บทที่ 214 อี้เฉียนเซียว
หมี่ฉงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดตะกุกตะกักว่า “ท่านหมายความว่าเสด็จพ่อลักพาตัวน้องสะใภ้ไปหรือ? แต่เพราะเหตุใดล่ะ มันไม่สมเหตุสมผลเลย เมื่อคืนนี้ที่วังก็วุ่นวายมาก…”
“แล้วเฉียน อี้เฉียนเซียวคือใคร” หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้นมองหมี่เฉินอี้แล้วถาม
“อี้เฉียนเซียวคือ… หน่วยสังหารของอาเหิง” ใบหน้าของหมี่เฉินอี้ราวกับคนจมน้ำ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“หน่วยสังหารหรือ?” หมี่ฉงขมวดคิ้ว “องค์ชายเกือบทุกองค์ต่างมีหน่วยสังหาร นี่มัน…”
“มันต่างออกไป” หมี่เฉินอี้มองหมี่ฉงแล้วอธิบายอย่างเชื่องช้า “หน่วยสังหารทั้งสองนี้แตกต่างจากหน่วยสังหารทั่วไป ทหารในหน่วยสังหารทั้งสองนี้มีเพียงสิบคน และพวกเขาทุกคนได้ผูกพันโลหิตไว้กับเจ้านายของพวกเขา ซึ่งทั้งสิบคนนี้จะได้รับยาพิษ และต้องได้รับโลหิตจากเจ้านายของพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งปี”
“การเรียกพวกเขามาไม่ต้องใช้สัญลักษณ์แต่ใช้สัญญาณโลหิต เมื่อสัญญาณโลหิตปรากฏขึ้น ไม่ว่าคนเหล่านี้จะกำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาก็จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเครื่องหมายแห่งพันธะโลหิตไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และจะไปปรากฏตัวข้างสัญญาณโลหิตทันที”
หมี่เฉินอี้ก้มศีรษะมองเลือดแห้งบนดาบยาวในมือของเขา “หยกแตก จี้หยกที่เจ้ามอบให้แม่สาวน้อยน่าจะเป็นของที่ใช้ส่งสัญญาณเรียกอี้เฉียนเซียว และเลือด… เด็กในท้องถือเป็นญาติสนิทของเจ้า และยังเป็น… ญาติสนิทของเขาด้วย”
“ดังนั้นเขาจึงยังมีชีวิตอยู่” หมี่โม่หรู่สบตา และม่านหมอกในดวงตาก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
“อาจจะเป็นไปได้”
….
ฉินปู้เข่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่นางสามารถมองเห็นได้คือผ้าม่านโปร่งและห้องโล่งกว้าง
นางยกมือขึ้นแตะท้องของตน และพบว่ามันแบนราบ
แสดงว่านางคลอดบุตรไปแล้ว
ฉินปู้เข่อหันไปมองห้องที่ไม่ใหญ่และไม่เล็ก รูปแบบห้องดูเรียบง่ายยิ่งนัก และไม่มีแม้แต่ของพื้นฐานอย่างฉากกั้นห้อง
ตรงกลางห้องมีกระถางธูปที่มีควันลอยฟุ้ง ไม่รู้ว่าธูปอะไรถูกจุดอยู่ในกระถางธูปนี้ แต่มันมีกลิ่นเหมือนสมุนไพรจาง ๆ
ดังนั้นตอนนี้นางจึงน่าจะอยู่ในตำหนักของอ๋องหลี่ชินหรือจวนผิงเล่อเฮ่า นางจำได้ว่าเหยาอี๋ฮวนบอกว่านางจะพาตนไปที่จวนผิงเล่อเฮ่าเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายและคลอดบุตร
“โม่หรู่”
“โม่หรู่”
เหตุใดจึงเงียบนัก เด็กอาจกำลังหลับอยู่แต่ไม่มีพี่เลี้ยงเด็กอยู่ด้วย
นางลุกขึ้นนั่ง ไม่มีอาการเวียนหัวแล้วและร่างกายของนางปกติมาก แต่มีความรู้สึกไม่ค่อยสบายในช่องท้องส่วนล่าง
