บทที่ 215 เดินกับพ่อสามี

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 215 เดินกับพ่อสามี

หมี่อี้เหิงเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าเขา แม้ว่านางจะคลอดบุตรแล้ว แต่นางก็ยังดูเหมือนอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดเพราะแววตาที่ดูเยาว์วัย

ไม่มีคนอยู่ในห้องของนาง เขาจึงน่าจะเป็นคนแรกที่นางพบหลังจากฟื้นขึ้นมา แต่นางรู้ได้อย่างไรว่านางคลอดลูกมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว

ใบหน้าของฉินปู้เข่อร้อนฉ่า และนางก็กะพริบตาถี่ด้วยความกังวล “หม่อมฉันรู้แล้วกันเพคะ”

เมื่อไม่ได้คำตอบ หมี่อี้เหิงก็เพิกเฉยต่อนางและเดินแกว่งแขนนำหน้าต่อไป

ฉินปู้เข่อกระทืบเท้าอยู่ข้างหลังเขา “ท่านพ่อสามี ที่นี่ที่ไหน เรื่องนี้ท่านต้องบอกหม่อมฉัน”

ไม่มีการตอบสนอง

“ท่านพ่อสามี หากหม่อมฉันหิว หม่อมฉันจะหาของกินได้ที่ใด และหม่อมฉันจะหาอะไรดื่มเมื่อหม่อมฉันกระหายน้ำ และห้องสุขาอยู่ที่ใด ผู้คนสามารถออกไปได้หรือไม่ และหากพวกเขาไม่สามารถออกไปได้ พวกเขาสามารถเขียนจดหมายได้หรือไม่ และต้องส่งให้ใคร…”

“เฮ้อ…” หมี่อี้เหิงผู้สงบเงียบมาหลายปีมีอาการเจ็บหูเพราะเสียงดังกล่าว เขาจึงหยุดเดินแล้วถามว่า “ตอนเจ้าอยู่ในตำหนักก็ส่งเสียงดังมากเช่นนี้หรือ? เขาทนผู้หญิงพูดมากอย่างเจ้าได้อย่างไร?”

ฉินปู้เข่อเกาศีรษะ “นี่เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันของหม่อมฉัน ท่านไม่ได้จัดคนให้มาอยู่เคียงข้างหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงต้องเข้าใจด้วยตัวเองก่อนจึงจะดูแลตัวเองได้ หม่อมฉันไม่รู้ว่าท่านอาศัยอยู่ที่ใด ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่สามารถรบกวนท่านได้ตลอดเวลา”

“ดูเหมือนโม่หรู่จะไม่ได้รำคาญมากนักเพคะ” ฉินปู้เข่อวิ่งก้าวเล็ก ๆ เพื่อตามหมี่อี้เหิงให้ทัน “บางทีเขาอาจจะรำคาญในตอนที่หม่อมฉันเข้าไปในตำหนักเป็นครั้งแรก แต่เขาคงจะชินในภายหลัง ฮ่า ๆ”

“ฮึ่ม ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าลูกสาวของฉินเฉิงหย่งจะหน้าหนายิ่งนัก”

ฉินปู้เข่อแอบมองเขา “ใช่แล้ว หม่อมฉันยังคงมีคำถาม ใครเป็นคนช่วยทำคลอดให้หม่อมฉัน ซือต๋าหรือ เขารู้หรือไม่ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่?”

“ไม่ใช่ ข้าไม่รู้ว่าซือต๋าที่เจ้าพูดถึงเป็นใคร”

ฉินปู้เข่อก้มศีรษะลงและหันมามอง ใครเป็นคนผ่าตัดทำคลอดที่ท้องของนาง?

เมื่อนางลุกขึ้นนั่งในตอนนี้ ช่องคลอดของนางไม่เจ็บมาก แต่ท้องส่วนล่างรู้สึกตึงเล็กน้อย เมื่อมองลงไปก็พบว่ามันเป็นแผลผ่าคลอด และบาดแผลก็หายเป็นปกติแล้ว เหลือเพียงรอยแผลเป็นโค้งสองแผล

นอกจากนี้เมื่อยืนขึ้นก็ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะแล้ว ซึ่งหมายความว่าภาวะสูญเสียเลือดมากของนางบรรเทาลงแล้ว ปัจจัยทั้งสองนี้เพียงพอแล้วที่จะแสดงว่านางนอนอยู่บนเตียงอย่างน้อยครึ่งเดือน และร่างกายของนางก็ได้รับการปรับสภาพพื้นฐานและฟื้นฟู

นั่นจึงเป็นสาเหตุให้นางแน่ใจได้ว่าลูกของนางยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากอาการเสียเลือดมากและไร้เรี่ยวแรง นางจึงไม่มีแรงพอที่จะคลอดบุตรเองได้อย่างแน่นอน หากทารกในครรภ์ถูกผ่าคลอด ทารกในครรภ์ก็จะต้องมีสุขภาพแข็งแรงดีแน่นอน

แม้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคนี้จะคลอดบุตรแบบธรรมชาติและมีหมอตำแย แต่ก็ยังมีคนที่มีทักษะสูงพอที่จะผ่าท้องเพื่อทำคลอดได้ และซือต๋าก็เป็นหนึ่งในนั้น

เนื่องจากผ่านวันครบกำหนดคลอดมาแล้วทว่าเด็กยังไม่เกิด ฉินปู้เข่อจึงเกรงว่าจะเกิดภาวะคลอดยาก นางจึงพูดคุยเน้นย้ำกับซือต๋าเกี่ยวกับปัญหานี้เป็นพิเศษ และอธิบายด้วยว่าหากจำเป็นก็สามารถผ่าเปิดหน้าท้องเพื่อทำคลอดได้

แม้ว่าในขณะนั้นจะดูเหมือนว่าซือต๋ากำลังฟังคัมภีร์อยู่ แต่หลังจากที่ฉินปู้เข่ออธิบายไม่กี่คำเขาก็เข้าใจ

นอกจากนี้ตอนนั้นฮัวโต๋ยังกล้าผ่าตัดศีรษะให้โจโฉ จึงต้องมีผู้บุกเบิกค้นพบวิธีรักษาใหม่อยู่เสมอ

แต่ไม่ใช่ซือต๋าจริงหรือ? แล้วเป็นใครกัน?

“นายท่าน” หลังจากเดินไป ในที่สุดบุคคลที่สามก็ปรากฏตัวขึ้น

ชายวัยกลางคนพร้อมกล่องยา

เมื่อชายคนนั้นเห็นฉินปู้เข่อ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “แม่นางฟื้นแล้วหรือ? รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”

………………………………………………………………………………..