Chapter 011 : คำขอร้องที่ไม่คาดคิด

ณ โซนที่พักอาศัยที่อยู่ในบริเวณเขตสลัมใหม่ของโคโลนี่ ภายในห้องเช่าเล็กๆ ห้องหนึ่งได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจ้องมองสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะควรเรียกมันว่าอาหารดีไหม ด้วยใบหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ หยิบพวกมันทั้งคู่ขึ้นมาดูดพร้อมกันอย่างรวดเร็ว

“อันนี้หวานเทียม… อันนี้เปรี้ยวกรด… ถ้าเอามารวมกันก็จะได้… แหวะ! ห่วยชะมัด… ให้ตายสิ! นึกว่าผสมกันแล้วจะอร่อยขึ้นซะอีก เสียของชะมัด…”

“คำก็บ่นสองคำก็บ่น เฮ้อ… ปากบอกว่าห่วยแท้ๆ แต่ก็ยังหยิบขึ้นมากินเรื่อยๆ สรุปแล้วนายจะเอายังไงกันแน่เนี่ย?”

เด็กสาวคนพี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับชายหนุ่มมองมาที่เขาพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ กับการกระทำแปลกๆ ที่ยากจะทำความเข้าใจของคนที่อยู่ตรงหน้า

“ทำไงได้ก็คนมันหิวนี้น่า อีกอย่างนะ… ทำไมในตู้เย็นบ้านเธอมันถึงมีแต่ไอ้เรชั่นบ้านี่อยู่เยอะขนาดนั้นกันฟะ!? ถึงมันจะทานสะดวกแล้วก็รสชาติพอกินได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็หัดซื้ออะไรที่มันดูมีสารอาหารมากกว่านี่มายัดใส่ตู้เย็นไว้หน่อยเถอะแม่คุณ!”

“เฮ้อ… ฉันละปวดหัวกับนายจริงๆ ตอนนั้นฉันคิดบ้าอะไรอยู่นะ ถึงคิดจะพึ่งพลังของคนบ้าบอแบบนี้เนี่ย…”

“เอ่อคือ… คุณเป็นชาว ‘เอนเชียน (Ancient) ’ ใช่ไหมคะ? คุณ…”

เด็กสาวคนน้องที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ตัวเขามาได้สักพักได้ทำท่าที่เหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็หยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ ชายหนุ่มพร้อมกับจ้องมาที่เขาไม่วางตา

“เอ่อคือ… ทำไมอยู่ๆ ถึงมาจ้องฉันตาเป็นมันแบบนั้นละหนูแว่—”

“เนียร์ค่ะ”

“เอ่อคื—”

“เนียร์ค่ะ!!”

“เฮ้อ… เนียร์ก็เนียร์ แล้วที่มาจ้องฉันแบบนี้มีอะไรเหรอ?”

“เอ่อคือ… ถ้าไม่ว่าอะไรช่วยบอกชื่อมาหน่อยได้ไหมคะ”

“จะว่าไปฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะ ฉันชื่อ ศิวะ นวรัตน์ เรียกฉันว่าศิวะเฉยๆ ก็ได้นะเนียร์”

“เข้าใจแล้วค่ะ ว่าแต่ทำไมชาวเอนเชียนอย่างคุณศิวะถึงมาอยู่ที่โคโลนี่แห่งนี้ได้เหรอคะ? ถ้าจำไม่ผิดช่วงเวลาแบบนี้มัน…”

“ชาวเอนเชียน? อะไรละนั่น…”

“อันนี้ฉันก็สงสัยเหมือนกัน… ถ้าจำไม่ผิดเวลานี้มันน่าจะใกล้ถึงช่วงเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ในรอบ 999 ปี ของเอนเชียนแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมนายถึงยังมาอยู่ที่โคโลนี่แบบนี้ได้ละ? ฉันเคยได้ยินมาว่ามันสำหรับชาวเอนเชียนแล้วมันเป็นงานที่สำคัญมากๆ ชนิดที่ว่าต่อให้กำลังจะตายก็ตาม ยังไงก็ต้องลากตัวเองกลับไปร่วมงานที่ดาวบ้านเกิดให้ได้ไม่ใช่เหรอ?”

