จอมมาร ทุกครั้งที่ข้าได้ลืมตื่นขึ้นคำคำนี้มักจะเป็นคำแรกๆ ที่ปรากฏออกมาจากปากของผู้กล้าไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม และมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา

จอมมาร ปีศาจจากนรก ตัวตนอันแสนชั่วร้าย ภัยพิบัติแห่งจักรวาล มีชื่อมากมายที่ถูกใช้ในการกล่าวถึงจอมมาร แต่ไม่ว่าผู้คนจะเรียกจอมมารด้วยถ้อยคำที่โหดร้ายแค่ไหน มันก็ไม่สามารถนำมันไปเปรียบเทียบกับตัวตนที่แท้จริงของจอมมารได้เลยแม้แต่คำเดียว

แม้ว่าตัวข้าจะเคยเข้าต่อสู้กับจอมมารร่วมกับเหล่าผู้กล้าในอดีตและปรามจอมมารลงได้ในทุกๆ ครั้งก็ตาม แต่ตัวข้าก็ยังมิอาจเข้าใจได้เลย ว่าโดยสรุปแล้วตัวตนของจอมมารมันคืออะไรกันแน่

แต่ถ้าจะให้ข้านิยามตัวตนของจอมมารตามความเข้าใจของข้าแล้วละก็ ข้าคงจะบอกได้แค่ว่า มันคือตัวตนแห่งการทำลายล้างอันไร้เหตุผล ผู้ถือกำเนิดขึ้นจากความว่างเปล่าอันแสนบริสุทธิ์ที่ไม่มีทั้งดีหรือชั่ว นั้นคือทั้งหมดที่ข้ากับอลูนาร์พอจะสรุปได้

จอมมารถือกำเนิดขึ้นและไล่ทำลายจักรวาลไปเรื่อยๆ แล้วจากนั้นผู้กล้าก็จะถูกจักรวาลเลือกออกมาเพื่อกำจัดจอมมาร การต่อสู้ของผู้กล้ากับจอมมารนั้นเกิดแบบนี้เรื่อยมาเป็นเหมือนกับวัฏจักรที่ไม่มีท่าว่าจะจบสิ้น

เหล่าผู้กล้ามากมายได้เสียสละตนเองเพื่อปกป้องจักรวาลและนำความสงบสุขกลับมา ในขณะที่จอมมารกับถือกำเนิดขึ้นมาตนแล้วตนเหล่า ช่วงชิงเอาความสงบสุขที่ข้ากับเหล่าผู้กล้าสร้างไว้อยู่ร่ำไป

นอกจากจะพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วยังเอาอลูนาร์มาใช้เป็นเครื่องมือทำลายจักรวาลอีก พวกมันทำแบบนั้นวนซ้ำไปซ้ำมาจนเหมือนกับการกระทำที่ผ่านของพวกเราเป็นแค่เรื่องไร้ประโยชน์ ให้ตายสิพอนึกย้อนกลับไปแล้วมันก็น่าโมโหจริงๆ นะไอ้จอมมารพวกนั้น ทั้งที่โดยปกติมันควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ แต่ทว่าการตื่นขึ้นมาครั้งนี้นั้นกับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

จอมมารได้ถูกกำจัดไปแล้ว จักรวาลได้เข้าสู่สมัยที่เจริญรุ่งเรืองกว่าทุกครั้งที่ข้าเคยเจอ ความสงบสุขที่ข้าอยากจะเห็นมันมาโดยตลอดตอนนี้มันได้กลายเป็นจริงแล้ว แม้ว่ามันจะแค่ชั่วคราวก็ตาม

แต่ยังไงการที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้มันก็ช่วยให้ข้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน ถึงจริงๆ ในใจจะรู้สึกแปลกๆ ก็ตามเพราะว่ารอบนี้ไม่ได้เป็นคนปราบจอมมาร แต่ว่าการที่จักรวาลนั้นสงบสุขแบบนี้ย่อมเป็นอะไรที่ดีกว่าอยู่แล้ว

แต่ก็นะ… พูดก็พูดเถอะนะถึงตอนนี้จักรวาลจะสงบสุขก็ตาม แต่มันก็มีเรื่องที่ข้าสงสัยจนคิดไม่ตกอยู่เหมือนกัน

“ใครกันที่เป็นคนปราบจอมมาร?”

คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของข้าไม่หายไปไหน แน่นอนว่าความสงสัยก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ข้ายังเก็บมันมาคิด แต่ถ้ามันเป็นเพียงแค่ความสงสัยเฉยๆ ข้าคงจะไม่พยายามตามหาความจริงของมันขนาดนี้ เพราะการที่เกิดอะไรแบบนี้นั้นมันเป็นเรื่องที่แปลกจนเกินไปจริงๆ

‘มีเพียงแค่ผู้กล้าที่สามารถปราบจอมมารได้’ คำคำนั้นมันไม่สิ่งที่ข้าพูดออกมาลอยๆ เพื่อยกหางเหล่าผู้กล้าในอดีต แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นเสมอมาและไม่มีอะไรมาลบล้างมันได้

ในอดีตเหล่าพรรคพวกของผู้กล้านั้น นานๆ ทีจะมีบางคนที่มีพลังเทียบเท่าหรือสูงส่งกว่าผู้กล้าอย่างมากโผล่ออกมาให้เห็นอยู่ประปราย แต่เมื่อผู้คนเหล่านั้นเข้าไปสู้กับจอมมารจริงๆ กลับไม่สามารถทำอะไรจอมมารได้เลยแม้แต่นิดเดียว

และด้วยเหตุผลแบบนั้น การที่อยู่ๆ จอมมารก็ถูกปราบไปก่อนที่ผู้กล้าจะถูกเลือกนั้น เป็นอะไรที่ปาฏิหาริย์เกินไป ไม่สิ… เรียกว่าปาฏิหาริย์ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ตามปกติมันไม่เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ

ทำได้ยังไงกัน? ใช้วิธีแบบไหนกันถึงสามารถทำให้ไอ้ตัวตนที่ในหัวมีแต่การทำลายล้างแบบนั้นถูกกำจัดได้โดนไม่พึ่งพลังของผู้กล้า!?

ถ้าเกิดว่าข้าสามารถหาวิธีที่คนผู้นั้นใช้ในการจัดการกับจอมมารได้ละก็ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสามารถหาวิธีทำลายวัฏจักรอันไร้จุดจบนี้ลงได้ก็เป็นได้

เพื่อที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ก่อนอื่นก็จำเป็นต้องรู้ข้อมูลของในตอนนี้ให้ได้ซะก่อน และนั้นก็คือเหตุผลที่ข้ามายังหอสมุดของสถานที่ที่เรียกว่าโคโลนี่แห่งนี้ ไม่สิ… รู้สึกว่าผู้คนที่นี่จะเรียกมันว่า ‘พิพิธภัณฑ์สาธารณะ’ สินะ

ตอนที่ได้เห็นมันครั้งแรกของมันข้าตกใจมากเลยละ ทั้งที่เป็นหอสมุดที่ใหญ่ขนาดนี้แท้ๆ แต่กับมีหนังสือน้อยกว่าที่คิดไว้มากๆ แถมหนังสือพวกนั้นยังถูกเอาไปใช้ไว้ในกระจกที่แข็งสุดๆ เหมือนอย่างกับว่าไม่อยากจะให้ใครได้อ่านมันอย่างไงอย่างนั้น

แน่นอนว่ากระจกบางๆ แบบนั้น ด้วยพลังของข้าแค่แคะเบาๆ ก็น่าจะสามารถเอามันออกมาอ่านได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่การทำแบบนั้นมันคงไม่ใช้อะไรที่คนปกติแถวนี้เขาจะทำกันแน่ๆ

แต่ในขณะที่ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะใช้วิธีไหนถึงจะสามารถเอาหนังสือเล่มนี้ออกมาได้โดยไม่โดนใครสังเกตเห็น จู่ๆ ก็มีคนที่น่าจะเป็นบรรณารักษ์ของที่นี่ละมั้ง? เดินเข้ามาหาข้าพร้อมกับเริ่มพูดร่ายยาวเกี่ยวกับหนังสือที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเมามัน จนข้าแทบจะหาจังหวะพูดแทรกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

หลังจากทนยืนฟังสิ่งที่คุณบรรณารักษ์ชั่งพูดคนนี้จนจบ ถึงมันจะไม่ใช่ข้อมูลหลักๆ ที่ข้าต้องการก็ตาม แต่มันก็ทำให้ข้าได้ข้อมูลเพิ่มมาหลายๆ เรื่องเลยละ ถึงมันจะเหมือนว่าเป็นแค่เรื่องทั่วไปก็เถอะ แต่ข้าก็รู้สึกขอบคุณบรรณารักษ์คนนี้จริงๆ

แน่นอนว่าหลังจากนั้นข้าก็ถามคุณบรรณารักษ์คนนี้ไปว่า ‘ข้าจะหาข้อมูลได้จากไหนในหอสมุดแห่งนี้’ เธอก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่งพร้อมกับทำหน้าสงสัยออกมา ในตอนที่ได้เห็นสีหน้าของนาง ข้าก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘อ่า~ ท่าทีแบบนั้น อีกแล้วสินะ…’

หลังจากที่ข้าลองพยายามอธิบายเท่าที่ข้าพอจะเข้าใจให้นางฟังเสร็จ นางก็หัวเราะออกมาพร้อมกับบอกว่าข้าเป็นเด็กที่แปลกจริงๆ ก่อนที่นางจะยื่นแผ่นกระดานบางๆ โปร่งใสมาให้ข้า และบอกว่า ‘ถ้าอยากจะหาข้อมูลอะไรก็ลองหาเอาจากเจ้านี้แล้วกันนะจ๊ะ’ แล้วก็เดินจากไปเฉยๆ โดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม โชคยังดีที่ระบบการทำงานของเจ้านี้ไม่ค่อยจะต่างจากระบบภายในแอสทรัลสักเท่าไรเลยยังพอจะใช้งานได้

แต่ว่านี้มันน่าตกใจจริงๆ ข้านึกไม่ถึงเลยว่าผู้คนในยุคสมัยนี้จะสามารถหาข้อมูลจำนวนมหาศาลสามารถหาได้ง่ายๆ ด้วยแผ่นโปร่งใสอันนี้! จักรวาลที่จอมมารตายไปตั้งเกือบ 1000 ปีเนี่ย เทคโนโลยีและอริยธรรมมันเจริญกันได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!? สุดยอด!! ถ้าด้วยพลังเจ้านี้ละก็ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็วกว่าที่คิดไว้ก็เป็นได้!!

“เฮ้อ… ถึงเป็นแค่เบาะแสก็เถอะ… แต่พอหาเจอได้ง่ายๆ แบบนี้มันก็… อ่า~ น่าเบื่อชะมัด นึกไม่ถึงเลยว่าการใช้เทคโนโลยีเจริญๆ เข้าช่วยแบบนี้ มันจะทำให้เสน่ห์ในการสืบข้อมูลด้วยตนเองมันน่าเบื่อได้ถึงขนาดนี้…”

อิโซลาร์พูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับนอนแผ่หลาไปกับโซฟาที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของพื้นที่พักผ่อนของพิพิธภัณฑ์สาธารณะ โดยไม่ใส่ใจกับสายตาที่ผู้คนรอบข้างหันมามองเธอ ก่อนที่จะยกแผ่นโปร่งใสขึ้นมาจ้องเล็กน้อย

“จักรวรรดิไอริส สหภาพอวกาศลามิน่า องค์กรกลางระหว่างอวกาศเอลิเซียน และก็ เผ่าพันธุ์ประหลาดที่ไม่มีความสามารถในการใช้อาร์คโดยกำเนิด อาล์ฟ งั้นเหรอ…”

เธอพูดพึมพำออกมาเบาๆ และดีดตัวลุกขึ้นมานั่งตามปกติก่อนที่ต่อมาเธอจะสร้างหน้าจอโฮโลแกรมออกมาแล้วเริ่มเขียนชื่อเหล่านั้นลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับจ้องมองไปที่ชื่อในหัวข้อพวกนั้นอย่างไม่วางตา

“ประมาณนี้น่าจะใช้ได้แล้วละ อืม… ถ้าลองเอาข้อมูลอันนี้กับอันนี้มาเปรียบเทียบกัน จากนั้นก็ตัดส่วนที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องออกไปก็จะเหลือแค่พวกนี้เท่านั้นที่พอจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด”

จักรวรรดิไอริส และเผ่าอาล์ฟ แน่นอนว่าเหตุผลที่อยู่ๆ ข้าสงสัยสองสิ่งนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่าข้อมูลที่ข้าหาเกี่ยวกับพวกนี้มันแปลกประหลาดเกินไปยังไงละ

จักรวรรดิไอริส ถ้าแค่ฟังจากชื่อแล้วละก็ ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็แค่พวกแนวคิดจักรวรรดินิยมตามปกติทั่วไปที่ข้ามักจะเจอบ่อยๆ ในทุกครั้งที่ตื่นขึ้นและมักจะไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ

แต่ว่า… สิ่งที่ทำให้ข้าต้องมาสนใจมันจริงๆ จังๆ ก็เป็นเพราะประวัติศาสตร์การก่อตั้งของจักรวรรดินี้ละ

จากที่ข้าลองใช้เจ้าแผ่นโปร่งใสนี่ค้นหาเหตุการณ์สำคัญๆ ในอดีตดู ตัวข้าก็ได้พบว่ามันมีภาพเคลื่อนไว้ของเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่ถูกบันทึกไว้โดยสหภาพอวกาศลามิน่าเมื่อประมาณเกือบๆ 1000 ปีก่อนเข้า

ภาพของเหตุการณ์การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่ปลดปล่อยหมอกสีดำที่เต็มไปด้วยคลื่นพลังอันน่าสะอิดสะเอียนนั้นไปทั่วทั้งอวกาศ ถึงข้าจะไม่เคยเห็นช่วงเวลาที่มันระเบิดจริงๆ เลยสักครั้งก็ตาม แต่ถ้าอ้างอิงจากข้อมูลที่ข้าเคยถามจากอลูนาร์ในสมัยก่อนบวกกับรู้สึกอันแสนคุ้นเคยเมื่อได้เห็นหมอกนั้นแล้วละก็ มันคือการอุบัติของจอมมารอย่างแน่นอน

แต่ว่าตามปกติหมอกพวกนั้นมันควรจะคงสภาพอยู่ถาวรจนกว่าจอมมารจะถูกปราบลงแท้ๆ แต่ว่าในภาพเคลื่อนไหวที่ถูกบันทึกไว้นั้นมันกับคงอยู่เพียงแค่ไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้น ก่อนที่ไม่นานจักรวาลก็ได้กลับเป็นปกติเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นสัญญาณว่าจอมมารได้ถูกปราบไปแล้ว

ในเวลาเพียงแค่ 10 นาทีหลังจากที่จอมมารได้ถือกำเนิดขึ้น ก็ได้มีใครบางคนกำจัดจอมมารลงได้อย่างรวดเร็ว

จะบอกว่ามีใครสักคนหรือกลุ่มคนที่แข็งแกร่งระดับเดียวหรือสูงกว่าผู้กล้าสามารถฝ่าฝูงวอยด์ดิสาซเตอร์ระดับพอน (Pawn) นับล้านตัวที่อยู่รอบๆ แล้วบุกเข้าไปกำจัดเหล่าอบิสซัล (Abyssal) ทั้ง 5 ที่เรียกได้ว่าเป็นยอดขุนพลของจอมมารไปสบายๆ พร้อมกับเข้าต่อสู้กับจอมมารและสามารถสังหารจอมมารลงได้ในเวลาแค่นั้นงั้นเหรอ?

นั้นมันประหลาดเกินไปแล้ว แบบนั้นน่ะต่อให้เป็นผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบมาก็ตาม แต่การที่จอมมารจะถูกจัดการได้เวลาเพียงแค่นั้นมันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือจะบอกว่าเป็นเพราะจอมมารพึ่งถือกำเนิดขึ้นมาก็เลยสามารถกำจัดได้ง่ายๆ งั้นเหรอ?

ไม่! ไม่อยู่แล้ว! ไม่มีทาง!! ถึงจะเป็นตอนที่พึ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ๆ ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นถึงจอมมารเลยนะ เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งและทรงพลังโดยกำเนิดอย่างไร้ซึ่งเหตุผลที่ถ้าไม่ใช่ผู้กล้าละก็ เพียงแค่จะสร้างรอยถลอกให้มันยังเป็นไปได้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ถึงมันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แค่ไหนก็ตาม แต่ว่า… เรื่องที่จอมมารได้ถูกจัดการลงไปแล้วมันก็เป็นความจริงที่ข้ามิอาจปฏิเสธได้

บุคคลต้องสงสัยคนแรกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ที่ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่จัดการกับจอมมารก็คือ องค์จักรพรรดิแห่งมวลมนุษยชาติ ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิไอริส อีธาน ไอริส โพลาริส

ถึงแม้ว่าจากประวัติของตัวจักรพรรดิ อีธาน ไอริส โพลาริส จะไม่มีข้อมูลสำคัญๆ ปรากฏออกมาเลยก็ตาม แต่หากลองย้อนกลับไปอ่านบันทึกข้อมูลเก่าแก่ของสหภาพอวกาศลามิน่าดูก็จะพบว่า จักรวรรดิไอริสในช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์การอุบัติของจอมมารนั้นไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย

แถมดูเหมือนว่าในยุคสมัยก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์การอุบัติของจอมมาร เผ่าพันธุ์มนุษย์โดยส่วนมากนั้นจะถูกกดขี่ในสถานะที่แทบไม่ต่างจากแรงงานทาสราคาถูก โดยเหล่าเผ่าพันธุ์ต่างๆ ของทางฝั่งสหภาพอวกาศลามิน่าที่เป็นผู้ปกครองอวกาศในเวลานั้น

แต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่มีหมอกสีดำผ่านไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็เกิดการ บุกเข้าโจมตีทางสหภาพอวกาศลามิน่าและได้ทำการรวบรวมเหล่าแรงงานทาสเผ่าพันธุ์มนุษย์เกือบ 99.99% ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสหภาพไปเป็นประชาชนของตัวเอง

แถมยังอาศัยช่วงเวลาในตอนที่ทางสหภาพยังไม่ทันได้ตั้งตัว ใช้กำลังเข้าบุกยึดพื้นที่ต่างๆ ในอวกาศกว่า 40% ที่อยู่ในเขตการปกครองของลามิน่าได้ในเวลาอันสั้น จนในที่สุดก็มีการประกาศก่อตั้งจักรวรรดิไอริสขึ้นมาในจักรวาล โดยชายหนุ่มปริศนา นามว่า อีธาน ไอริส โพลาริ และได้กลายเป็นขั้วอำนาจใหม่ในจักรวาล

จากนั้นจักรวรรดิไอริส กับ สหภาพอวกาศลามิน่า ก็ได้เริ่มทำสงครามแย่งชิงอาณาเขตกันเรื่อยมา จนกระทั่งมีการเซ็นสัญญาสงบศึกกันเมื่อ 500 ปีก่อนทำให้สงครามที่กินเวลากว่าหลายร้อยปีได้จบลง

จุดที่น่าสงสัยในเรื่องนี้นั้นมีอยู่หลายอย่างมากๆ ก็จริง แต่จุดที่น่าสงสัยที่สุดกลับเป็นความจริงที่ว่าจักรวรรดิไอริสนั้น ไม่เคยมีการเปลี่ยนจักรพรรดิเลยมาตลอดหลายร้อยปีเลยต่างหาก

พูดง่ายๆ ก็คือผู้ปกครองจักรวรรดิไอริสในตอนนี้นั้น ยังคงเป็นจักรพรรดิ อีธาน ไอริส โพลาริส อยู่ยังไงละ

เอาจริงๆ พอได้อ่านข้อมูลน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นมากๆ เข้า ตัวข้าก็เริ่มรู้สึกไม่ตกใจแล้วละที่อีตาองค์จักรพรรดินี่จะมีชีวิตอยู่ได้เกือบพันปี ก็นะ… ขนาดไม่มีผู้กล้าจอมมารยังโดนปราบได้ง่ายๆ แบบนั้น กะอีแค่จะมีเผ่าพันธุ์มนุษย์สักคนที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นพันปีเนี่ย ยังไงมันน่าพอเป็นไปได้อยู่แล้วละ… มั้ง?

