ตอนที่ 329 ตบหน้าครั้งที่หก (1)
มู่เฉินและจวินอู๋เสียที่เงียบมาเป็นเวลานานได้แอบแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันทีแล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนักฉิน ข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสอย่างพวกข้าได้ทำอะไรผิดไปหรือไม่จึงทำให้ท่านเจ้าสำนักระวังพวกข้าเช่นนี้ ท่านสามารถกล่าวกับพวกข้าโดยตรงได้ถ้าท่านต้องการลดอำนาจของผู้อาวุโสลง ท่านไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไรมากมาย ท่านเป็นท่านเจ้าสำนักของสำนักชิงอวิ๋นขอแค่ท่านออกคำสั่งผู้อาวุโสอย่างพวกข้าก็สามารถหายตัวไปได้ตลอดเวลา”
คำพูดของมู่เฉินแทงใจทุกคำและคำพูดของเขาล้วนกล่าวหาว่าฉินเย่ว์ต้องการใช้เรื่องนี้กดขี่ผู้อาวุโสทุกคน
ครั้งนี้ ฉินเย่ว์โกรธมากจนพูดไม่ออก เขาทำได้เพียงจ้องมู่เฉินด้วยความโกรธแค้น
และผู้อาวุโสท่านอื่นก็ถูกยั่วยุเหมือนนกตื่นธนู พวกเขาเริ่มพูดทีละคนและเริ่มทิ้งระเบิดใส่ฉินเย่ว์
ฉินเย่ว์เป็นใคร สำนักชิงอวิ๋นตกมาอยู่ในมือของเขาได้อย่างไร แม้ว่าผู้อาวุโสท่านอื่นจะไม่รู้ชัดเจนทุกอย่างแต่พวกเขาก็สามารถคาดเดาได้
เพื่ออำนาจ คนที่สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งผู้อาวุโสของตัวเอง ถ้าเขาต้องการกำจัดผู้อาวุโสอย่างพวกเขาก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ทันใดนั้น ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความโกลาหลเพราะผู้อาวุโสทุกคนต่างพุ่งเป้าหมายไปที่ฉินเย่ว์
ฉินเย่ว์กลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์
จวินอู๋เสียมองดูความโกลาหลก่อนเกิดภัยพิบัติอย่างเงียบๆ และความเยือกเย็นในดวงตาของนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ท่ามกลางข้อกล่าวหา ฉินเย่ว์ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปเขาตะคอกแล้วชี้ไปที่ ‘เคอฉังจวี’ ที่มองอย่างนิ่งดูดายแล้วกล่าวว่า “เคอฉังจวี เจ้าเป็นผู้อาวุโสของยอดเขาเร้นเมฆาแต่เจ้ากลับยุให้ข้ากับผู้อาวุโสท่านอื่นผิดใจกัน เจ้ามีเจตนาอะไรแอบแฝงอยู่”
ฉินเย่ว์จะบ้าแล้วจริงๆ เขาคิดว่า ‘เคอฉังจวี’ โง่ไปแล้วหรือที่มาทำลายเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้หรือไม่ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าฉินเย่ว์ล้มลง ‘เคอฉังจวี’ ก็อย่าหวังว่าจะรอด
ผู้อาวุโสท่านอื่นไม่มีวันปล่อยเขาอย่างแน่นอน
‘เคอฉังจวี’ ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างไม่รีบร้อน มองไปที่ฉินเย่ว์ที่กำลังโมโหอย่างมากแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาอะไร ข้าก็แค่ว่ากันไปตามเนื้อผ้า”
ฉินเย่ว์กัดฟันกรอดแล้วกล่าวว่า
“อะไรคือว่ากันไปตามเนื้อผ้า! เพราะเหตุใดเจ้าต้องต่อต้านข้า! เพราะเหตุใด”
‘เคอฉังจวี’ ยิ้มแต่ไม่ตอบ แต่จวินอู๋เสียที่อยู่ด้านข้างกลับลุกขึ้นยืน ดวงตาที่เย็นชาของนางกวาดมองใบหน้าที่โมโหของฉินเย่ว์แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า