“เทศกาลบ้าอะไรฟะน่ะ!? โคตรน่ากลัว!! แล้วก็ฉันไม่ใช่ไอ้ชาวเอนเชียนอะไรนั้นสักหน่อย ฉันเป็นแค่มนุษย์ปกติเฟ้ย!!”

“โกหกชัดๆ ทั้งที่มีพลังแข็งแกร่งขนาดนั้นขนาดสามารถจัดการกลุ่มคนระดับสูงพวกนั้นได้อย่างสบายๆ แท้ๆ ดูยังไงมันก็ชาวเอนเชียนชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง”

“ชะ…ใช่แล้วค่ะ! ถึงคุณเจ้าช— ไม่สิ ถึงคุณศิวะจะมีเหตุผลที่บอกพวกเราไม่ได้ก็ตาม แต่การโกหกแบบนี้ไม่มันดีเลยนะคะ!”

“ฉันไม่ได้โกหกเฟ้ย!! เฮ้อ… ช่างมันเถอะ เอาที่พวกเธอสบายใจเลย… ว่าแต่พวกเธอ—”

ปี๊บ ปี๊บๆ

ในขนาดที่ชายหนุ่มกำลังจะพูดถามอะไรบางอย่างกับเด็กสาวทั้งสองอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเตือนอะไรสักอย่างดังขึ้นมา ทำให้เด็กสาวทั้งสองคนที่ลุกขึ้นและวิ่งตรงเข้าไปที่ห้องครัวในทันที

“เรื่องอุ่นเรชั่นเดี๋ยวหนูให้จัดการเอง พี่ช่วยไปดูให้หน่อยได้ไหมว่าคุณแม่ตื่นดีหรือยัง”

“อืมเข้าใจแล้ว! ฝากด้วยนะเนียร์”

เด็กสาวคนพี่ที่ได้ยินแบบนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในห้องอีกห้องในทันที โดยที่ปล่อยให้เด็กคนน้องยืนทำอะไรบางอย่างในครัวเพียงลำพัง โดยมีชายหนุ่มคอยนั่งมองอยู่ห่างๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“นี่เนียร์ อยู่ๆ พวกเธอก็ลุกพรวดพราดออกไปแบบนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ? แล้วที่ว่าให้พี่สาวเธอไปดูคุณแม่ตื่นเนี่ยคือยังไง…”

ชายหนุ่มค่อยลุกขึ้นมาพร้อมกับเดินไปใกล้ๆ เด็กสาวคนน้องพร้อมกับดูสิ่งที่เธอกำลังคนอยู่ในหม้อต้ม

“แหวะ… อะไรละนั่น… เรชั่นแบบต้มในหม้อเหรอ? ว่าแต่… กลิ่นแรงแสบจมูกชะมัด นี่เธอทนยืนดมมันได้ไงเนี่ย!?”

“ฉันชินกับมันแล้วละคะ แล้วก็นี่เป็นเรชั่นสำหรับผู้ป่วยนะคะ”

เด็กสาวคนน้องพูดตอบกลับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ พร้อมกับท่าทีดูสบายๆ ซึ่งต่างกับเขาที่ต้องใช้แขนเสื้อมีปิดจมูกไว้

“เรชั่นสำหรับผู้ป่วยงั้นเหรอ? อา… เข้าใจแล้ว ผู้ป่วยคนนั้นก็คือคุณแม่ของพวกเธอสินะ”

“ค่ะ…”

เด็กสาวคนน้องก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ดูเศร้านิดๆ

“แต่ว่าตามปกติถ้าจะทำอาหารผู้ป่วยตัวเลือกมันควรจะเป็นพวกพืชผักไม่ก็พวกเนื้อสัตว์ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องเป็นเรชั่นแบบนี้ด้วยละ? หรือว่าเจ้านี้มันมีอะไรพิเศษกว่าอาหารปกติงั้นเหรอ?”

“ที่ถามออกมาแบบนั้น… คุณศิวะพึ่งเคยมาที่โคโลนี่เป็นครั้งแรกเหรอคะ?”

