บทที่ 34 เหนื่อยกายและใจเจ้าแล้ว

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 34 เหนื่อยกายและใจเจ้าแล้ว
พอเห็นไก่และนกกระทาที่ตนเลี้ยง เธอรู้สึกภูมิใจมาก

ตั้งแต่เธอค้นพบหญ้าพวกนั้น ก็ไม่ได้ใช้เมล็ดข้าวพันธุ์มาเลี้ยงพวกมันแล้ว แต่พวกมันก็โตเร็วกว่าไก่บ้านอื่นมากนัก แม่ไก่และนกกระทาออกไข่ทุกวัน ทุกวันเธอต้องต้มไข่ให้ทุกคนกิน

ถึงจะไม่เห็นสวีฉางหลิน แต่ไข่ที่ต้มให้เขากินทุกวัน

กลางวัน เธอจับกระต่ายที่ยังไม่ได้ขายตัวหนึ่งสับให้ละเอียด จากนั้นใช้น้ำล้างเลือดออก ยกขึ้นมา ใส่น้ำมัน เครื่องปรุงต่างๆเช่นพริกป่น โป๊ยกั๊กลงกระทะให้หมด จากนั้นถึงจะใส่เนื้อกระต่ายลงไป ไม่นานกลิ่นหอมโชยออกมา

ใส่เกลือ และผัดเนื้อกระต่ายให้สุก ใส่งาเล็กน้อย กลิ่นหอมก็โชยออกมาทันที

เสี่ยวไน่เป่าที่นั่งเล่นคนเดียวอยู่ข้างๆแอบกลืนน้ำลาย และวิ่งมาข้างเตาด้วยขาสั้นเล็ก

พอเห็นเนื้อกระต่ายในกระทะ น้ำลายยิ่งมากขึ้นอีก

อาหารที่ท่านแม่ทำช่างอร่อยยิ่งนัก

พอเห็นท่าทางน้ำลายสอของเขาแล้ว โจวกุ้ยหลานทนไม่ไหวอยากหัวเราะ

เธอรีบปิดเตา และยกเนื้อกระต่ายมาใส่ถาด และคีบชิ้นหนึ่งให้เสี่ยวไน่เป่า เสี่ยวไน่เป่ากัดลงไปคำเดียวเลย กลิ่นหอมและรสเผ็ดร้อนคละคลุ้งปาก เขาไม่กลัวลวกปากแล้ว ฟันน้อยๆเคี้ยวหยับๆ

เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อยขนาดนี้ โจวกุ้ยหลานก็ดีใจ จากนั้นก็ใช้ผงมันเทศผสมกับเนื้อล้วนในบ้านทำเป็นซุป หุงข้าว และนึ่งไข่ไก่สองฟองไว้บนนั้นทำเป็นไข่ตุ๋น

ตอนกำลังเพิ่มฟืนเข้าในเตา ก็ได้ยินเสียงเสี่ยวไน่เป่าร้องว่า “ท่านพ่อ!”

โจวกุ้ยหลานเงยหน้ามองไป และเห็นในมือสวีฉางหลินถือไก่ป่าสองตัวกระต่ายหนึ่งตัวกลับมา

เสี่ยวไน่เป่าวิ่งเข้าไปหา สวีฉางหลินยื่นมืออุ้มเขาขึ้นมา เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา และโยนของป่าใส่พื้นที่ว่างหน้าบ้าน

มาหยุดยืนนิ่งหน้าโจวกุ้ยหลาน บอกโจวกุ้ยหลานว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”

โจวกุ้ยหลาน “อืม”ออกมา ตอบเขากลับว่า “เจ้าเองก็ลำบากแล้ว”

หลายวันนี้สวีฉางหลินออกแต่เช้ากลับดึก ทุกวันเธอเห็นแค่เพียงของป่าในบ้านเพิ่มขึ้นไม่หยุด วันต่อมาก็เหมือนไม่มีอีกแล้ว กลางคืนรับรู้ได้ว่าข้างกายมีคน พอเช้าตื่นมากลับไม่เห็นแล้ว เหลือเพียงเสื้อผ้าสกปรกที่ถอดไว้

