางอย่างคล่องแคล่ว

“พี่หญิงใหญ่ เซียวเซียนเซิงกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ โดนลมจะเป็นหวัดได้ง่ายๆ คลุมไว้เถิดเจ้าค่ะ ขอบพระคุณเซียวเซียนเซิงมากเจ้าค่ะ!”

เซียวหรงเหยี่ยนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อยิ้มๆ

“คุณหนูใหญ่รักษาสุขภาพด้วยนะขอรับ”

มองดูเซียวหรงเหยี่ยนและองครักษ์ของเขาเดินจากไปไกล ไป๋จิ่นจื้อยิ้มให้ไป๋ชิงเหยียนราวกับคนบ้า

“พี่หญิงใหญ่ ท่านกับเซียวเซียนเซิงตกลงกันแล้วหรือเจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองไป๋จิ่นจื้อ ถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกพลางยัดใส่มือของไป๋จิ่นจื้อ กล่าวกำชับ

“เดินทางอยู่ข้างนอก ต่อไปจะกล่าวอันใดจงระวังถ้อยคำหน่อย กำแพงมีหูประตูมีช่อง นำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกไปคืนเซียวเซียนเซิงด้วย”

ไป๋จิ่นจื้ออ้าปาก ทว่า เมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่ระยะไกลถึงเพียงนั้น นางแค่หัวเราะออกมาเบาๆ เซียวหรงเหยี่ยนยังได้ยิน จู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบในทันที

ไป๋จิ่นจื้อถือเสื้อคลุมเดินตามไปชิงเหยียนเข้าไปในห้องพัก

“เซียวเซียนเซิงได้ยินเรื่องที่ข้ากล่าวกับพี่หญิงใหญ่เมื่อวานทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ”

“อยู่ข้างนอกไม่รู้จักระวังวาจา หากเซียวเซียนเซิงเป็นสายลับของแคว้นต้าเว่ยหรือต้องการสร้างความวุ่นวายในสงครามที่หนานเจียงจริงๆ เจ้าคงไม่รอดชีวิตแน่ ไม่ต้องกล่าวว่าเซียวเซียนเซิงเก่งกาจหรือไม่ แค่องครักษ์ข้างกายของเขาผู้นั้นก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า ยิ่งเดินทางอยู่ข้างนอกเช่นนี้ ยิ่งต้องระวังทั้งวาจาและการกระทำ”

ไป๋จิ่นจื้อกอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกไว้แนบอก พยักหน้า นางดูออกตั้งแต่ตอนที่ขอความช่วยเหลือจากเซียวเซียนเซิงผู้นี้แล้ว

“เสี่ยวซื่อจะจำให้ขึ้นใจเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวอย่างจริงจัง

วันที่แปด กองทัพเดินทางมาถึงสันเขาฉงหลวน จัดตั้งที่พักภายในเขาฉงหลวน

ไป๋ชิงเหยียนให้เซียวรั่วไห่จัดเตรียมเงินกระดาษและเหล้าหนึ่งไห เมื่อรายงานให้รัชทายาททราบแล้ว หญิงสาวจึงพาไป๋จิ่นจื้อออกจากค่ายที่พักไปไหว้เคารพศพของแม่ทัพฟางเหยียนผู้นำค่ายเหมิงหู่ที่สละชีพเพื่อปกป้องม้วนไม้ไผ่บันทึกสถานการณ์รบ

หุบเขาลึกเงียบสงบ ลมหนาวยามค่ำคืนพัดรุนแรง ทุกอย่างเงียบสงัด

เปลวไฟจากกองไฟกองเล็กส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดในหุบเขา ส่องสะท้อนร่างของสองพี่น้องที่นั่งคุกเข่าหันหน้าไปทางทิศใต้

ไป๋จิ่นจื้อคลี่เงินกระดาษที่อยู่ในมือออก ยื่นเผาในกองไฟทีละแผ่น ขอบตาร้อนผ่าว

ไป๋ชิงเหยียนรินเหล้าในใส่แก้ว ชูขึ้นเหนือศีรษะ แก้วแรก…ขอบคุณที่แม่ทัพฟางเหยียนสละชีพเพื่อชาวบ้าน หญิงสาวเทเหล้าทิ้งรอบๆ กองไฟ เหล้าทำให้เปลวไฟในกองไฟดับมอดไปครู่หนึ่ง จากนั้นลุกโชนสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม

แก้วที่สอง ขอบคุณที่แม่ทัพฟางเหยียนสละชีพเพื่อตระกูลไป๋

แก้วที่สาม แจ้งให้แม่ทัพฟางเหยียนทราบว่า หลิวฮ่วนจางเสียชีวิตแล้ว ท่านแม่ทัพพักผ่อนอย่างสงบได้แล้ว…

พระจันทร์ที่สว่างไสวค่อยๆ โผล่ออกมาจากก้อนเมฆทึบ แสงของพระจันทร์อันเยือกเย็นส่องกระทบพื้นดินสีหิมะทำให้หุบเขาอันเงียบสงัดสว่างไสวขึ้นมาทันที

ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองดูพระจันทร์ที่สว่างไสวอยู่บนท้องฟ้าสูง ลำคอจุกแน่นยากจะกล่าวออกมา ขอบตาร้อนผ่าว

เมฆหมอกสลายตัว…ในที่สุดก็เห็นแสงของพระจันทร์เสียที

“พี่หญิงใหญ่ เมื่อกลับมาจากหนานเจียง พวกเรามาทำป้ายรำลึกให้แม่ทัพฟางเหยียนเถิดเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของไป๋จิ่นจื้อทุ้มต่ำแหบพร่า

“ได้!” หญิงสาวรับคำ

สองพี่น้องก้มศีรษะคำนับแนบพื้นไปยังกองไฟที่กำลังลุกโชน จากนั้นขึ้นไปบนหลังม้าพร้อมกับเซียวรั่วไห่ เดินทางออกจากหุบเขากลับไปยังค่ายที่พัก

หลักจากผ่านสันเขาฉงหลวน การเดินทางราบรื่น กองทัพเดินทางได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก