หวังซีส่งคนที่มาชมดอกไม้ในเรือนของนางกลับไปด้วยความงุนงง ผลปรากฏว่าฉับพลันนั้นก็มีแขกอีกกลุ่มหนึ่งมาเยือนอีกแล้ว
ยังมีคนถามนางว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปร่วมงานมงคล”
หวังซีจำต้องนำเรื่องที่ตนระคายเคืองคอออกมาเล่าให้ฟังอีกรอบหนึ่ง
ทุกคนไม่ไล่ถามอีก เรื่องที่ดึงนางไปถามล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นทั้งสิ้น
หวังซีหาใช่คนโง่ ไม่นานก็ค้นพบความผิดปกติ
คนเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อชื่นชมดอกไม้ของนางแล้วก็ไม่ได้สนใจว่านางจะไปร่วมงานมงคลหรือไม่ด้วย ดูเหมือนมาเพื่อดูว่านางหน้าตาเป็นอย่างไรมากกว่า
มีเรื่องอะไรที่นางไม่รู้เกิดขึ้นหรือเปล่านะ?
หวังซีลอบตรึกตรอง
พอมีคนมาเยี่ยมนางอีก นางจึงบอกว่าป่วยไม่ออกไปพบ
มีคนไปพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าทันทีว่า “ได้เชิญท่านหมอมาดูอาการหรือยัง แม้นกล่าวว่าวันนี้เป็นวันออกเรือนของคุณหนูซือ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้คุณหนูหวังต้องอดทนเช่นนี้ ยามที่ควรเชิญท่านหมอมาก็ต้องเชิญมาดูหน่อย อย่างมากก็ให้ท่านหมอเข้าจากด้านหลังก็ได้!”
น้ำเสียงคล้ายบอกว่าไม่จำเป็นต้องละเลยความปลอดภัยของทุกคนในบ้านเพียงเพื่อให้งานแต่งของซือจูมีบรรยากาศชื่นมื่นเพียงอย่างเดียว คนเหมือนกันแต่กลับปฏิบัติต่างกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนแทบจะล้มตึง
นางไม่ให้หวังซีไปหาหมอเมื่อใดกัน?
นอกจากนี้ด้วยความฉลาดเฉียบแหลมของหวังหมัวมัวคนข้างกายหวังซีผู้นั้นแล้ว หากหวังซีป่วยจริง จะไม่ไปเชิญหมอเพราะเห็นแก่งานมงคลของซือจูได้อย่างไร
แต่เมื่อมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของคนที่มาหาแล้ว นางไม่อยากให้มี ‘เรื่องอื้อฉาวของครอบครัว’ แพร่ออกไปข้างนอก จึงระงับเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลืนความเดือดดาลนั้นลงไปได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องเช่นนั้นที่ไหนกัน นางก็แค่ระคายเคืองคอเท่านั้น หากถึงขั้นที่ต้องเชิญท่านหมอจริง ข้าย่อมให้คนไปเชิญหมอมาให้นางนานแล้ว”
ทว่าในใจกลับตำหนิหวังซีว่าไม่รู้ความ มีเรื่องอะไรไม่รอให้ซือจูออกเรือนไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางนั้นดูฝืดฝืนมากเท่าไร ทำให้คนที่มาถามนางอดพึมพำอยู่ในใจไม่ได้ว่า ดูแล้วข่าวลือที่บอกว่าหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าตามใจหลานสาวจากตระกูลเดิมอย่างไม่มีข้อจำกัดนั้นคงไม่ใช่เรื่องเท็จเสียแล้ว แม้แต่คุณหนูหวังที่เป็นเช่นนี้ยังต้องมีชีวิตโดยดูสีหน้าของซือจู คนอื่นๆยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าแก่จนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ!
นางยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า กล่าวกับโหวฮูหยินว่า “เชิญหมอสักคนมาดูอาการเผื่อเอาไว้ดีกว่า!
โหวฮูหยินไม่อยากให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในเวลานี้อีก ขานรับคำซ้ำๆ ว่า “ได้” จัดให้คนไปเชิญท่านหมอมา
ฟากซือจูกลับเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องชั้นใน ชุดแต่งงานสีแดงสดปักลายนกเฟิ่งเพลิงชมตะวันด้วยด้ายสีทองแขวนอยู่บนราวแขวนผ้า แสงตกกระทบส่องประกายระยิบระยับจนตาพร่า
นางต้องแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงจริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ
นางทำให้เจิ้นกั๋วกงไม่พอใจไปแล้ว แต่ถ้าให้ไปขอร้องให้เฉินอิงคนอ่อนแอไร้ความสามารถแต่ยังคิดว่าตัวเองถูกต้องผู้นี้ปกป้อง…นางยอมตายดีกว่า!
ซือจูนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เฉินลั่วยิงธนูอยู่บนลานฝึกแล้วได้รับความสนใจจากทุกคน รวมถึงเสียงโห่ร้องไชโยไม่หยุด ในขณะที่เฉินอิงกลับหลบอยู่ในมุมหนึ่งมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยานั้นแล้ว หัวใจรู้สึกเหน็บหนาวยิ่งนัก
ด้านหวังซีกลับได้ต้อนรับท่านหมอที่โหวฮูหยินเชิญมาให้
นางตะลึงงันพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ ถามหวังหมัวมัวว่า “มีคนเชื่อคำพูดดังกล่าวจริงๆ หรือ”
หวังหมัวมัวคิดแล้วตอบว่า “ข้าจะไปถามดูเจ้าค่ะ”
วันนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมากเกินไปแล้ว หวังซีโบกมือ กล่าวอย่างหมดแรงว่า “ช่างเถอะ! เขาจะจับชีพจรก็ให้เขาจับชีพจรไป ข้าไม่ได้ตรวจชีพจรมาระยะหนึ่งแล้วพอดี ช่วงนี้รู้สึกร้อนคอเล็กน้อยด้วย กินยาลดอาการร้อนในสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
กล่าวไปกล่าวมา ก็เป็นเพราะหวังซีจุดท่อทำความร้อนเร็วเกินไปนั่นเอง
หวังหมัวมัวหัวเราะ ไปเชิญท่านหมอเข้ามา
ไม่คิดว่าจะเป็นหมอหลวงจากสำนักหมอหลวง
หมอหลวงท่านนั้นจับชีพจรแล้วเขียนเทียบยาให้ หวังซีดูเทียบยาแล้วพบว่ามีแค่อาการร้อนในเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ
นางให้ไป๋กั่วไปจัดยา และให้หวังหมัวมัวไปส่งหมอหลวงท่านนั้น
หวังหมัวมัวยัดซองแดงให้ซองหนึ่ง หลังจากที่ทราบลำดับความเป็นมาของเรื่องราวแล้วก็อดมุ่นคิ้วจนแน่นไม่ได้
ยังไม่ได้แลกเทียบอักษรแปดชะตากันเลยก็ลือว่าคุณหนูของพวกเขากำลังจะแต่งกับเฉินลั่วแล้ว นี่ถ้างานแต่งนี้ล้มเหลว มิเท่ากับว่าชื่อเสียงของคุณหนูของพวกเขาก็จบสิ้นไปด้วยหรอกหรือ
นางเดินกลับไปกลับมาอยู่นอกประตูบ้านเป็นเวลาเนิ่นนาน สุดท้ายเข้าเรือนไปเล่าเรื่องนี้ให้หวังซีฟัง
หวังซีเบิกดวงตากว้าง ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
จ่างกงจู่ถูกใจนางตั้งแต่เมื่อใดกัน? มีใครไปพูดอะไรต่อหน้านางหรือเปล่า หรือจ่างกงจู่แค่อยากหาอนุภรรยาดีๆ ให้เฉินลั่วสักคน ทุกคนลือกันไปลือกันมาเลยกลายเป็นว่าต้องการแต่งภรรยา?
นางรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย รีบกล่าวว่า “เจ้าหาทางไปสืบมาให้กระจ่างว่าจ่างกงจู่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ข้าไม่มีทางยอมเป็นอนุภรรยาของผู้อื่น”
โดยเฉพาะเฉินลั่ว
เหตุใดเขากับภรรยาเอกเป็นกิ่งทองใบหยก ส่วนตนกลับต้องยืนอยู่ด้านข้างเพื่อยกน้ำรินชาให้พวกเขาด้วย?
อย่าแม้แต่จะคิด
หวังหมัวมัวกลับรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้ว จึงไปหารือกับหลงจู๊ใหญ่ อยากสืบให้กระจ่างว่าตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่จนถึงบัดนี้ด้านหลงจู๊ใหญ่ก็ยังไม่มีข่าวแน่ชัดส่งมาให้ข้าสักอย่าง หากให้ข้าไปสืบ ผู้อื่นต่างรู้ว่าข้าเป็นคนข้างกายท่าน เกรงว่าข้ายังไม่ทันได้เอ่ยปากทุกคนก็ระแวงข้าไปก่อนแล้ว”
กลัวว่าผู้อื่นจะไม่พูดความจริงต่อหน้านาง ข่าวที่นางได้มาอาจเป็นข่าวลวงทั้งหมด
ข้างกายพวกนางมีใครพอจะพูดกับจ่างกงจู่ได้บ้างนะ
หวังหมัวมัวเสนอความคิดให้หวังซี “ควรไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนเจียงชวนป๋อหรือไม่เจ้าคะ”
คนที่พอจะพูดกับจ่างกงจู่ได้ก็เห็นจะมีแค่ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินที่กุมอำนาจในบ้านไม่กี่ท่านเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวไร้ประโยชน์ จ่างกงจู่จึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา บัดนี้อยากสืบข่าวก็คงต้องไปขอร้องถึงจวนของผู้อื่นแล้ว
หวังซีได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วย แทนที่จะไปถามผู้อื่น ได้รับข้อมูลที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ไม่สู้ไปถามเจ้าของเรื่องโดยตรงเลยดีกว่า”
นางลุกขึ้นมา ตะโกนเรียกไป๋กั่ว กล่าวว่า “เจ้าไปบอกหวังสี่สักคำหนึ่งว่าข้าต้องการพบใต้เท้าเฉิน!”
ไป๋กั่วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขานรับอย่างนอบน้อมแล้วถอยออกไป
หวังหมัวมัวอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
หวังซีรู้ว่านางกำลังเป็นห่วงตน จึงกล่าวปลอบโยนนางยิ้มๆ ว่า “ต่อให้ใต้เท้าเฉินไม่รู้ แต่มีเขาช่วยไปสืบข่าวให้ หรือไม่ก็ช่วยปฏิเสธข่าวลือให้ ย่อมสะดวกกว่าพวกเรามาก”
นี่ก็จริง
หวังหมัวมัวมีความกังวลอีกประการหนึ่ง “กลัวแต่ว่าจ่างกงจู่จะมีความคิดนี้จริงๆ อยากให้ท่านเป็นอนุภรรยา”
“เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะพอดี” หวังซีกลับไม่กังวลเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ้มกล่าวว่า “จ่างกงจู่คงไม่อาจบีบบังคับให้ใต้เท้าเฉินรับอนุภรรยาได้หรอกกระมัง หากข้าโน้มน้าวใต้เท้าเฉินได้ มิเท่ากับว่าเรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุแล้วหรอกหรือ นี่ถึงจะเป็นการใช้กลยุทธ์สลายกองทัพของศัตรูอย่างที่ท่านปู่เคยบอกข้า”
นี่นับเป็น ‘กลยุทธ์’ อะไรกัน?
