หันซื่อยังไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบของจิงเฉิงมากนัก แต่ครอบครัวของนางมีการเตรียมการเอาไว้อย่างดี ได้ทำการซื้อตัวป้ารับใช้ที่เข้าใจกฎระเบียบของจิงเฉิงอย่างถ่องแท้มาให้ผู้หนึ่งตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว หันซื่อจึงเรียกป้ารับใช้ผู้นั้นมาคุยด้วย
ป้ารับใช้ผู้นั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ยังคงอธิบายตามที่ตัวเองเข้าใจว่า “แม่นางซือใช้จวนหย่งเฉิงโหวเป็นสถานที่ออกเรือน ความจริงแล้วถือเป็นเรื่องดี ความจริงฮูหยินหรือนายหญิงที่ดูแลงานต่างๆ ในบ้านของแต่ละจวนสมควรมาร่วมงานด้วย แต่ตระกูลซือเป็นขุนนางต้องโทษ คนมามากเกินไปก็ดูไม่ค่อยดีนัก”
หันซื่อไม่ค่อยพอใจกับคำอธิบายดังกล่าวของนางนัก กล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดคนถึงมากันมากมายขนาดนี้? หากอ้างอิงจากสิ่งที่เจ้ากล่าวมา ทุกคนน่าจะส่งแค่ของขวัญมาก็พอแล้ว”
ป้ารับใช้ผู้นั้นค่อนข้างมีไหวพริบ รีบกล่าวว่า “ข้าจะไปสืบข่าวดูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หันซื่อพยักหน้า เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ป้ารับใช้คนนั้นก็กลับมาด้วยสีหน้าผิดปกติ กระซิบรายงานนางว่า “ว่ากันว่าอยากมาดูว่าคุณหนูสกุลหวังหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นก็สัมพันธ์กับคำพูดของจ่างกงจู่แล้ว
หันซื่อกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ลุกขึ้นไปหาหวังซีที่เรือน
หวังซีไม่คิดจะออกไปส่งซือจูออกเรือน อ้างว่าอากาศหนาวเกินไป นางสูดอากาศเย็นเข้าไปแล้วไออย่างรุนแรง จึงจุดท่อทำความร้อนอยู่ในห้องรองฝั่งตะวันตก เกล้าผมเป็นมวยอย่างที่ทำเป็นปกติ สวมเสื้อแขนแคบพอดีตัวสีชมพูของผลท้อลายแปดขุมทรัพย์ กำลังนั่งเล่นปริศนาตารางตัวเลขกับพวกไป๋กั่วอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง
เห็นหันซื่อเข้ามา นางให้สาวใช้ไปชงพุทราจีนผสมลำไยและดอกกุหลาบ ยังกล่าวด้วยว่า “ข้าชอบเติมขิงลงไปในชาเล็กน้อย ดื่มแล้วขจัดความเย็นได้ เพียงแต่ว่ามีรสเผ็ดบ้าง เจ้าอยากเติมสักหน่อยหรือไม่”
หันซื่อไม่เคยดื่มชาประเภทนี้มาก่อน กล่าวว่า “ข้าขอลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่”
ท่าทางเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง
หวังซีประทับใจในตัวนางมาก
ไป๋กั่วเก็บปริศนาตารางตัวเลข ยกขนมและผลไม้เข้ามา หวังซีกับหันซื่อนั่งดื่มชาอยู่บนตั่ง
หันซื่อถามนางว่าไม่คิดจะไปกินเลี้ยงที่งานมงคลของซือจูใช่หรือไม่
หวังซีพยักหน้า กล่าวว่า “ข้ากับนางเข้ากันไม่ค่อยได้ ก็อย่าไปเห็นหน้าให้ต่างคนต่างเกลียดกันดีกว่า เสียบรรยากาศเปล่าๆ!”