เธอรู้ว่า สวีฉางหลินเข้าไปล่าสัตว์ทั้งวัน ลำบากมากจริงๆ

“รีบไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ”

โจวกุ้ยหลานเตือนสวีฉางหลิน พออยู่ใกล้ เธอก็ได้กลิ่นเหม็นเหงื่อบนตัวสวีฉางหลิน

สวีฉางหลินรับคำ วางเสี่ยวไน่เป่าลง และไปตักน้ำเย็นเตรียมอาบน้ำ

อากาศหลายวันนี้เริ่มเย็นแล้ว ใช้น้ำเย็นอาบน้ำไม่ได้ โจวกุ้ยหลานห้ามเขาไว้ และต้มน้ำร้อนเสร็จ ถึงให้เขาไปอาบน้ำ

เสี่ยวไน่เป่ายืนอุ้มเสื้อผ้าสะอาดของสวีฉางหลินรออยู่ในห้อง สวีฉางหลินอาบน้ำชะล้างตนเองอยู่ข้างๆ โจวกุ้ยหลานเพิ่มฟืนเข้าไปในเตา และเริ่มหุงข้าว

กำลังหุงข้าวก็ได้ยินเสียงเสี่ยวไน่เป่าร้องอุทานด้วยความตกใจ โจวกุ้ยหลานรีบวิ่งไปดู และก็เห็นรอยเล็บเต็มหลังของสวีฉางหลิน

“นี่มันอะไรน่ะ?”

โจวกุ้ยหลานอุทานด้วยความตกใจเหมือนกัน

รอยเลือดนี่แค่ดูก็เจ็บแล้ว

“ไปเจอหมีสามตัวเข้า”

สวีฉางหลินตอบเบาๆ และไม่สนใจยังคงถูตัวอาบน้ำต่อ

หมีสามตัว!

ต่อให้ไม่ใช่พรานล่าสัตว์ โจวกุ้ยหลานก็รู้ว่าหมีน่ะน่ากลัวแค่ไหน เขาดันเจอสามตัวพร้อมกัน? มันต้องอันตรายขนาดไหนกันเนี่ย?

“หมีคืออะไร?” เสี่ยวไน่เป่ามองพ่อที่ร่างสูงใหญ่ของตนอย่างสงสัย และเอ่ยปากถาม

“สัตว์ร้ายน่ะ”

เสี่ยวไน่เป่ายังคงไม่เข้าใจ “พ่อสู้ไม่ได้รึ?”

“อืม พ่อหนีแล้ว”

ตอบออกมาหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่แค่ดูรอยแผล ก็เข้าใจได้เลยว่าสถานการณ์ตอนนั้นอันตรายแค่ไหน

โจวกุ้ยหลานรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ควรจะโกรธใครดี เลยได้แต่ยัดท่อนฟืนใส่เตาอย่างไม่พอใจ

รอสวีฉางหลินอาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ทำอาหารเสร็จแล้ว ทั้งครอบครัวนั่งลงทานข้าวเที่ยงด้วยกันหลังจากห่างหายไปนานเป็นเดือน

พ่อแม่อยู่ครบหมด เสี่ยวไน่เป่ากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย

สวีฉางหลินตักอาหารยัดเข้าปาก ถึงพอจะเติมเต็มท้องที่หิวจนไส้กิ่วหมดแล้วได้

อาหารที่เมียทำอร่อยที่สุดจริงๆ

“พวกเราหลายวันนี้มาสร้างบ้านเถอะ”

สวีฉางหลินค่อยกินช้าลง ถึงเริ่มเปิดปาก

โจวกุ้ยหลานชะงักมือ ดูไม่กล้าเชื่อคำพูดเขาเท่าไหร่

สร้างบ้านไม่ใช่จะสร้างได้ง่ายๆนะ ถึงจะบอกว่าก่อนหน้านี้เธอเสนอให้สร้างบ้าน แต่พวกเขายังเก็บเงินไม่ครบเลย ที่อยู่ในมือเธอช่วงนี้เอาไปซื้ออาหารซื้อผ้าหมด เหลือแค่สองสามตำลึงเท่านั้นเอง

“ในมือเจ้ามีเงินรึ?”

