บทที่ 213 เกินจะควบคุมได้
ยามเหม่า ในที่สุดท้องฟ้าก็สว่างไสวด้วยแสงตะวันยามรุ่งอรุณ
ในที่สุดตำหนักของอ๋องหลี่ชินที่วุ่นวายทั้งคืนก็สงบลง
หมี่เซวียนมองกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและหัวเราะ “ฮ่า ๆๆ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนไร้ความสามารถที่สุด แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนยืนเคียงข้างเจ้ามากมายถึงเพียงนี้ ผิงเล่อเฮ่า อ๋องคังชิน อ๋องจั่วเสียน… หมากัดมักจะไม่เห่าจริง ๆ เจ้าเอาชนะใจคนจำนวนมากภายในเวลาเพียงปีเดียวได้อย่างไร!”
ทันทีที่เขาพูดจบก็มีกลุ่มคนสวมชุดเกราะวิ่งเข้ามาจากประตูตำหนัก “องค์รัชทายาทหมี่เซวียนสังหารพระมารดาของตัวเอง กระหม่อมขอจับกุมองค์รัชทายาทหมี่เซวียนในพระนามของฮ่องเต้!”
“ฆ่าแม่หรือ? ใครฆ่าแม่?” หมี่เซวียนมองกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยความตื่นตระหนก แล้วขว้างดาบในมือลงพื้น ก่อนจะเงยหน้าและหันหลังวิ่งออกไปนอกตำหนักพลางพูดว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว เสด็จแม่จะถามเรื่องเรียนที่ค้างไว้เมื่อวาน แต่ลูกยังไม่พร้อมเลย แย่แล้ว แย่แล้ว…”
ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนองค์ชายที่ฆ่าแม่และทำร้ายน้องชายตัวเองเลย แต่เหมือนเด็กซุกซนอายุราวสิบสามหรือสิบสี่ปี
เมื่อเห็นดังนั้นราชองครักษ์ก็ไล่ตามเขาทันที และล้อมหมี่เซวียนที่เพิ่งวิ่งหนีไปไม่กี่ก้าว
คนที่ถูกล้อมรอบตะโกนดังลั่น “พวกเจ้าออกไปให้พ้น! อย่าทำให้ข้าเสียเวลา หากไปสายข้าจะถูกเสด็จแม่ทำโทษอีก!”
อากาศหนาวเย็นในยามเช้าทำให้ทุกคนตัวสั่นสะท้านหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน หมี่ฉงมองไปทางทิศที่หมี่เซวียนกำลังจากไปและส่ายหัว “ดูเหมือนว่าเขาจะบ้าไปแล้วจริง ๆ”
บาดแผลที่ขาของหมี่โม่หรู่ถูกพันด้วยผ้าพันแผล แม้ว่าหมี่ฉงและหมี่เฉินอี้จะมาช่วยเหลือเขาในภายหลัง แต่เขาก็ต่อสู้กับศัตรูทั้งคืน ร่างกายจึงเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล
“เสด็จอา ข้าคิดว่าเสด็จพ่อคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในตำหนักเฟิ่งเสียงแล้ว ต่อมาข้าจะต้องการให้ท่านช่วยอธิบายจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเรื่องเมื่อคืนให้เสด็จพ่อฟัง”
เหยาจ้าวก้าวเข้ามาพูดว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วงพระชายา อี๋ฮวนได้พานางไปที่จวนผิงเล่อเฮ่าในตอนกลางคืนแล้ว หากท่านไปที่นั่นก็จะได้เจอองค์หญิงหรือองค์ชายน้อยที่เพิ่งเกิดใหม่”
“ขอบคุณท่านเฮ่า ขอบคุณท่านหญิงอี๋ฮวน” หมี่โม่หรู่ยืนตัวตรงเพื่อแสดงความเคารพอย่างเคร่งขรึม “อุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ข้าโชคดีที่ได้รับ…”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้นก็มีเสียงผู้หญิงคร่ำครวญดังมาแต่ไกล “ท่านพ่อ ท่านพ่อ!”