แต่หวังหมัวมัวมองสีหน้ามั่นอกมั่นใจของหวังซีแล้วก็หัวเราะออกมา รู้สึกมีความมั่นใจขึ้นมาหลายส่วน
***
เฉินลั่วมาเร็วกว่าที่หวังซีคาดการณ์เอาไว้มากโข
เกี้ยวมงคลของซือจูยังไม่ทันออกจากประตู เขาก็วิ่งมาถึงก่อนแล้ว
หวังซีถามอย่างแปลกใจว่า “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีเวลาว่างมาเจอข้าด้วย”
เฉินลั่วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ก็เจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบข้าด่วนมิใช่หรือ”
หวังซีถึงได้สังเกตเห็นว่าเฉินลั่วไม่ต่างกับนาง สวมแค่ชุดอยู่บ้านกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่ง บนศีรษะไม่ปักปิ่นแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ชุดคลุมตัวนั้นทำจากผ้าไหมสีดำลายว่านน้ำ ด้านในเป็นขนสุนัขจิ้งจอกสีดำ ปลายขนแต่ละเส้นเห็นเด่นชัด ต้องกับแสงอ่อนๆ แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ของสามัญธรรมดา ดูอุ่นมาก
นางกล่าว “ข้าคิดว่าวันนี้เฉินอิงแต่งงาน เจ้าต้องไม่มีเวลา…”
เฉินลั่วกล่าวตัดบทคำของนางว่า “เขาแต่งงานแล้วเกี่ยวอันใดกับข้า? วันนี้ข้าอยู่ที่ซอยลิ่วเถียว หากมิใช่เพราะเจ้าส่งจดหมายไปให้ข้า ข้าคงไม่มาที่นี่”
เอาละ! เขากับนางเหมือนกัน ต่างเบือนหน้าหนีเจ้าบ่าวเจ้าสาว
หวังซีคิด รู้สึกว่าเช่นนี้ทำให้เบิกบานใจยิ่ง ต่างไม่ให้เกียรติพวกเขาแม้แต่นิดเดียว
ไป๋จื่อเข้ามาปรนนิบัติเฉินลั่วถอดเสื้อคลุม ทั้งสองคนนั่งดื่มชาอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง
หวังซีคุยเรื่องข่าวลือกับเขา
เฉินลั่วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะถูกลือออกไปเร็วขนาดนี้
ไม่แปลกที่ผู้อื่นกล่าวว่าขอเพียงคำพูดออกจากปาก ก็ไม่มีความลับในจิงเฉิงอีก
เขาขมวดคิ้ว กล่าวอย่างดูแคลนว่า “ดูแล้วเรือนชั้นในของจวนชิ่งอวิ๋นป๋อก็หาได้เข้มงวดอะไรนัก! คราวก่อนเอาคำพูดของปั๋วหมิงเย่ว์ออกมาลือ ครั้งนี้ก็เอาคำพูดระหว่างมารดาข้ากับฮูหยินผู้เฒ่าออกมาลือ ไม่รู้ว่าพวกเขาดูแลบ้านอย่างไร”
นี่ไม่น่าใช่ประเด็นหลักกระมัง
ไม่รู้เพราะเหตุใด หวังซีรู้สึกใจเต้นแรงเล็กน้อย
นางกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินของพวกเขาต้องสนใจด้วยหรือ มิใช่ว่าตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องหยุดข่าวลือพวกนั้นหรอกหรือ เจ้าไม่รู้อะไร เรือนข้ากลายเป็นสวนผักหลังบ้านที่ทุกคนต่างอยากมาดูไปแล้ว ไม่รู้พวกนางอยากดูอะไรกันแน่”
ยังบ่นเรื่องที่หย่งเฉิงโหวฮูหยินเชิญหมอมาให้นางด้วย
“ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าพอตื่นขึ้นมา ทุกคนอาจกำลังลือว่าข้าใกล้ตายแล้วก็เป็นได้!”
นี่มีความเป็นไปได้สูงมาก
นึกถึงตอนนั้น ท่านปู่ของนางเพียงไม่สบายเท่านั้น แต่ทุกคนต่างลือกันว่าเขาใกล้ตายแล้ว เมืองที่พวกเขาอยู่ต่างพากันขึ้นราคาผ้าขาว
เฉินลั่วกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะไปบอกมารดาข้าสักคำหนึ่ง”
หวังซีรีบกล่าว “กล่าวเช่นนี้แสดงว่าคำพูดนี้ไม่ได้ลือกันไปเอง! จ่างกงจู่พูดว่าอยากให้ข้าแต่งกับเจ้าจริงๆ?”