“เพราะว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่ผู้อาวุโสของยอดเขาเร้นเมฆา”
“อะไรนะ” ฉินเย่ว์จ้องมองเจ้าเด็กน้อยที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“ฮวาเหยา ให้ท่านเจ้าสำนักฉินดูสิว่าเจ้าเป็นใคร” จวินอู๋เสียยิ้มเล็กน้อย ดนตรีของภัยพิบัติกำลังจะเริ่มบรรเลงที่สำนักชิงอวิ๋นแล้ว
ทันทีที่จวินอู๋เสียพูดจบ ภาพที่แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฉินเย่ว์และผู้อาวุโสทุกคน
เห็นคนหลังค่อมอย่าง ‘เคอฉังจวี’ ยืนตัวตรง รูปร่างที่เตี้ยกลับสูงขึ้น ใบหน้าที่เหี่ยวย่นค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย ใบหน้าที่อัปลักษณ์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ยิ่งอยู่ยิ่งสวยงามมากขึ้น
ฮวาเหยาฉีกเสื้อคลุมสีเข้มขนาดใหญ่ออก ร่างสูงเรียวของเขาอยู่ใต้เสื้อผ้าชุดสีม่วงอ่อน
ภายในชั่วพริบตา ชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ได้กลายเป็นชายหนุ่มรูปงามต่อหน้าต่อตาทุกคน!
ทั่วทั้งห้องโถงเกิดความเงียบงัน ฉินเย่ว์และผู้อาวุโสทุกคนต่างจ้องไปที่ฮวาเหยา
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาได้ทำลายโลกทัศน์ของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
“เจ้า…เจ้าไม่ใช่เคอฉังจวี” ฉินเย่ว์หน้าซีดแล้วชี้ไปที่ฮวาเหยาด้วยความตกใจ
“เขาไม่ใช่อยู่แล้ว” จวินอู๋เสียหัวเราะออกมาเบาๆ และรอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าที่งดงามนั้นเป็นประกายยิ่งขึ้น
…………
ตอนที่ 330 ตบหน้าครั้งที่หก (2)
“เจ้าเป็นใคร” ใจของฉินเย่ว์ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว เคอฉังจวีถูกสวมรอยโดยที่เขาไม่รู้ตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เคอฉังจวีที่เขาพบเห็นถูกสวมรอยโดยชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา
เขาไม่เคยสังเกตเลย
ความหวาดกลัวของเขาที่งมโข่งไม่รู้เรื่องแบบนี้ทำให้ฉินเย่ว์รู้สึกขนพองสยองเกล้า
“คนที่มาเอาชีวิตเจ้า” จวินอู๋เสียเอียงศีรษะมองสีหน้าหวาดกลัวของฉินเย่ว์
มิใช่ใครก็สามารถเห็นสีหน้าหวาดกลัวของท่านเจ้าสำนักของสำนักชิงอวิ๋นที่เป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ง่ายๆ
แต่นางเชื่อว่าความหวาดกลัวนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าฉินเย่ว์จะเสียชีวิตและจนกว่าเขาจะตกนรกไปพร้อมกับความหวาดกลัวนี้
“ช่างอวดเก่งจริงๆ ช่วงนี้เป็นเจ้าที่สวมรอยเคอฉังจวีมาโดยตลอดหรือ และเรื่องที่ฆ่าทรมานลูกศิษย์ก็เป็นเรื่องที่เจ้าเสนอออกมาใช่หรือไม่” ฉินเย่ว์กัดฟันกรอด ในขณะที่เขารู้สึกหวาดกลัวเขาก็รู้สึกโชคดีด้วย
ถ้าเคอฉังจวีถูกผู้อื่นสวมรอยมาตั้งแต่แรก เขาก็สามารถโยนความผิดทั้งหมดไปให้คนนั้นได้และผู้อาวุโสท่านอื่นก็จะไม่โกรธเคืองเขาอีก
ความคิดแบบนี้ทำให้ฉินเย่ว์รู้สึกมีความสุขเล็กน้อยในใจ