เหยาอี๋ฮวนเดินโซเซมาแต่ไกล “ท่านพ่อ เสี่ยวเข่อหายตัวไปแล้ว”
“หายตัวไปหรือ?” หมี่โม่หรู่ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและคว้าไหล่ของเหยาอี๋ฮวน ดวงตาแดงก่ำของเขาจ้องไปที่ท่านหญิง “อะไรหายไป นางหายไปได้อย่างไร เจ้าทำอะไรกับนาง! เหยาอี๋ฮวน เจ้าทำอะไรกับนาง แล้วลูกของข้าล่ะ เหตุใดนางถึงหายไปขณะที่กำลังจะคลอดลูก เหยาอี๋ฮวน เจ้าเอาเสี่ยวเข่อไปไว้ที่ไหน!”
หมี่โม่หรู่บีบคอของเหยาอี๋ฮวนด้วยความตื่นตระหนก และนางจะถูกบีบคอจนตายด้วยแรงเพียงเล็กน้อยจากมือของเขา
เหยาอี๋ฮวนแทบหายใจไม่ออกอยู่แล้วในตอนที่นางวิ่งเข้ามา แต่ในตอนนี้นางหายใจไม่ออกเลย ใบหน้าของนางแดงก่ำและไม่อาจส่งเสียงได้
คนข้าง ๆ หมี่โม่หรู่รีบไปดึงเขาออกมา แต่ก็พบว่ามือของเขาแข็งแกร่งมากจนไม่อาจขยับได้ จนกระทั่งหมี่เฉินอี้สกัดจุดเขาไว้ ทำให้เหยาอี๋ฮวนได้อ้าปากสูดอากาศบริสุทธิ์
“ท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ทำอย่างแน่นอน ข้าชอบนิสัยของนาง เมื่อคืนพวกเราเกือบจะเดินทางไปถึงจวนผิงเล่อเฮ่าแล้ว แต่ก็มีกลุ่มคนมาจากไหนไม่รู้ทำให้ทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างรถม้าทุกคนล้มลงกับพื้น และคนกลุ่มนั้นก็ดึงตัวเสี่ยวเข่อออกไปจากหลังของข้า” เหยาอี๋ฮวนนอนราบกับพื้นพลางเอามือกุมคอของตน ตาของนางแดงก่ำและร้องไห้ไม่หยุด
“ในตอนนั้นเสี่ยวเข่อหมดสติไปแล้ว และคนผู้นั้นก็ทุบข้าจนสลบแล้วพาตัวนางไป เมื่อข้าฟื้นก็รีบมาแจ้งข่าวที่ตำหนัก ท่านสามารถตรวจสอบได้เลยว่าไม่ใช่ข้าจริง ๆ ข้าไม่ได้ชอบท่าน และข้าจะไม่มีวันโง่เขลาเหมือนนางกำนัลของท่านที่ฉวยโอกาสสร้างปัญหาในเวลานี้”
หมี่โม่หรู่ที่ถูกทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ ค่อย ๆ สงบลง หมี่ฉงถามว่า “ใครฉวยโอกาสสร้างปัญหา? นางกำนัลคนไหน?”
ผู้ติดตามของเหยาอี๋ฮวนก็มาถึงตำหนักเช่นกัน และอู๋เยว่ก็ถูกพวกเขาลากเข้ามา
“นางไงล่ะ! ตอนที่ข้าพบเสี่ยวเข่อข้างกำแพงเมื่อคืนนี้ ข้าเห็นซือต๋าล้มลงกับพื้นและนางก็ใช้กริชกรีดคอของเสี่ยวเข่อ” เหยาอี๋ฮวนชี้ไปที่อู๋เยว่ “ในขณะนั้นข้ารีบมากและไม่รู้ว่าจะจัดการนางอย่างไร จึงให้คนจับตัวนางไว้แล้วค่อยคิดหลังเสี่ยวเข่อคลอดลูก”
“เป็นเจ้านี่เอง!” หมี่ฉงเหลือบมองอู๋เยว่ด้วยความโกรธ “เมื่อคืนนี้ใครปล่อยนางออกมา?!”
ฟึ่บ!
มีเสียงเบาลอยเข้าหูของหมี่ฉง หมี่โม่หรู่ที่ถูกตรึงไว้แก้การสกัดจุดของหมี่เฉินอี้ แล้ววิ่งไปข้างอู๋เยว่เพื่อบีบคอของนาง
“เจ้าต้องการจะฆ่านางหรือ?! เจ้าเป็นคนเนรคุณ! เมื่อเจ้าตกอยู่ในอันตราย นางก็ช่วยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า!” ก่อนที่เขาจะพูดจบ อู๋เยว่ก็ขาดใจตาย
หมี่โม่หรู่โยนศพในมือทิ้งไปแล้วเอนตัวไปข้างเหยาอี๋ฮวน และพูดว่า “ขอถามเจ้าอีกครั้ง นางอยู่ที่ไหน!”