โจวกุ้ยหลานทนไม่ไหวถามออกมา

สวีฉางหลินวางตะเกียบและชามข้าวลง ลุกขึ้นเดินไปข้างเตียง ย่อลงไปเคาะที่ใต้เตียงครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบถุงเงินออกมาจากในนั้น รีบเดินกลับมายื่นให้โจวกุ้ยหลาน ถึงได้นั่งลงกินข้าวต่อ

เธอหยิบถุงเงินจากบนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู ตาแทบบอดเพราะประกายแสง

ในนี้เป็นตำลึงทั้งนั้น!

เธอมองสวีฉางหลินอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ทำไมเจ้ามีตำลึงมากขนาดนี้?”

คงไม่ใช่ออกไปปล้นใครเขานะ…

สวีฉางหลินตอบกลับในช่องว่างของการตักข้าว “ล่าสัตว์ได้มาน่ะ”

พูดจบก็ปาดข้าวเข้าปากเสร็จ และไปเติมข้าวในหม้อต่อ

หนึ่งเดือนกว่านี้ เขาไม่ได้กินข้าวร้อนๆเลย เอาแต่ขลุกอยู่ในหุบเขา มีเอาไข่มากินบ้าง ตกดึกกลับมา ก็ปาดข้าวและกับข้าวเย็นๆเข้าปากกร้วมๆ

อาหารร้อนที่เมียทำอร่อยกว่าจริงด้วย

โจวกุ้ยหลานลองนับดูอย่างละเอียด มีถึงเก้าตำลึง บวกกับสามตำลึงที่เธอมี ก็เป็นสิบสองตำลึงแล้ว!

จำนวนมากเลยนะ!

นี่พอให้สร้างบ้านหินหลังหนึ่งเลย

สีหน้าเธอมีรอยยิ้มอย่างปิดไม่มิด มองเห็นสวีฉางหลินถือชามข้าวเข้าไป สมองเธอปิ๊งความคิดขึ้นมาทันที และเข้าใจในที่สุด

หรือว่าหนึ่งเดือนมานี้สวีฉางหลินเอาแต่ขลุกตัวล่าสัตว์อยู่บนเขา เพื่อเก็บเงินสร้างบ้านใหม่?

หันมองสวีฉางหลิน ก็เห็นเขาดำเมี่ยมไปทั้งตัว และผอมกะหร่อง ใบหน้าหล่อเหลาแต่เดิมเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

เมื่อกี้เธอไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เลย!

โจวกุ้ยหลานรู้สึกผิดอยู่บ้าง “ต่อไปอย่าทุ่มขนาดนี้เลย”

สวีฉางหลินคีบอาหารเข้าปาก เคี้ยวกลืนหมดแล้วถึงตอบกลับ “จะให้พวกเจ้าหนาวไม่ได้”

พอได้ยินคำนี้ สมองโจวกุ้ยหลานก็หวนคิดถึงคำพูดที่เธอบอกเขาตอนขุดดิน

ทันใดนั้น รู้สึกปวดใจหนึบขึ้นมา

“ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ถ้าไม่ได้จริงๆ พอถึงหน้าหนาวก็ใช้เตาผิงให้มากหน่อยสิ”

โจวกุ้ยหลานบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ตนรู้สึกอย่างไร เลยพูดออกมาแบบนี้

“มีเตียงเตาดีหน่อย” สวีฉางหลินบอก ชามในมือว่างเปล่าแล้ว เขาลุกขึ้นไปเติมข้าวอีกครั้ง

คำพูดนี้ทำให้หัวใจโจวกุ้ยหลานหมุนคว้าง เธออยากสร้างบ้านใหม่จริงๆ แต่ไม่ได้ให้เขาขลุกอยู่ในหุบเขาทั้งเดือนสักหน่อย

พอคิดถึงว่ารอยเล็บที่ด้านหลังสวีฉางหลิน เธอยิ่งรู้สึกผิดหนักขึ้น

ที่แท้เพราะคำพูดนั้นของเธอทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ถ้าตอนนั้นเขาหนีไม่ทัน คงจะ…

หมีน่ะอยู่ด้านในป่าลึกสุด เขาเจอหมีมากมายขนาดนั้น ต้องเข้าไปในหุบเขาลึกแน่