“ข้าเสนอออกมาเอง” จวินอู๋เสียมองฉินเย่ว์ด้วยรอยยิ้ม
“จิตใจของพวกเจ้าช่างโหดเหี้ยมจริงๆ พวกเจ้าใช้เรื่องนี้เพื่อมายั่วยุให้พวกข้าผิดใจกัน! ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกท่านได้ยินแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นฝีมือของเจ้าเด็กชั่วเหล่านี้! พวกเขาทำเพื่อให้คนที่มีอำนาจในสำนักชิงอวิ๋นทุกคนผิดใจกันและเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เป็นความลับของพวกเขา” ฉินเย่ว์รีบคว้าโอกาสสุดท้ายนี้โดยการโยนความผิดทั้งหมดออกไป
และหลังจากตัวตนของฮวาเหยาได้ถูกเปิดเผย ผู้อาวุโสทุกคนก็ตื่นจากอาการตกใจอย่างรวดเร็ว เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน! เรื่องเหลือเชื่อได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา หลังจากที่รู้ว่าเคอฉังจวีถูกสวมรอย ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อฉินเย่ว์ก็ลดลงอย่างมาก
ผู้อาวุโสทุกคนไม่ใช่คนโง่ พวกเขารู้ว่าณ เวลานี้ พวกเขาควรเป็นเอกฉันท์
“ข้าคิดแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อาวุโสเคอจะทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพวกเจ้า! พวกเจ้ายอมรับมาตรงๆ ว่าพวกเจ้าทำอะไรกับผู้อาวุโสเคอ” ฉินเย่ว์เห็นว่าความโกรธของผู้อาวุโสทั้งหลายลดลงแล้ว เขาก็ยิ่งร้อนใจอยากหันเหความแค้นไปให้เจ้าเด็กพวกนั้น
ไม่ว่าเจ้าเด็กพวกนี้จะเป็นใครมาจากไหน วันนี้พวกเขาก็อย่าหวังว่าจะรอดออกไปจากยอดชิงอวิ๋นนี้
ฉินเย่ว์หัวเราะเยาะในใจ เจ้าเด็กสามคนนี้ยังเด็กเกินไป ถ้าพวกเขาไม่เปิดเผยตัวตนของพวกเขาแล้วสวมรอยเป็นเคอฉังจวียั่วยุต่อไป ฉินเย่ว์จะเป็นทุกข์อย่างยิ่งที่ต้องรับมือกับความโกรธของผู้อาวุโสทุกคน
แต่เจ้าพวกโง่พวกนี้กลับเปิดเผยตัวตนของพวกเขาตอนที่เขารับมือผู้อาวุโสทุกท่านยากที่สุด ทำลายความโกรธที่เพิ่มขึ้นของผู้อาวุโสทุกท่านในทันที
ฉินเย่ว์อยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ เพราะแม้แต่พระเจ้าก็ยังช่วยเขา
จวินอู๋เสียแอบมองด้วยความภูมิใจของฉินเย่ว์ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็กว้างมากขึ้น “เคอฉังจวี พวกเจ้าจะได้พบกันเร็วๆ นี้ ในนรก”
ฉินเย่ว์ตกใจเล็กน้อย “พวกเจ้าฆ่าเขา”
ฉินเย่ว์รู้ความสามารถของเคอฉังจวีเป็นอย่างดี เพราะแม้แต่คนที่มีพลังในระดับปราณสีครามก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แม้ว่าเขาจะไม่มีพลังวิญญาณ แต่เขาเก่งกาจในการใช้ยาพิษเป็นอย่างมาก
เจ้าเด็กสามคนนี้ฆ่าคนที่มีพิษไปทั้งตัวแบบนั้นได้อย่างไร
“ใช่” จวินอู๋เสียกล่าวออกมาตรงๆ โดยไม่ปิดบัง
ฉินเย่ว์หรี่ตาลงแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้ากล้าฆ่าผู้อาวุโสของสำนักชิงอวิ๋น ทรมานลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋น แล้วยังพยายามยั่วยุให้ข้ากับผู้อาวุโสทุกท่านผิดใจกัน! วันนี้พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่”
………….