บทที่ 170 กินอาหารที่ทำในบ้าน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 170 กินอาหารที่ทำในบ้าน

บทที่ 170 กินอาหารที่ทำในบ้าน

เสียงของกู้เสี่ยวหวานแผ่วเบา ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับมั่นคงและทรงพลังยิ่ง

ทุกคนในตอนนี้ต่างรู้สึกได้ แม้แต่สวีเฉิงเจ๋อซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลก็มองดูเด็กหญิงอายุแปดขวบคนนี้ ไอรังสีที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนางทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้

คำพูดของกู้เสี่ยวหวานช่างจริงจัง ดูเหมือนว่านางกำลังพูดกับกู้หนิงอันและกู้หนิงผิง ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่านางจะเตือนตนเอง

กู้หนิงผิงนิ่งงัน ไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป ราวกับกำลังคิดทบทวนต่อคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน

กู้หนิงอันท่องคำพูดพี่สาวด้วยเสียงแผ่วเบา และรู้สึกประทับใจ

สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกว่าแม้ตนจะเป็นคนนอก ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวคนอื่นได้ แต่เด็กสองคนก็เป็นลูกศิษย์ของเขาเอง และเสาหลักของครอบครัวนี้ยังอายุน้อยเกินไปจริง ๆ

สวีเฉิงเจ๋อรุดขึ้นหน้า และเอ่ยเกลี้ยกล่อม “หนิงอัน หนิงผิง สิ่งที่พี่สาวของพวกเจ้าพูดนั้นถูกต้อง พวกเจ้ายังเด็กและไม่มีพละกำลัง แต่เมื่อเจ้าเข้มแข็งก็จะไม่มีใครกล้ารังแกพวกเจ้าอีกต่อไป ความคับข้องใจในตอนนี้ เมื่อพยายามอย่างเต็มที่ เราก็จะพยายามเอาคืนภายในอีกสิบปี”

ขณะกู้เสี่ยวหวานเกลี้ยกล่อมน้องชายสองคน นางเห็นเพียงน้องชายสองคนวิ่งออกจากรถม้า แต่ไม่เห็นสวีเฉิงเจ๋อที่ลงมาเป็นคนสุดท้าย

เมื่อได้ยินเสียงของสวีเฉิงเจ๋อในครั้งนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ตกใจ รีบหันหลังอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ข้าไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ …”

สวีเฉิงเจ๋อยิ้มและโบกมือ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ

รังสีของนักปราชญ์ที่มากับร่างกายของเขาช่างแข็งแกร่ง ครั้งที่แล้วกู้เสี่ยวหวานเห็นเขาเพียงผ่าน ๆ เท่านั้น ยังไม่เคยพูดคุยกับเขา และไม่ได้มองอย่างละเอียด ตอนนี้นางอยู่ใกล้เขาแล้วจึงลอบมองอย่างละเอียด เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม หล่อเหลา สง่างาม เหมือนคุณชายคนหนึ่ง

“ที่บ้านมีเรื่องด่วน ข้าเห็นเด็กสองคนนี้รีบร้อนราวกับมดบนกระทะร้อน ข้าจึงเรียกให้รถม้าพาพวกเขามาที่นี่” สวีเฉิงเจ๋อพูดอย่างใจเย็น

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะท่านอาจารย์” กู้เสี่ยวหวานกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว

“ไม่เป็นไร!” สวีเฉิงเจ๋อยิ้มเล็กน้อย ดวงตาโค้งขึ้นเป็นพระจันทร์เสี้ยว

คำพูดของกู้เสี่ยวหวานและสวีเฉิงเจ๋อสอนกู้หนิงอันและและกู้หนิงผิงอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองเข้าใจความหมายของประโยคนี้ แล้วพวกเขาก็คิดว่าตนยังเด็กเกินไปที่จะต่อกรกับเฉาซื่อและคนอื่น ๆ ดังนั้นต่อให้เกลียดชังมากเท่าใด แต่ก็เหมือนคำที่พี่สาวและท่านอาจารย์พูด

สิบปีไม่สายเกินไปที่จะแก้แค้น! ในอนาคต คนที่เคยรังแกพี่น้องของตนเองจะต้องโดนลงโทษ!