ส่วนเรื่องของเผ่าพันธุ์อาล์ฟนั้น ข้าพบแค่ข้อมูลเพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่สิ… ถ้าให้พูดกันตามตรงก็คือ ข้าหาข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังหรือที่มาที่ไปอะไรเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ที่ว่านั้นแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

สิ่งที่ข้ารู้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ที่ชื่อว่าอาล์ฟนั้น มีแค่อยู่ๆ ก็มีตัวตนปรากฏขึ้นมาเมื่อ 900 กว่าปีก่อนและเป็นเผ่าพันธุ์เดียวในอวกาศที่ไม่สามารถปลุกอาร์คได้มาใช้ได้แม้แต่นิดเดียว

แต่ถึงกระนั้นเผ่าพันธุ์นี้ก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการยกย่องว่าฉลาดที่สุดในจักรวาล ฉลาดระดับที่ว่า พวกนั้นสามารถคิดค้นหาวิธีนำพลังงานจากผลึกอาร์คมาใช้ได้ โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า ‘อาร์ไคฟ์’ เป็นสื่อกลาง และทำให้ผู้คนที่ไม่สามารถปลุกอาร์คได้ สามารถเข้าถึงขุมพลังอันยิ่งใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

‘อาร์ไคฟ์? เครื่องมือที่ไม่ว่าใครก็ถ้ามีมันครอบครองก็สามารถใช้อาร์คได้งั้นเหรอ!!? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!? สุดยอด!!’ นั้นคือคำพูดแรกๆ จากความรู้สึกของข้า เมื่อได้ยินเรื่องของสิ่งที่เผ่าพันธุ์ประหลาดนี้ได้สร้างเอาไว้

ไม่สิ! ไม่สิ!! แต่เดิมแล้วเผ่าอาล์ฟเนี่ยมันเผ่าอะไรกัน? เห็นแบบนี้ข้าเองก็มีชีวิตอยู่มานานมากๆ เคยได้เห็นได้พบเจอได้ศึกษาสิ่งต่างๆ ในจักรวาลมาทุกยุคทุกสมัย แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้จักเผ่าพันธุ์แบบนี้ได้กันละ!?

อยู่ก็ปรากฏตัวออกมาเฉยแบบไม่มีที่มาที่ไป… ถึงมันจะเป็นแค่สิ่งที่ข้าคิดเอาเองไม่มีหลักฐานอะไรมารอรับก็ตาม แต่ข้าคิดว่าสิ่งที่เผ่าอาล์ฟได้คิดค้นขึ้นมา ‘อาร์ไคฟ์’ นั้น บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้จอมมารถูกกำจัดก็เป็นได้ ไม่สิ… ดีไม่ดี บางทีตัวของจักรพรรดิ อีธาน ไอริส โพลาริส กับ เผ่าอาล์ฟ อาจจะมีความเกี่ยวข้องกันสักทางใดทางหนึ่งก็เป็นได้

แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม… สิ่งที่ข้าสรุปได้ทั้งหมดในตอนนี้ก็เป็นได้เพียงแค่สมมติฐานจากกลุ่มก้อนข้อมูลดิบที่ข้าพอจะหาได้เท่านั้น

สุดท้ายแล้วไม่ว่าความจริงเรื่องที่ ‘ใครกันแน่เป็นคนจัดการจอมมาร’ มันจะเป็นเช่นไรก็ตาม ตัวข้าก็อยากจะขอบคุณคนผู้นั้นจริงๆ ที่ช่วยจักรวาลเอาไว้ แต่ถ้าเป็นไปได้ข้าเองก็อยากจะลองไปพบกับคนคนนั้นและพูดขอบคุณคนผู้นั้นด้วยตัวเองจริงๆ

“อืม… จากข้อมูลทั้งหมดที่หาเจอ ดูเหมือนว่าจะมาได้แค่นี้สินะ เฮ้อ… เอาเถอะ ก็ไม่แย่เท่าไร ถ้างั้นพักเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วไปหา—”

“แหม่ๆ ตั้งใจอกตั้งใจน่าดูเลยนะ… เอาขนมสักหน่อยไหมจ๊ะ?”

ในขณะที่อิโซลาร์กำลังจะเริ่มก้มหน้าหาข้อมูลต่อนั้นเอง จู่ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ พร้อมกับยกจานใส่ขนมขนาดเล็กมาวางลงตรงหน้าของเด็กสาว

“ขนม!? เย้~! ของหวานละ!!”

เมื่ออิโซลาร์เห็นว่ามีคนนำขนมวางวางไว้ตรงหน้า ตัวเธอจึงรีบวางมือจากเรื่องที่กำลังทำอยู่พร้อมกับค่อยๆ หยิบขนมเหล่านั้นขึ้นมากินด้วยสีหน้าที่ดูมีความสุขแบบสุดๆ

“อ้า~ ดีจังเลยนะ~ ของหวานเนี่ย… ถึงร่างกายข้าจะไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่มก็ตาม แต่ว่า… ง่ำๆ อืมๆ หวานจัง~!”