หากเป็นเช่นนี้ มิเท่ากับว่าพวกสะใภ้และคุณหนูทั้งหลายที่มาดูตัวหวังซีเหล่านั้นก็ไม่ได้เห็นคนแล้วหรอกหรือ
หันซื่อรู้สึกว่าน่าสนุกยิ่งนัก ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่ก็แล้วกัน! เจ้าเองก็รู้ ข้าหาได้รู้จักคนเหล่านั้น”
หวังซีพินิจพิจารณาหันซื่อนานขึ้นอีกเล็กน้อย
บ้านรองนั้นไม่ว่าตอนไหนก็ล้วนแล้วแต่พยายามดึงความสนใจมาไว้ที่ตัวเองทั้งสิ้น หันซื่อเหมือนจะไม่รู้ก็ไม่ปาน
หันซื่อเห็นแล้วเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “เนื่องจากพวกข้าเป็นบ้านรอง เรื่องเผยโฉมหน้าออกไปรับความสนใจเช่นนี้ ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของบ้านหลักถึงจะถูก ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่ได้ดื่มได้กินอย่างพูนพร้อม ไม่รู้ว่าน่าสำราญใจกว่าข้างนอกมากมายเท่าไรต่อเท่าไร อีกอย่าง ขนมของเรือนเจ้าอร่อยมาก ในจิงเฉิงก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน โอกาสเช่นนี้ต่างหากถึงเป็นสิ่งหาได้ยากยิ่ง”
หาได้ยากยิ่งที่บ้านรองจะมีคนมองอะไรปรุโปร่งเช่นนี้สักคนหนึ่ง
หวังซียิ้มไม่กล่าวอะไร เพียงถามนางว่าชอบขนมอะไรจะได้ให้ไป๋กั่วไปหยิบมาให้
หันซื่อเองก็ไม่เกรงใจ จิ้มขนมที่เรือนหวังซีทำบ่อยๆ มาสองสามชนิด ให้ป้ารับใช้ข้างกายไปแจ้งนายหญิงรองสักคำหนึ่งแล้วก็พูดคุยสัพเพเหระกับหวังซี
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนี้ไม่เป็นไรหรือ”
นายหญิงรองไม่ค่อยชอบนางสักเท่าไร
หันซื่อโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก กล่าวว่า “ข้าหาได้อาศัยกินข้าวของนาง นางจะทำอะไรข้าได้ นางยังหวังให้พ่อข้าช่วยสนับสนุนสามีข้าด้วย”
แต่หลังจากสนับสนุนเสร็จแล้วเล่า? ไม่ต้องใช้ชีวิตแล้วหรือ
หวังซีกะพริบตาปริบๆ
หันซื่อราวกับมองความสงสัยในใจของนางออก หัวเราะฮ่าไปหลายครั้ง กล่าวชมหวังซีว่า “เจ้าช่างน่ารักน่าเอ็นดูนัก! ไม่แปลกที่คุณหนูจำนวนมากในจิงเฉิงต่างชอบเล่นกับเจ้า!”
หวังซีไม่เข้าใจ
หันซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมก็เป็นการร่วมมือผ่านการดองกันระหว่างสองตระกูลอยู่แล้ว ข้าถูกใจที่คุณชายสามหน้าตาดี นิสัยก็ไม่เลว ส่วนพ่อแม่สามีข้าถูกใจที่บ้านพวกข้าช่วยสนับสนุนคุณชายสามได้ เจ้าคิดว่าด้วยเหตุนี้คุณชายสามจะเห็นข้าเป็นดังหยกดังอัญมณีตลอดไปหรือ รอวันใดที่บ้านพวกข้าช่วยเหลือคุณชายสามไม่ได้จริงๆ แล้ว ต่อให้ข้าทำดีมากเพียงใด พวกเขาก็หยิบยกเรื่องไม่ดีออกมาได้อยู่ดี แทนที่ถึงเวลานั้นต้องรับความขมขื่น เหตุใดไม่ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนยังเป็นมิตรทำในสิ่งที่ตัวอยากทำเสียตั้งแต่ตอนนี้เล่า”
หวังซีหันไปชูนิ้วโป้งให้นางทันที