กู้เสี่ยวหวานไม่อยากร้องไห้นานเกินไป และนั่นดูเหมือนไม่ใช่นิสัยของนาง พวกเขาจึงเข้ามาในบ้านด้วยกัน สวีเฉิงเจ๋อก็มาในวันนี้ เขาจึงกลายเป็นแขกของบ้าน

เขาตามพวกกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในบ้าน เมื่อตอนที่เขาอยู่ข้างนอก เขาเห็นว่าบ้านทรุดโทรมมาก ตอนนี้ทันทีที่เขาเข้าไปในบ้าน ความเก่าโทรมภายในก็ทำให้สวีเฉิงเจ๋อไม่อยากจะเชื่อ

ในบ้านแม้ว่าจะสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ไม่มีเครื่องเรือนที่ดีอยู่ในนั้นเลย

เตียงเพียงอย่างเดียวก็กินเนื้อที่เกือบครึ่งหนึ่งของห้อง และมีเครื่องเรือนอีกสองชิ้น อย่างหนึ่งเป็นโต๊ะไม้เล็กที่ขาหักและมีหินสองสามก้อนรองอยู่ใต้โต๊ะ และอีกอย่างเป็นตู้เสื้อผ้าที่ไม่มีประตู แม้ว่าจะดูเรียบง่าย แต่ทุกอย่างก็จัดวางอย่างเรียบร้อย

ภายในและภายนอกบ้านถูกปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาด ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้คงจะทำงานอย่างหนัก

ภายในครอบครัวห้องเล็กนี้ถูกจัดระเบียบเป็นอย่างดี แม้สาวน้อยคนนี้อายุเพียงแปดขวบ แต่นางกลับมีความมานะบากบั่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางพูดว่ายังไม่สายเกินไปที่จะแก้แค้นในอีกสิบปี สวีเฉิงเจ๋อจึงรู้สึกประทับใจมาก

สาวน้อยที่สงบเยือกเย็นแบบนี้หาได้ยากจริง ๆ

สวีเฉิงเจ๋ออดไม่ได้ที่จะอยากรู้เกี่ยวกับกู้เสี่ยวหวานให้มากขึ้น สาวน้อยคนนี้มีใบหน้าที่งดงามมากและการแต่งกายก็ดูธรรมดามาก แต่การแบกรับความยากลำบากกลับเหนือกว่าเด็กหญิงในเมืองด้วยซ้ำ

ใจดีและสุภาพ นี่หายากมาก เป็นเด็กหญิงที่หาได้ยากมากจริง ๆ

“พวกเจ้ารีบมาที่นี่ คงยังไม่ได้กินอะไรมาใช่หรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าไม่ว่ารถม้าจะเร็วแค่ไหน ถ้าพวกเขามาที่นี่ในเวลานี้ พวกเขาคงไม่ได้กินอะไรมาอย่างแน่นอน

“ท่านพี่ ข้ายังไม่ได้กิน!” เดิมทีกู้หนิงอันอยากจะบอกว่าถ้ามีของเหลืออะไรก็เอามาได้เลย แต่เมื่อเขาคิดว่าอาจารย์ยังอยู่ที่นี่ การเคลื่อนไหวจึงหยุดชะงัก วันนี้อาจารย์มาส่งพวกเขาที่นี่ด้วยตนเอง จะให้เขากินของเหลือที่บ้านได้อย่างไร

“ตกลง พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าจะเตรียมทำอาหารเดี๋ยวนี้!” กู้เสี่ยวหวานต้องการต้อนรับสวีเฉิงเจ๋อเป็นอย่างดี เมื่ออาจารย์คนนี้เข้ามาในบ้าน และแน่นอนว่าต้องปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี

กู้หนิงผิงเดินตามกู้เสี่ยวหวานเข้าไปในห้องครัว ส่วนกู้หนิงอันอยู่ในบ้านคอยกล่อมกู้เสี่ยวอี้ ไม่นานกู้เสี่ยวอี้ก็ผล็อยหลับไป

การกระทำของกู้เสี่ยวหวานนั้นรวดเร็ว ผ่านไปหนึ่งเค่อนางก็ทำหมูผัดหัวไชเท้า หน่อไม้ผัดผักดอง และยังทำน้ำแกงเนื้อใส่ไข่สองฟองเสร็จอย่างรวดเร็ว

ท่านป้าจางนำไข่เหล่านี้มาให้ โดยบอกว่าพวกมันมีไว้สำหรับบำรุงร่างกายของกู้เสี่ยวอี้

เมื่ออาหารมาถึงโต๊ะ สวีเฉิงเจ๋อยังคงมึนงงเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าการเคลื่อนไหวของเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้จะรวดเร็วเพียงนี้ เมื่อเขามาถึงโต๊ะ เขาก็เห็นจานอาหารสองจาน น้ำแกงหนึ่งถ้วย ในนั้นมีเนื้อและไข่ ยิ่งกว่านั้น อาหารพวกนี้เพียงแค่มองก็กระตุ้นความอยากอาหารทันที

“ท่านอาจารย์ ที่บ้านไม่มีของดีอะไร จึงทำให้ได้เท่านี้เจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าในสายตาของสวีเฉิงเจ๋อ อาหารพวกนี้เป็นอาหารธรรมดาพอ ๆ กับข้าวต้มและเครื่องเคียงที่บ้าน

“ไม่หรอก อาหารพวกนี้ก็ดีมากแล้ว!” สวีเฉิงเจ๋อรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ สำหรับพวกกู้เสี่ยวหวานถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในครอบครัวของพวกเขาแล้ว

หลังจากเติมข้าวลงในชามใหญ่ สวีเฉิงเจ๋อ กู้หนิงอัน และกู้หนิงผิงก็เริ่มรับประทานอาหาร

สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกประหลาดใจมากที่การทำอาหารของกู้เสี่ยวหวานไม่เพียงแต่เร็วเท่านั้น แต่ยังมีรสชาติที่ดีเป็นพิเศษ ดังนั้นในขณะที่กู้เสี่ยวหวานกำลังยุ่งอยู่ในครัว สวีเฉิงเจ๋อจึงชื่นชมอย่างไม่ลังเล “หนิงผิง ฝีมือของพี่สาวเจ้าไม่เลวจริง ๆ!”

“ขอรับ นี่ดีกว่าฝีมือพ่อครัวในสำนักศึกษาของเราซะอีก!” กู้หนิงผิงภูมิใจเมื่อเขาพูดถึงทักษะการทำอาหารของพี่สาวของเขา “ท่านพี่ของข้าสามารถทำอาหารได้มากมาย! ครั้งหน้าถ้าอาจารย์มีเวลาก็สามารถมาได้เสมอ”

สวีเฉิงเจ๋อพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “อือ ครั้งต่อไปที่ข้ามีเวลา ข้าจะมาอย่างแน่นอน”

เมื่อสวีเฉิงเจ๋อพูดเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานที่เพิ่งก้าวเข้าไปในประตูบ้านห้องโถงใหญ่และเห็นคนสามคนอยู่บนโต๊ะ อาหาร และน้ำแกงถูกกินหมดแล้ว และนางก็ได้ยินสิ่งที่สวีเฉิงเจ๋อพูดพอดี

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เสี่ยวหวานยังมีของดีในตัวอีกเยอะค่ะ เพียงแต่ยังไม่ได้งัดออกมาให้เห็นเท่านั้น

ไหหม่า(海馬)