“อ๊าย~! เด็กอะไรน่ารักจริงเชียว!! จะรับชาหวานเพิ่มด้วยไหมจ๊ะ?”

“เอาค่า~!!”

เด็กสาวพูดตอบรับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกชาที่พึ่งถูกรินใส่แก้วขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว

“อ่า~ เป็นชาที่รสขมตัดหวานได้กลมกล่อมจริงๆ อืม… ว่าไปแล้วเจ้าหนูศิวะจะไปถึงเอลิเซียนหรือยังนะ? น่าเป็นห่วงจัง… ง่ำๆ อ้า~ เจ้าขนมแปลกๆนี่มันหวานเกินห้ามใจจริงๆ ~ เหลือเก็บเอาไว้ให้เจ้าเด็กนั้นได้กินด้วยดีกว่า… ง่ำๆ หวานจัง~”

***

ทางด้านของศิวะเอง หลังจากที่เขากับเด็กสาวทั้งสองคนสามารถหลบหนีการตามล่าจากพวกที่เหมือนจะเป็นตำรวจของโคโลนี่แห่งนี้ได้สำเร็จ ตัวเขาก็ได้มาหลบซ่อนอยู่ในห้องพักห้องนี้ตามคำแนะนำเด็กสอนคนนั้น พร้อมกับกำลังลงมือทานอาหารที่เด็กสองคนนั้นนำมาให้ด้วยใบหน้าที่ดูเบื่อหน่ายเล็กน้อย

“หวานชะมัด… ถึงจะกินไปแล้วรู้สึกเริ่มมีแรงขึ้นมาก็เถอะ… แต่ว่า…”

ชายหนุ่มจ้องมองไปที่ถุงสีเงินขนาดพอดีมือที่บรรจุของเหลวคล้ายเจลลี่เองไว้ด้วยสายตาเซ็งๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ถึงมันจะกินแล้วรู้สึกอิ่มก็เถอะ แต่ว่า…แม่งก็แค่เยลลี่รสน้ำตาลเฉยๆ ไม่ใช่หรือไงฟะ!? แถมรสชาติแบบนี้นี่มันน้ำตาลเทียมชัดๆ เลยนี่หว่า!! นี่เราควรจะเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า ‘อาหาร’ จริงๆ เหรอเนี่ย!!?

“ให้ตายสิ… นายนี้มันขี้โหวกเหวกโวยวายจริงๆ เลยนะ!! คุณแม่ไม่เคยสอนหรือไง ว่าเวลากำลังทานอาหารไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นน่ะ”

เด็กสาวคนพี่พูดบ่นชายตรงหน้าออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะก้มหน้าลงไปดูดถุงเจลลี่สีเงินต่อโดยไม่พูดอะไรอีก ในขณะที่เด็กสาวคนน้องค่อยๆ ลุงยืนขึ้นและเดินอ้อมมานั่งข้างๆ ชายหนุ่มพร้อมกับยื่นถุงเจลลี่แบบเดียวกันแต่เป็นสีเขียวอ่อนๆ ที่ตัวเองกำลังกินอยู่มาให้เขา

“เอ่อคือ… ถ้าไม่รังเกียจ จะลองทานเรชั่นรสเปรี้ยวของฉันดูไหมคะ? อะ…อร่อยมากเลยนะคะ!”

“เอ่อ… ไม่ล่ะเกรงใจ”

ชายหนุ่มพูดปฏิเสธออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

“งะ…งั้นเหรอคะ… แหะๆ อ่า…”

เด็กคนน้อยที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มแห้งออกมาและหยิบถุงเจลลี่ขึ้นมาดูดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่ายหน้าไปมารัวๆ พร้อมกับแสดงสีหน้าเขินอายออกมาเล็กน้อย

“ปะ…เป็นอะไรน่ะเนียร์? นี่นายทำบ้าอะไรกับน้องฉันย่ะ!?”

“ยังไม่ได้ทำอะไรเลยเฟ้ย!! เฮ้อ… วันนี้นี่มันวันบ้าอะไรฟะ!? วุ่นวายฉิบหายเลยโว้ย!!”

*****