เป็นจริงตามนั้น ตอนที่ผู้อื่นยังชอบเจ้า เจ้าทำอะไรก็ถูกต้องไปหมด แต่ถ้าผู้อื่นไม่ชอบเจ้าแล้ว เจ้าทำอะไรก็ผิดไปเสียทุกอย่าง เหตุใดไม่ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีคนชอบเจ้า อยากทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น ทำให้ตัวเองได้มีความสุขสักหน่อยเล่า
นางใช้ชาแทนสุรา ดื่มคารวะหันซื่อถ้วยหนึ่ง
หันซื่อดื่มชาอย่างสบายใจไปแล้ว ทั้งสองคนรับประทานมื้อเที่ยงด้วยกัน
คนที่อยู่ในงานเลี้ยงด้านนอกถึงได้ค้นพบว่าหวังซีไม่มาร่วมงานแต่งของซือจู จึงมีสะใภ้สาวและเหล่าคุณหนูที่ทนไม่ได้แล้วมารวมตัวกัน ปรึกษากันว่าจะไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
มีคุณหนูท่านหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าคุณหนูหวังอาศัยอยู่ที่สวนร่มหลิวของจวนหย่งเฉิงโหว ซึ่งตั้งอยู่ทางสวนดอกไม้ด้านหลังด้านนั้น วันนี้อากาศไม่เลวเลย งานแต่งของคุณหนูซือจัดถึงยามโหย่ว พวกเรานั่งอยู่ที่นี่ก็น่าเบื่อ ไม่สู้ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลังกันดีกว่า”
มีคนตอบรับทันที
คนเจ็ดถึงแปดคนพาข้ารับใช้เดินไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
สวนร่มหลิวสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ทั้งที่เป็นฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ทว่ากลับมีดอกท้อสีชมพูโผล่พ้นกำแพงออกมา
คนเหล่านั้นยืนเจื้อยแจ้วอยู่นอกกำแพง “นี่เป็นของปลอมกระมัง ฤดูกาลนี้จะมีดอกท้อบานได้อย่างไร อาจารย์ที่เฟิงไถยังไม่มีฝีมือเช่นนี้เลย!”
“นี่ประจวบเหมาะให้พวกเราได้เข้าไปชมสักหน่อยพอดีมิใช่หรือ ดอกท้อบานในฤดูหนาว!”
มีสะใภ้ยังสาวผู้หนึ่งสั่งให้คนข้างกายไปเคาะประตู
คนที่มาเปิดประตูคือไป๋กั่ว
ดวงหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
สะใภ้ยังสาวผู้นั้นรีบกล่าวว่า “พวกข้ามาร่วมงานมงคลของจวนหย่งเฉิงโหว เห็นที่นี่มีดอกท้อบานก็เลยประหลาดใจนัก ไม่ทราบว่าดอกไม้นี้เป็นของจริงหรือของปลอม? ให้พวกข้าเข้าไปชมสักหน่อยได้หรือไม่”
ดอกท้อนี้หวังซีเป็นคนพาคนสวนช่วยกันปลูกออกมา ปกติสวนร่มหลิวมีแขกมาเยี่ยมเพียงไม่กี่คน ช่วงเวลาดอกไม้บานใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าดอกท้อที่งดงามขนาดนี้กลับมีคนรู้เพียงไม่กี่คน ไป๋กั่วรู้สึกเสียดายเหลือเกิน
นางทำความเคารพคุณหนูทั้งหลายด้วยรอยยิ้มแย้ม กล่าวว่า “ข้าต้องไปสอบถามคุณหนูใหญ่ของพวกข้าก่อน นี่เป็นดอกไม้ที่คุณหนูใหญ่ของพวกข้าปลูกออกมา”
ผู้อื่นต่างคิดว่าหวังซีเป็นญาติที่มาเกาะจวนหย่งเฉิงโหว ไป๋กั่วและคนอื่นๆ จึงมักจะยกย่องหวังซีอย่างเงียบๆ
ครั้งนี้ก็ไม่เว้น
คนกลุ่มนั้นลิงโลดด้วยความยินดี เร่งให้ไป๋กั่วรีบไปรายงาน
ไม่นานไป๋กั่วก็กลับมา นอกจากเชิญพวกนางเข้าไปแล้ว ยังเตรียมขนมน้ำชาและเบาะนั่งมาให้ด้วย เตรียมเอาไว้ให้พวกนางได้พักผ่อนในศาลาที่อยู่ข้างๆ หลังจากชมดอกไม้เสร็จแล้ว
ดอกท้อดังกล่าวเป็นการทาบกิ่ง ไม่รู้ว่ามันบานได้อย่างไร