เฉินลั่วได้ยินแล้วสำรวจสีหน้าของนางอย่างถี่ถ้วน
ไม่เขิน ไม่อาย ทั้งไม่มีอาการยินดีหรือเคืองโกรธ
พูดราบเรียบไร้ความประหลาดใจใดๆ เสมือนกำลังถามว่า ‘วันนี้เจ้ากินอะไร’ เท่านั้นก็ไม่ปาน
ฉับพลันนั้นเฉินลั่วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เหตุใดนางไม่รู้สึก…
แล้วรู้สึกอะไรเล่า?
ดีใจ?!
ขัดเขิน?!
ทำตัวไม่ถูก?!
เด็กสาวยามรู้ข่าวเรื่องงานแต่งของตัวเอง มิใช่ว่าควรเป็นเช่นนั้นกันหรอกหรือ?
เช่นนั้นแล้วหวังซี นางไม่ดีใจหรือเพราะรู้สึกว่าอะไรก็ได้กันแน่นะ?
ความคิดวาบผ่านหัวของเฉินลั่วไป เขารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ถึงขั้นรู้สึกถึงความกราดเกรี้ยวจางๆ ที่กระเพื่อมอยู่ในใจ
เขาก้มหน้าลงดื่มชาคำใหญ่ไปครึ่งถ้วย อารมณ์ถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ใช่! มารดาข้าเคยกล่าวเช่นนั้น…”
ตอนที่เขาพูดประโยคนี้จบแล้ว รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าควรพูดคำจำพวก ‘เจ้าคิดเห็นอย่างไร’ อีกสักสองสามประโยคถึงจะถูกต้อง แต่ถ้อยคำมาถึงริมฝีปากแล้ว มุมปากเขากลับอ้าๆ หุบๆ รู้สึกว่าพูดออกมาไม่ได้
คล้ายกับว่าเมื่อพูดมันออกจากปากไปแล้ว เขาก็เหมือนคนเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์บังกาย ถูกคนมองจนทะลุปรุโปร่ง ประหนึ่งเนื้อบนเขียงที่หมดหนทางแล้ว
หวังซีปากอ้าตาค้างด้วยความตกใจไปเรียบร้อยแล้ว
เฉินลั่วหมายความว่าจ่างกงจู่อยากให้นางเป็นบุตรสะใภ้ไม่ใช่อนุภรรยาอย่างนั้นหรือ
เป็นไปได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าจ่างกงจู่ไม่ใช่คนประเภทที่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสถานะของตระกูล
ดูจากคนที่นางคบค้าสมาคมด้วยเหล่านั้นก็รู้แล้ว
นอกจากนี้นางกับจ่างกงจู่ก็ไม่เคยคุยกันตามลำพังมาก่อน จ่างกงจู่จำหน้าตานางได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ จู่ๆ จะมีความคิดอยากให้นางเป็นบุตรสะใภ้ได้อย่างไร
“มิใช่!” นางละล่ำละลักกล่าว “เป็น เป็นไปได้หรือไม่ว่าเข้าใจผิด หรือบางทีจ่างกงจู่อาจมีแผนการอะไร? บ้านข้าอยู่สู่จง ไม่มีความข้องเกี่ยวกับจิงเฉิงเลย”
ต่อให้ไม่สนใจเรื่องความเหมาะสมของสถานะตระกูล แต่การสู่ขอบุตรสะใภ้หาใช่การซื้อเสื้อผ้า ที่ไม่สวย ไม่เหมาะสม หรือไม่ชอบแล้วแค่เปลี่ยนตัวใหม่ก็พอ สู่ขอบุตรสะใภ้ต้องรู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายด้วยกระมัง
……………………………………………………………..