“อืม”

เด็กสาวยืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ เริ่มพูดออกมา

“พวกอาหารที่เป็นวัตถุดิบแบบนั้น มันเป็นของที่ต้องนำเข้ามาจากดาวอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลจากโคโลนี่แห่งนี้นะคะ ถึงราคาของมันจะไม่ได้สูงมากก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างพวกหนูสามารถซื้อมาทานได้บ่อยๆ นะคะ”

“เพราะแบบนี้เองสินะ… ในตู้เย็นพวกเธอถึงมีไอ้ของพรรค์นั้นอยู่เต็มตู้แบบนั้น”

“ค่ะ… เรชั่นนั้นมีราคาที่ค่อนข้างถูกมากๆ และก็มีสารอาหารอยู่พอมากสมควรจนสามารถทานแทนอาหารปกติได้เลยละคะ แน่นอนว่าสำหรับคนที่ไม่ได้เกิดและเติบโตที่โคโลนี่รสชาติมันอาจไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไร แต่สำหรับพวกหนูแล้วมันแค่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในแต่ละวันเลยละคะ”

“เห… อย่างงั้นเองหรอกเหรอ แต่นึกไม่ถึงเลยนะว่าการอยู่ในโคโลนี่มันจะลำบากขนาดนั้น จะว่าไปแล้วเรื่องคุณแม่ของ—”

“เนียร์คุณแม่ตื่นแล้วล่ะ ทางนั้นเตรียมของเสร็จหรือยัง?”

เด็กสาวคนพี่โผล่หน้าออกมาจากห้องห้องหนึ่งพร้อมกับส่งเสียงเรียกออกมาเบาๆ

“เสร็จแล้วค่ะพี่ จะไปเดี๋ยวนี้ละคะ ถ้วยๆ อยู่ไหนนะ เอ๊ะ…?”

ในขณะที่เด็กสาวคนน้องกำลังจะมองหาถ้วยอยู่นั้นเอง ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ เธอยื่นหยิบถาดที่มีถ้วยที่ตัวเธอกำลังหาอยู่มาให้ไว้ตรงหน้าเธออย่างรวดเร็ว

“ขะ…ขอบคุณค่ะคุณศิวะ”

“จริงๆ เรียกศิวะเฉยๆ ก็ได้เนียร์ แล้วก็เดี๋ยวฉันช่วยยกนั้นไปส่งให้เอง”

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นช่วยยกเรชั่นถ้วยนี้ไปส่งให้พี่เมียร์หน่อยได้ไหมคะคุณศิวะ?”

“อะไรฟะนั่น? ไหงมันถึงกลายเป็นการพูดแบบเป็นทางการได้ละ แต่ก็… รับทราบครับผม!!”

พอพูดจบชายหนุ่มก็รีบยกถ้วยที่เต็มไปด้วยเรชั่นไปส่งให้ที่ห้องอย่างระมัดระวัง โดยมีเนียร์คอยเดินนำหน้าเขาอยู่เล็กน้อย

เมื่อเดินมาจนถึงหน้าห้องในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปข้างใน จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงออร่าแปลกๆ จนทำให้ตัวเขารู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย

ชายหนุ่มกลอกตามองไปรอบๆ ห้องด้วยความตกใจ จนสายตาของเขาไปพบกับหญิงสาววัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวที่กำลังนั่งหลับตาอยู่บนเตียง โดยมีเด็กสาวคนพี่คอยนั่งจัดเตรียมอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ

“นี่เนียร์”

“มีอะไรเหรอคะ…”

เด็กสาวคนน้องพูดตอบรับออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าๆ พร้อมกับก้มหน้าลงเล็กน้อย

“ตอนแรกฉันนึกว่าคุณแม่ของพวกเธอน่าจะป่วยเป็นพวกโรคเรื้อรังหรืออะไรทำนองนั้น แต่ว่า…”

เขาหยุดกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

“นั้นนะมันเป็นอาการป่วย ไม่สิ… มันเป็นแค่อาการป่วยจริงๆ เหรอ!? ทำไมมันถึงทำให้คุณแม่ของพวกเธอตัวจางเหมือนกับกำลังจะหายไปแบบนั้นละ…”

เขาจ้องไปที่หญิงสาววัยกลางคนอย่างไม่วางตาด้วยความไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ร่างของหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงโดยมีละอองแสงเล็กๆ ค่อยๆ ถูกบ่อยออกมาจากร่างกายทีละนิดพร้อมกับร่างกายของเธอที่ดูโปร่งแสง จนเริ่มจะสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังของหญิงสาวได้

“แหมๆ ตายจริง ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงมีแขกมาที่บ้านได้—”

หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่ในทันทีที่เธอหันหน้ากลับมามองชายหนุ่มที่อยู่บริเวณหน้าประตูห้อง ตัวเธอที่เงียบลงอย่างรวดเร็วและจ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่ดูตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ไม่นานหญิงสาวจะกลับมาปั้นหน้ายิ้มเหมือนเดิมโดยไม่พูดอะไร แต่เธอก็ยังคงจ้องมองมาที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่วางตาพร้อมกับแสดงท่าทีดูหวาดระแวงออกมาเล็กน้อย

“เอ่อคือ… ขะ…ขอรบกวนหน่วยนะครับคุณน้า แหะๆ”

ชายหนุ่มหัวเราะแห้งๆ ออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ เดินเอาของที่เขาถือมาด้วยไปวางไว้ที่บริเวณโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เตียงนอนของหญิงสาวตรงหน้า

“งะ…งั้นเหรอจ๊ะ ถะ…ถ้างั้นก็ทำตัวตามสบายได้เลยนะคะท่านผู้— เอ่อ… ท่านผู้มาเยือน”

หญิงสาวผู้ตอบกลับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับค่อยๆ ทำหน้าเหมือนกับโล่งใจออกมาเล็กน้อย

“คุณแม่ค่ะ เดี๋ยวก่อนจะทานอาหารหนูขอเช็ดตัวให้ก่อนนะคะ แล้วนายจะมายืนข้างฉันอีกนานไหมเนี่ย? ถอยหน่อยสิ!”

เด็กสาวคนพี่ยกถังใส่น้ำขนาดเล็กมาวางที่เก้าอี้ข้างๆ ตัวเขา พร้อมกับค่อยๆ เอาผ้าสีขาวจุ่มลงไปในถังก่อนที่จะยกผ้าผืนนั้นขึ้นมาบิดหมาดๆ พร้อมกับเขาไปหาแม่ของเธอ

“โอะ…โอ้ว โทษทีนะ งั้นเดี๋ยวผมจะออกไปรอข้างนอกก่อน ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็เรียกได้นะครับ”

พอพูดจบตัวเขาก็เดินออกไปแทบจะทันที ส่วนตัวของหญิงสาวที่เห็นว่าอีกฝ่ายออกไปแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก

“ทั้งที่มันจบไปนานแล้วแท้ๆ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงปรากฏตัวขึ้นมาในช่วงเวลาแบบนี้ได้กัน นี่มันหมายความว่ายัง— เอ๊ะ?”

ในจังหวะที่หญิงสาวพูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดนั้นเอง เด็กทั้งสองที่เห็นว่าแม่ของพวกเธอมีอาการแปลกจึงรีบเข้ามากอดตัวเธอพร้อมกับจ้องมองมาที่ใบหน้าของเธอด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณแม่!? ไหวไหม?”

“มะ… เมื่อกี้คุณแม่ทำสีหน้าดูเครียดมากเลยนะคะ กะ…เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”

เด็กสาวทั้งสองพูดถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวล เธอที่เห็นแบบนั้นจึงค่อยๆ ยิ้มออกมาก่อนที่จะค่อยๆ ใช้แขนทั้งสองข้างเข้าไปสวมกอดเด็กทั้งสองพร้อมกับลูบหัวตัวเธอทั้งคู่เบาๆ

“เมียร์… เนียร์… ไม่มีอะไรเหรอจ๊ะ แม่แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆ นิดหน่อยน่ะ ว่าแต่ท่าน— อะแฮ่ม!คุณแขกคนนั้นเป็นใครแล้วพวกลูกไปเจอเขาได้ยังไงงั้นเหรอ?”

““เอ่อคือว่า…” ”

เด็กสาวทั้งสองมองหน้ากันไปมาเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ เริ่มเล่าเรื่องที่พวกเธอไปเจอกับศิวะได้ยังไงให้แม่ของพวกเธอฟัง แน่นอนว่าพวกเธอทั้งคู่ไม่ได้เล่าเรื่องที่พวกเธอเกือบจะโดนกลุ่มคนพวกนั้นจับตัวไปเป็นทาสเพราะไม่อยากให้แม่ของพวกเธอเป็นห่วง

***

หลังจากที่เขาเดินออกมาจากห้องเพราะไม่อยากจะไปขัดเวลาอยู่ด้วยกันของสามแม่ลูก ตัวเขาด้วยความที่ไม่มีอะไรจะทำจึงได้เดินเข้าไปในห้องครัวที่มีพร้อมกับมองไปที่กองจานชามที่กองอยู่ในอ่างล้างจานด้วยความเหนื่อยใจ

“เฮ้อ… เอาจริงดิ… แต่ก็เอาเถอะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะเก็บกวาดล้างจานชามที่อยู่ตรงหน้าอย่างในทันที

“ว่าแต่น้ำยาล้างจานอยู่ไหนกันนะ? จะว่าไป… ไม่เห็นของที่ดูจะเหมือนน้ำยาล้างจานเลยแฮะ หรือว่าคนที่นี่เขาไม่ใช้น้ำยาล้างจานล้างจานกันนะ?”

เขากวาดสายตามองไปรอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเลิกมองหาของที่ว่าและเริ่มลงมือล้างจานโดยใช้แค่น้ำเปล่าแทน

“เอาเถอะถึงไม่มีน้ำยาแต่ถ้าล้างดีๆ ก็สะอาดได้เหมือนกัน จากที่ดูตัวจานชามพวกนี้ก็ไม่มีคราบมันเลยด้วย เพราะงั้นแค่น้ำเปล่าก็น่าจะพอแล้วละ จริงสิ… จะว่าไปแล้ว ความรู้เสียวสันหลังตอนจะเข้าไปในห้องในตอนนั้นมันอะไรกันฟะ?”

ในขณะที่เขากำลังลงมือล้างจานอยู่นั้นเองตัวเขาก็ดันไปนึกถึงความรู้สึกแปลกๆ ในตอนที่เดินเข้าไปในห้องห้องนั้น

แน่นอนว่ามันเป็นความรู้สึกหวาดกลัวแบบแปลกๆ ถ้าจะให้พูดก็คงจะเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เจอกันไอ้แมวนรกนั้นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกน่าหวาดกลัวจนแทบจนทำอะไรไม่ถูก แต่ว่าความรู้สึกที่เราโดนตอนเข้าไปในห้องเมื่อกี้นั้นถึงมันจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กันก็จริง แต่มันเบากว่ามากๆ แถมยังรู้สึกอบอุ่นใจแบบแปลกๆ ด้วย

“หรือว่าป่วยที่แม่ของเด็กพวกนั้นเป็นอยู่ จะมีความเกี่ยวข้องกับไอ้แมวเวรนั้นงั้นเหรอ!?”

เอาจริงๆ มันก็คงจะพอเป็นไปได้อยู่ละมั้ง ถ้าจำไม่ผิดยัยแก่โลลินั้นจะเรียกพวกมันว่า ‘วอยด์ดิสาซเตอร์’ สินะ แต่ว่าไอ้ตัวบ้านั้นมันน่าจะม่องเท่งไปแล้วหลังจากโดนท่าโคตรอลังการของยัยแก่โลลินั้นไม่ใช่เหรอ ไม่สิๆ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกยัยแก่นั้นจะพูดชื่อแปลกๆ อย่าง ‘รูคของรอบนี้’ ขึ้นมาด้วยสินะ จะว่าไปแล้วมันหมายความว่ายังไงฟะ?

“ลองเรียกยัยแก่โลลินั้นมาถามดูดีไหมนะ…”

“ยัยแก่โลลิคืออะไรเหรอศิวะ?”

“คำว่า ‘ยัยแก่’ หนูเคยได้ยินคนที่อยู่ในย่านการค้าพูดอยู่เหมือนกัน แต่คำว่า ‘โลลิ’ เนี่ยไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยละคะ มันหมายความว่ายังไงเหรอคะคุณศิวะ?”

“โลลิก็คือ— เว้อ!!?”

ในจังหวะที่เขากำลังจดจ่ออยู่กับการล้างจานพร้อมกับคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเองจู่ๆ ก็มีเด็กสาวสองคนเดินมาอยู่ข้างๆ พร้อมกับจ้องมองมาเขาที่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“อะไรกันพวกเธอเองหรอกเหรอ… แล้วคุณแม่ของพวกเธอละ?”

“ถ้าคุณแม่ละก็ตอนนี้หลับไปแล้วละคะ”

“จะว่าไป… เหมือนคุณแม่จะพูดพึมพำถึงนายด้วยนะศิวะ นี่นายเป็นคนรู้จักของคุณแม่งั้นเหรอ?”