ชั่วขณะหนึ่งนางก็รู้สึกว่าการคลอดบุตรไม่ได้เป็นเรื่องยากถึงเพียงนั้น และมันก็เจ็บปวดเพียงชั่วครู่เท่านั้น
เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบกับมุมมองที่ไม่คุ้นเคย
ไม่มีใครอยู่หน้าประตูเลย
“เหยาอี๋ฮวน? โม่หรู่?” ฉินปู้เข่อจัดเสื้อของตนและเดินไปตามทางเดินพลางตะโกนเรียก
ทันใดนั้นเงาสีเทาก็ปรากฏขึ้นที่มุมข้างหน้า
“เฮ้ โม่หรู่!” เมื่อเห็นร่างของชายคนนั้น ฉินปู้เข่อก็รีบวิ่งไปข้างหน้า
ฉินปู้เข่อวิ่งเร็วมากจนผมและเสื้อผ้าของนางสะบัดไปมา โดยที่นางไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ นางแค่รู้สึกว่าการที่สองคนสามารถมีชีวิตรอดได้หลังจากคืนนั้นเป็นของขวัญจากเทพเจ้า
นางต้องการพบเขา
ชายที่อยู่ข้างหน้าดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนของนาง แต่นางก็ตามเขาทันแล้ว
“โม่หรู่!” ฉินปู้เข่อกอดชายคนนั้นจากด้านหลัง และซุกหน้าลงบนหลังเขาอย่างแนบแน่น “ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดีใจเหลือเกิน”
“ฮ่า ๆ” ใครคนนั้นหัวเราะเบา ๆ
เสียงที่ไม่คุ้นเคย…
ฉินปู้เข่อชะงักแล้วปล่อยมือ ก่อนจะถอยหลังหนึ่งก้าว
“สาวน้อยมักเป็นเช่นนี้เสมอเมื่ออยู่ในตำหนักหรือ” เสียงไพเราะมีความขี้เล่น แต่ก็มีความเกียจคร้านเช่นกัน
ชายที่อยู่ข้างหน้านางหันหน้ามา
เขาอายุราวสามสิบแต่ดูไม่เหมือนเลย มีเพียงรอยย่นเล็กน้อยที่หางตาของเขาเท่านั้นที่ทำให้นึกถึงอายุจริงของเขา
มุมปากของเขามีรอยยิ้ม จมูกโด่งและริมฝีปากบาง เขามีลักษณะเหมือนโม่หรู่เจ็ดในแปดจุด ความแตกต่างคือโครงร่างของโม่หรู่นั้นเพรียวบางคล้ายสตรี ในขณะที่แววตาของเขาดูลึกลับ ถึงแม้ว่าจะมีรอยยิ้มจางที่มุมปากของเขาเมื่อมองดูผู้คน แต่แววตาของเขาก็เย็นชามาก
ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถตรึงผู้คนไว้กับพื้นได้ด้วยตาของเขา และสามารถอ่านผู้คนได้อย่างถ่องแท้
ฉินปู้เข่อก้าวถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว แม้ว่าอายุและรูปลักษณ์ของเขาจะไม่คุ้นเคย แต่นางก็แทบจะเดาได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น แต่รวมถึงนิสัยและบุคลิกทั้งหมดของเขาด้วย
นางและหมี่โม่หรู่อยู่ด้วยกันมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว หากพวกเขายืนด้วยกัน ถึงแม้จะมีรูปร่างและส่วนสูงใกล้เคียงกัน แต่นางก็สามารถแยกได้อย่างไม่ผิดพลาด
และไม่เพียงแต่ความสูงที่ใกล้เคียงกัน แม้แต่ท่ายืนก็ทำให้นางนึกถึงโม่หรู่ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ท่านอ๋องอี้” ฉินปู้เข่อพูดเสียงเบา ความหงุดหงิดและความละอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
นางเพิ่งกอดพ่อสามีของตัวเองอย่างนั้นหรือ?! ให้ตายเถอะ!
“ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก
“เจ้าเป็นคนฉลาด” ดวงตาของหมี่อี้เหิงเป็นประกายสดใส “ข้าไม่รู้ว่าคำเหล่านี้เป็นคำต้องห้ามในต้าเซี่ยหรือไม่ หากเจ้าพูด อาจจะถูกตัดหัวได้”
ฉินปู้เข่อส่ายหัว “ไม่รู้สิเพคะ”
“แล้วเจ้า…” ทันใดนั้นชายผู้นั้นก็เอนตัวลงจ้องตาของฉินปู้เข่อ “ด้วยความที่เจ้าฉลาดมากจนสามารถเดาตัวตนของข้าได้ แล้วไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ”
ฉินปู้เข่อตกใจและส่ายหัวอีกครั้ง
นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร จะไม่ทำใช่หรือไม่?
“ในต้าเซี่ยข้าได้ตายไปแล้ว เจ้าพบกับคนตายแล้วเจ้าก็ต้องตายด้วยไม่ใช่หรือ”
ฉินปู้เข่อหลับตาลงและพูดอย่างเคร่งขรึม “หม่อมฉันต้องการกลับบ้าน กลับบ้านกับลูกของหม่อมฉัน”
หมี่อี้เหิงไม่พูดอะไรอีกและเดินไปข้างหน้าต่อ
เมื่อตระหนักได้ถึงฝีเท้า ฉินปู้เข่อก็รีบไล่ตามเขาไปติด ๆ “ท่านอ๋องอี้ ไม่ใช่ พ่อตา ไม่ใช่สิ ต้องพ่อสามี พ่อสามี ท่านเอาหลานตัวน้อยของท่านไปไว้ที่ใด”
จู่ ๆ คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หยุดกลางทางและหันมาถาม “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
ฉินปู้เข่อรีบหยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา “พ่อสามี หม่อมฉันเรียกว่าพ่อสามีก็ไม่ผิด”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เอ่ยคำใด ฉินปู้เข่อก็โค้งคำนับและพูดว่า “เป็นความผิดของหม่อมฉันที่บังเอิญไปกอดพ่อสามี แต่พ่อกับลูกชายหรือพ่อกับลูกสาวก็สามารถทำเช่นนี้เพื่อแสดงความสนิทสนมกันได้ ดังนั้นพ่อสามีอย่าได้ถือสาเลยเพคะ หากไม่สะดวกให้พาหลานน้อยกลับบ้านในตอนนี้ แล้วให้หม่อมฉันไปหาเขาได้หรือไม่? หม่อมฉันไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง”
“ตายไปแล้ว” หมี่อี้เหิงที่สูงกว่านางมองลงไปที่สตรีที่กำลังโค้งคำนับตรงหน้าเขาอย่างเย็นชา และพูดอย่างไร้อารมณ์
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดอย่างโกรธเคือง “จุ๊ พ่อสามีอย่าโกหกหม่อมฉัน ลูกต้องอยู่ที่นี่แน่นอน”
“เจ้า เหตุใดจึงเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าอยู่ในสถานะใดเมื่อเจ้าถูกส่งตัวมาที่นี่” หมี่อี้เหิงพูดประโยคนี้ออกมาแล้วหันหลังเดินต่อไป
ฉินปู้เข่อยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและมองลงไปที่ท้องของตนและรู้สึกบางอย่าง นางพยักหน้ากับตัวเองอย่างจริงจัง และทำตามขั้นตอนต่อไป “หากท่านไม่ยอมให้หม่อมฉันเจอ หม่อมฉันจะค้นดูทีละห้องในสถานที่แห่งนี้ และย่อมหาเจอแน่นอน”
“การตายคือการสูญสิ้น เจ้าจะหาสิ่งที่ไม่มีแล้วได้จากที่ใด หากเจ้าต้องการหาก็จงหาให้พบเถิด” หมี่อี้เหิงไม่หันกลับมามอง
ฉินปู้เข่อรีบวิ่งไปขวางหน้าเขาและเอื้อมมือไปหยุดเขา แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “พ่อสามี มาคุยกันก่อน หากหม่อมฉันพบเขาจริง ๆ ท่านต้องปล่อยให้พวกเรากลับบ้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ พวกเราพักอยู่ที่นี่เกินครึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้โม่หรู่คงเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเกินครึ่งเดือน”
………………………………………………………………………………