คนเหล่านั้นชมดอกไม้อยู่ที่นั่นกว่าครู่ใหญ่ ก็ไม่เห็นนายของบ้านออกมากล่าวทักทายพวกนางเสียที
มีคนใจร้อนเอ่ยถามไป๋กั่วว่า “เชิญคุณหนูของพวกเจ้าออกมาได้หรือไม่ พวกข้ามีเรื่องมากมายอยากขอให้นางช่วยชี้แนะ ดอกไม้ของพวกเจ้าปลูกได้งามนัก เห็นได้ชัดว่าคนสวนที่บ้านมีฝีมือเยี่ยมยอดมาก”
ไป๋กั่วไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อก่อนเวลาที่นายท่านผู้เฒ่าของพวกเขาไปพักอยู่ที่บ้านตากอากาศ ก็บังเอิญเจอบัณฑิตที่ไปเดินป่าเล่นแม่น้ำอยู่บ่อยๆ เช่นกัน เมื่อเห็นทิวทัศน์บ้านตากอากาศของพวกเขาแตกต่างจากที่อื่นก็มักจะเข้ามาขอคำชี้แนะ
นางไปรายงานหวังซี
หวังซีเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ญาติของบ้านรองที่มาร่วมงานแต่งยังวิ่งมาเด็ดดอกไม้ของนางเลย!
นางไปพบสะใภ้และคุณหนูเหล่านั้น
เหล่าสะใภ้และคุณหนูทั้งหลายเมื่อเห็นนางออกมาแล้วต่างเผยความประหลาดใจออกมาให้เห็น
หวังซีคุ้นและชินกับสายตาเช่นนี้แล้ว ไม่ได้แสดงความผิดปกติออกมา เชิญพวกนางไปดื่มชาที่ห้องอุ่นตามปกติ
หันซื่อได้ยินแล้วรีบตามไปด้วย เห็นใบหน้าที่เคยเห็นจากที่งานของซือจูสองสามคน ก้มหน้าลงมุมปากยกยิ้ม จากนั้นถึงเดินตามเข้าไป
มีเด็กสาวอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่งกำลังขอให้หวังซีช่วยชี้แนะว่าปลูกดอกท้อนี้อย่างไร ยังบอกด้วยว่าเมื่อกลับไปแล้วอยากลองปลูกดูบ้าง
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ไม่ได้แปลกพิสดารอะไร ที่ตรงนี้เคยสร้างเรือนเพาะชำเอาไว้หลังหนึ่ง เมื่อดอกไม้บานแล้วก็รื้อเรือนเพาะชำออก ได้ดูดอกไม้เพียงช่วงที่มันบานเท่านั้น”
“สร้างเรือนเพาะชำ…แล้ว…ก็รื้อ?” เด็กสาวผู้นั้นอ้าปากค้าง
สร้างเรือนเพาะชำต้องใช้เงินจำนวนมาก
จากนั้นก็รื้อออกไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
เด็กสาวเปิดหน้าต่างออก มองสำรวจต้นท้อสองต้นนั้น
หวังซีรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ช่างน่าสนใจยิ่ง ได้ยินนางแนะนำตัวเองว่าแซ่เจี่ย น่าจะเป็นคนของจวนเซียงหยางโหว เพียงแต่ไม่รู้ว่านางเป็นสกุลสายรองหรือว่าสายหลัก ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอมาก่อน หวังซีถามยิ้มๆ ว่า “คุณหนูห้าไม่ได้มาร่วมงานมงคลด้วยหรือ”
เด็กสาวคนนั้นตอบยิ้มๆ ว่า “มา นางไปหาคุณหนูซือแล้ว”
ทุกวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวไปไหนล้วนพาคุณหนูห้าไปด้วย เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นหญิงหม้าย จึงไม่เข้าร่วมงานรื่นเริงเช่นนี้ ให้คุณหนูห้าเป็นคนไปเยี่ยมเยียนซือจู ก็ถือเป็นมารยาทที่เหมาะสมแล้ว
หวังซีกับคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ยังอยากถามอีกสองสามประโยค ทันใดนั้นมีคนแต่งกายเหมือนสะใภ้คนเล็กผู้หนึ่งชี้ตุ้มหูของนางพลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านทำจากที่ใดหรือ งดงามยิ่งนัก!”