“หืม? ฉันพึ่งเคยมาที่โคโลนี่นี้เป็นครั้งแรกนะ ฉันจะไปรู้จักกับแม่ของพวกเธอได้ยังไงกัน”

ชายหนุ่มพูดออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ในขณะที่เขาพึ่งล้างจานใบสุดท้ายจนเสร็จไปและกำลังล้างมือของตัวเองอยู่

“เอ๋~ แปลกจังนะ? เห็นคุณแม่ถามเรื่องของนายเยอะมากเลยนะ”

“ชะ…ใช่แล้วละคะ หนูเองก็ไม่เคยเห็นคุณแม่ถามเรื่องของใครสักคนเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยนะคะ”

“เห… เอาจริงดิ?”

ชายหนุ่มเอามือที่เปียกน้ำไปเช็ดที่เสื้อของตัวเองจนแห้ง ก่อนที่จะค่อยๆ เดินกลับไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นตามเดิม โดยมีเด็กทั้งคู่เดินตามมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา

ชายหนุ่มจ้องมองไปยังเด็กทั้งคู่ที่กำลังทำท่าทีเหมือนกับลังเลอะไรบางอย่างอยู่ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจเล็กน้อย

“เฮ้อ… ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ก็บอกมาเถอะ”

““เอ๊ะ?” ”

“จะมา ‘เอ๊ะ?’ ทำเพื่อ? พวกเธอกำลังลำบากเรื่องหาวิธีรักษาคุณแม่ของพวกเธออยู่ไม่ใช่หรือไง? จริงอยู่ว่ามันอาจเป็นเหมือนการมาเที่ยวยุ่งเรื่องชาวบ้านก็ตาม แต่ว่าการจะให้มายืนมองแม่ของพวกเธอตายจากไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยแบบนี้ละก็ มีหวังทำเอาฉันรู้สึกผิดไปจนตายแน่เลย”

“ยะ…เย้~! สำเร็จแล้วละเนียร์ เราได้ศิวะมาเป็นพวกแล้วละ!!”

“ดะ…เดี๋ยวก่อนสิคะพี่!? มะ…มันก็จริงอยู่ที่พวกเราอยากจะขอยืมพลังของคุณศิวะ แต่ว่าแบบนั้นมันอาจจะทำให้คุณศิวะต้องตก—”

“เอาน่าเนียร์ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ยังไงเรื่องที่ฉันคิดจะช่วยคุณแม่พวกเธอฉันก็ตัดสินใจไปแล้วด้วย ว่าแต่เกี่ยวกับเรื่องที่โรคที่แม่ของพวกเธอกำลังเป็นอยู่เนี่ยอย่างน้อยๆ ก็ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม?”

“ขะ…เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าคุณศิวะพูดอย่างนั้นแล้วละก็”

“ศิวะเนี่ยถึงจะดูเป็นคนบ้าๆ บอๆ แต่ก็เป็นคนดีใช้ได้เลยนะ!!”

“ใช่ไหมล่าๆ ถึงฉันเห็นฉันเป็นแบบนี้ แต่ก็— เมื่อกี้เธอพูดว่าไงนะยัยเด็กหงอน!?”

หลังจากนั้นเขาก็นั่งฟังเรื่องที่เด็กทั้งสองเล่าเรื่องอาการป่วยที่แม่ของพวกเธอกำลังเป็นอยู่

ถึงตัวเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรก็ตามว่าสรุปแล้วมันคือโรคอะไรกันแน่ แต่ดูเหมือนว่าอาการป่วยที่แม่ของเด็กพวกนี้กำลังเป็นอยู่นั้น เป็นโรคประหลาดที่แม้แต่ฐานข้อมูลการรักษาในโรงพยาบาลของโคโลนี่ก็ไม่มีข้อมูลของมันเลย

แน่นอนว่าพวกเธอเคยพาคุณแม่ของพวกเธอไปเข้ารับการรักษาอยู่หลายครั้ง แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นการเสียเงินและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่มีใครสามารถรักษาหรือหาสาเหตุที่มาของโรคที่แม่ของพวกเธอเป็นอยู่ได้เลย แถมอาการป่วยเองก็เริ่มแสดงอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แม่ของพวกเธอการเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปในที่สุด