เหยาอี๋ฮวนตัวแข็งทื่อ นางไม่เคยเห็นหมี่โม่หรู่เลือดเย็นและโหดร้ายถึงเพียงนี้มาก่อน แม้ว่านางจะกวัดแกว่งดาบและสังหารผู้คนเมื่อคืนนี้ แต่นางก็ไม่เคยเห็นรังสีอำมหิตที่เยือกเย็นและโหดร้ายเช่นนี้มาก่อน
“ตอบมา!”
เสียงตวาดดังลั่นทำให้เหยาอี๋ฮวนตกใจมากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นางตอบด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า “ข้าไม่รู้จริง ๆ นางรู้สึกว่าท้องของนางไม่ขยับ และคิดว่านางกับลูกกำลังจะตาย นางจึงขอให้ข้าช่วยส่งมอบสิ่งของ…”
เหยาอี๋ฮวนรีบแตะแขนเสื้อ “หยกแตก นางขอให้ข้ามอบหยกแตกให้ท่าน ใช่แล้ว มันเรืองแสง เป็นคำว่า อี้ควนเซียว เหมือนจะเป็นสามคำนี้…”
“ไม่ใช่ข้าจริง ๆ ท่านอ๋อง ท่านพ่อ ไม่ใช่ข้าจริง ๆ นะ ข้ายังเตรียมจี้ห้อยคออายุยืนไว้ให้เด็กอยู่เลย ไม่ใช่ข้า… ท่านพ่อ… ไม่ใช่ข้า…”
หมี่ฉงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “บางทีอาจจะเป็นคนอื่น ลองคิดดูว่าใครจะเป็นพันธมิตรกับองค์รัชทายาทได้ หมี่เซวียนลากเรามาที่นี่ แล้วให้คนอื่นลักพาตัวน้องสะใภ้ไป”
หมี่เฉินอี้ที่เงียบมานานมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาเดินไปข้างเหยาอี๋ฮวนและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาว่า “คำว่าอะไรนะ คำสามคำที่เจ้าเพิ่งพูดไปคือคำว่าอะไร”
“อี้ควนเซียว”
“อี้ควนเซียวหรืออี้เฉียนเซียว?” หมี่เฉินอี้จ้องเหยาอี๋ฮวนและถาม
เหยาอี๋ฮวนหยุดชะงัก ตอนนั้นนางกำลังกังวลเมื่อได้ยินน้ำเสียงของฉินปู้เข่อที่เหมือนกำลังพูดในงานศพ นางจึงจำได้ไม่ชัดว่านางพูดอะไร ดูเหมือนว่าคำที่อยู่ตรงกลางจะไม่ใช่คำว่า ‘ควน’ จริง ๆ
“เฉียน อี้เฉียนเซียว” นางปาดน้ำตาและยืนยัน
“เสด็จอา มีความแตกต่างระหว่างสองคำนี้หรือ?” หมี่ฉงเอียงศีรษะ “มันเป็นชื่อของอะไร?”
ดวงตาของเหยาจ้าวหันไปทางหมี่โม่หรู่และหมี่เฉินอี้ สีหน้าของทั้งสองคนนั้นแปลกนัก โดยเฉพาะสีหน้าของหมี่เฉินอี้ที่ดูมืดมนราวกับปีศาจจากนรก
เขาคิดในใจว่าคำว่า ‘อี้’ ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถพูดได้ในยามสงบ เรื่องภายในราชวงศ์ก็ยังคงต้องได้รับการสะสางโดยคนในราชวงศ์
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เหยาจ้าวก็ก้าวเข้าไปดึงเหยาอี๋ฮวนมาไว้ในมือของเขา แล้วประกบมือพูดว่า “ในเมื่อชีวิตของท่านอ๋องปลอดภัยแล้ว กระหม่อมก็ขอลาไปก่อน และกระหม่อมจะแจ้งให้ฮ่องเต้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว หมี่โม่หรู่ก็เม้มปากแล้วพูดด้วยเสียงเบาว่า “อี้ควนเซียวคืออะไรและอี้เฉียนเซียวคืออะไร”
หมี่เฉินอี้ตอบว่า “อี้ควนเซียว คือหน่วยสังหารของฮ่องเต้”
………………………………………………………………………