เนื่องจากวันนี้ไม่คิดจะออกจากบ้าน หวังซีจึงแต่งกายค่อนข้างธรรมดาสามัญ ที่สวมอยู่เป็นตุ้มหูรูปโคมไฟ เพียงแต่ว่าในโคมไฟใส่ทับทิมหกเหลี่ยมขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวเอาไว้เม็ดหนึ่ง ส่ายไหวกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ข้างในตามการขยับตัวของหวังซี ต่างจากตุ้มหูโคมไฟปกติทั่วไปที่อัญมณีที่ฝังอยู่ด้านในขยับเขยื้อนไม่ได้ แบบของตัวโคมไฟก็ค่อนข้างพิเศษกว่า วางโครงทีละเส้นๆ ไม่เหมือนโคมไฟทั่วไป ใช้ความชำนาญฝังดอกไม้หรือไม่ก็รูปคนในดงปักษาบุษบา ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
หวังซีอดลูบตุ้มหูของตัวเองไม่ได้ ยิ้มตอบว่า “เอามาจากที่บ้าน”
สะใภ้ท่านนั้นมีท่าทางผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเจ้าชอบ ก็ให้ร้านทำเครื่องประดับมาเอาแบบที่ข้าได้”
สะใภ้ท่านนั้นยิ้มยินดีขึ้นมาทันที กล่าวว่า “ที่บ้านข้าเองก็มีเครื่องประดับจำนวนมากเช่นกัน วันไหนเจ้าไปเป็นแขกที่บ้านข้าสักวัน ไปดูว่าเจ้าชอบหรือไม่”
หวังซีจำได้ว่านางเป็นคนของจวนเว่ยกั๋วกง
เนื่องจากคนที่อาศัยอยู่ในจวนเว่ยกั๋วกงคือพี่ชายน้องชายและหลานชายของเว่ยกั๋วกง ไม่มีสักคนที่เป็นลูกแท้ๆของเว่ยกั๋วกง นายหญิงของบ้านก็เป็นหลานสะใภ้คนหนึ่งของเว่ยกั๋วกง สถานการณ์ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง นางรู้สึกว่าตนคงไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมนาง แต่ยังคงตอบรับอย่างยิ้มแย้ม
นี่ราวกับได้เปิดบานประตูบางอย่างออกก็ไม่ปาน ทุกคนพลันสนุกสนานครึกครื้นขึ้นมา คนนี้ถามหวังซีว่ากำไลหยกบนมือใช่หยกจักรพรรดิเขียวในกลุ่มมรกตหรือไม่ คนนั้นถามหวังซีว่าอาภรณ์ชุดนี้ตัดจากร้านไหน ลายปักปักได้โดดเด่นยิ่งนัก ยังมีคนถามว่าชาดของหวังซีซื้อมาจากที่ใดอีกด้วย…หวังซีรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกลายร่างเป็นหมัวมัวผู้ให้คำชี้แนะที่กำลังสอนสั่งพวกนางเรื่องการสวมใส่อาภรณ์และเครื่องประดับไปแล้ว
หันซื่อที่ดูอยู่ด้านข้างหัวเราะไม่หยุด ยังถือโอกาสถามหวังซีด้วยว่าหากต้องการทำเครื่องประดับ มีร้านอะไรแนะนำหรือไม่
หวังซีเองก็พยายามตอบเท่าที่นางรู้ แต่ยิ่งอยู่ความสงสัยในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ถึงแม้ว่าคำถามที่พวกนางถามมาจะพบเห็นไม่บ่อยนัก แต่ก็ใช่ว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่ตอบได้ ท่าทีของพวกนางดูประจบประแจงและกระตือรือร้นมากเกินไป
ยกตัวอย่างเช่นคุณหนูหกสกุลปั๋ว หากไปถามนาง นางย่อมตอบได้ดีกว่าตนอย่างแน่นอน
……………………………………………………..