แต่ดูเหมือนว่าเมื่อเร็วๆ นี้พวกเธอทั้งคู่จะพบวิธีที่ ‘อาจจะ’ รักษาแม่ของพวกเธอได้ขึ้นมา ซึ่งวิธีนั้นก็คือ

“ ‘น้ำอมฤต’ งั้นเหรอ? อะไรฟะนั่น!? ตามปกติมันควรจะเป็นคำที่ไม่น่าจะปรากฏออกมาจากปากคนที่อาศัยอยู่ในสถานที่โคตรไซไฟแบบนี้มากที่สุดเลยนะเฟ้ย! สมกับที่เป็นไซไฟเก๊จริงๆ ”

““ไซไฟเก๊?” ”

เด็กสาวทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกันด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอกมันเป็นเรื่องส่วนตัวของทางนี้น่ะ… ว่าแต่ไอ้วิธีรักษาที่เหมือนกับเรื่องหลอกเด็กแบบนั้น มันจะได้ผลจริงๆ เหรอ?”

เขาพูดแบบปัดๆ ออกไปพร้อมกับถามทั้งคู่เกี่ยวกับเรื่องน่าเหลือเชื่อที่พึ่งได้ยินไปเมื่อกี้

“ตอนแรกหนูเองก็สงสัยเหมือนกันคะ แต่จากที่หนูลองหาไปสืบหาข้อมูลจากโลกเบื้องหลังดูแล้วก็ได้พบว่า ตัวของน้ำอมฤตที่ว่ามันสามารถรักษาอาการป่วยได้ทุกชนิดเลยละคะ เพราะงั้นหนูคิดว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว”

“เห… หืม? เมื่อกี้เธอพูดว่า ‘โลกเบื้องหลัง’ งั้นเหรอ?”

“ค่ะ แล้วก็หลังจากที่หนูแอบลักลอบเจาะระบบเพื่อดึงข้อมูลของพวกอินิกม่าดู ก็เลยทำให้รู้ว่าในตอนนี้พวกอินิกม่ามีน้ำอมฤตอยู่ในรายการของสิ่งระดับพิเศษ และดูเหมือนจะถูกน้ำมาจัดประมูลในวันพรุ่งนี้นะคะ เพราะงั้นก่อนที่จะถึงเวลานั้นพวกเราก็จะ—”

“เดี๋ยว! เดี๋ยว!! เดี๋ยว!!? หยุดก่อนเลยนะพวกเธอ ฉันว่าไอ้ที่เธอกำลังกับพูดอยู่เนี่ยมันเริ่มดูแปลกๆ แล้วนะเฟ้ย!!”

ในจังหวะนั้นเองตัวเขาก็เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่เด็กสองคนนี้กำลังพยายามจะทำขึ้นมา แน่นอนว่าตัวเขานั้นเริ่มรู้สึกเอะใจกับสิ่งที่เด็กพวกนี้เล่ามาได้สักพักแล้ว และหากเป็นตามปกติเขาคงต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่ว่านะ…

“นี่อย่าบอกนะว่า เรื่องที่พวกเธออยากจะให้ฉันช่วยก็คือ…”

“ฉะ…ฉันรู้ดีว่าเป็นคำขอที่ไม่ดีแล้วเลวร้ายมากๆ ตะ…แต่ว่า!”

เด็กสาวคนน้องหยุดพูดไปครู่หนึ่งพร้อมกับทำสีหน้าอึดอัดใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

“ช่วยมาเป็นผู้คุ้มกันให้พวกเราในระหว่างที่กำลังขโมยสิ่งนั้นด้วยเถอะค่ะ ขอร้องละคะคุณศิวะ ได้โปรด… ได้โปรดช่วยคุณแม่ของพวกเราด้วยเถอะค่ะ”

ครั้งที่ไม่เหมือนกับตอนที่ยัยแก่โลลิมาขอให้เราไปกอบกู้จักรวาล การจะให้พูดว่า ‘ไม่เอาด้วยหรอกเฟ้ย!’ กับเด็กที่กำลังก้มหัวขอร้องให้ช่วยแม่ของตัวเองด้วยแววตาที่เหมือนกันกำลังจะร้องไห้แบบนี้นะ

“อะ…เอาจริงดิ…”

ตัวเขาทำมันไม่ลงหรอก

*****