บทที่ 219 ความทรงจำขององค์หญิงใหญ่

รสเผ็ดและเปรี้ยวของซวนล่าเฝิ่น บวกกับเสียงสูดเส้นของพลพรรคตัวเลข อย่าว่าแต่ไท่ซ่างหวงที่กำลังกินเกี๊ยวหน่อไม้ที่อยากจะลองชิมใจจะขาดเลย แม้แต่พวกสายลับเองก็ยังเลียปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ซู้ด…” เพียงพริบตา พลพรรคตัวเลขก็กินซวนล่าเฝิ่นที่รอคอยมานานทีเดียวจนหมดเกลี้ยง แต่กลิ่นหอมนั้นยังคงลอยอบอวลอยู่

ไท่ซ่างหวงไม่สามารถไประบายความโกรธที่เจ้าพวกนั้นโดยบอกว่าตัวเองก็อยากกินซวนล่าเฝิ่นได้ จึงทำได้เพียงเอ่ยกับสายลับเหล่านั้น “มัวอึ้งอะไรอยู่ มาถึงนี่แล้วแม้แต่งานก็ทำไม่เป็นแล้วหรือ? ติดตามเซี่ยเจินก็มีดีแต่ปากแค่นั้นหรือ?”

เหล่าสายลับตกใจทันทีและทำท่าจะคุกเข่า ไท่ซ่างหวงจึงเอ่ยด้วยความรำคาญขึ้นมา “ไสหัวไป เห็นแล้วรำคาญ”

เหล่าสายลับอยากจะร้องก็ร้องไม่ออก คิดไม่ถึงว่าการที่ไท่ซ่างหวงอยู่กับเผยยวนที่นี่ จะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขเป็นอย่างมาก เหมือนชาวนาแก่ ๆ คนหนึ่งเท่านั้น!

ที่แท้พวกเขาก็ถูกคนของไท่ซ่างหวงลักพาตัวมาอย่างนั้นหรือ?!

ทางด้านนี้ องค์หญิงใหญ่กำลังกินข้าวอยู่ จู่ ๆ ศีรษะก็ถูกกระแทกอย่างแรง นางเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ก็เห็นว่าลูกสาลี่บนต้นหล่นลงมาเอง

“เมื่อครู่นี้ไม่เบาเลยนะ สมองเจ้าก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว เรียกฮวนฮวนมาดูอาการให้เจ้าหน่อยดีหรือไม่?” ไท่ซ่างหวงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

องค์หญิงใหญ่ถลึงตาใส่เขา “ท่านน่ะสิสมองไม่ดี แค่เจ็บนิดหน่อยเท่านั้นจะเป็นอะไรได้กัน อาหารที่กินไปตอนเช้าก็ยังไม่ค่อยย่อย ข้ากลับห้องไปนอนสักหน่อยดีกว่า”

องค์หญิงใหญ่พูดจบก็เดินขึ้นไปบนเนินเขา ไท่ซ่างหวงจึงเอียงคอลอบสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนว่า…ไม่เป็นอะไรร้ายแรงจริง ๆ ด้วย

องค์หญิงใหญ่ผลักประตูรั้วออก และกลับเข้าไปในห้องของตัวเองเงียบ ๆ แม้แต่รองเท้าก็ลืมถอดแล้วล้มตัวลงนอนทันที เมื่อครู่นางถูกกระแทกจนเกือบจะเห็นดาวเลยทีเดียว แต่หากพูดออกไปมิเท่ากับให้ตาเฒ่านั่นหัวเราะเยาะนางหรอกหรือ คิดว่ากลับมานอนก็คงจะหายแล้ว เมื่อมองไปยังแสงที่พร่ามัวขึ้นเรื่อย ๆ ที่ด้านนอก องค์หญิงใหญ่ก็หลับตาลง…

ในความฝัน นางได้ฝันที่ยาวนานมาก ๆ

เวลาเหมือนย้อนกลับไปในอดีต

คลื่นทะเลทรายสีเหลืองมองไม่เห็นปลายทาง มีพื้นที่เขียวขจีและแหล่งน้ำบ้างเป็นครั้งคราว ไม่อาจต้านลมร้อนที่แผดเผาและสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้

หลังออกมาจากด่านอวี่เหมิน ยิ่งเข้าใกล้ถู่เจียมากเท่าใด ก็ยิ่งห่างไกลความเจริญมากขึ้นเท่านั้น

การเดินทางไกลที่ยากลำบากเกือบสองเดือน ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่าเมืองหลวงของต้าจิ้นที่เลี้ยงดูนางมากว่าสิบหกปี บัดนี้กลับอยู่ห่างจากนางเสียแล้ว และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของนางในเวลานี้กลับเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ และไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่บ้าง

“องค์หญิงทรงแต่งหน้าเถอะเพคะ หลายวันก่อนท่านป่วยหนัก สีหน้าซีดขาวมากเลยเพคะ” จื่อหลันสาวใช้คุกเข่าอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า มองนางด้วยความเป็นกังวล

เซี่ยวั่งซูปิดม่านรถม้าลงแล้วส่ายหน้าไปมา “ยังไม่ได้เข้าสู่ดินแดนถู่เจีย ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าหรอก แต่ไปบอกให้จางซ่างซู*คอยจับตาดูสถานการณ์โดยรอบด้วย และให้แม่ทัพหู่เปินส่งคนไปสืบข่าว ได้ยินว่าที่นี่มีโจรขี่ม้าอาละวาด จะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด”

* ซ่างซู (尚书) ชื่อตำแหน่งของหัวหน้ากรมสำคัญทั้งหกในสมัยโบราณ

จื่อหลันได้ยินดังนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าและร้องไห้ออกมา “ท่านเป็นถึงองค์หญิงใหญ่นะเพคะ มีฐานะสูงส่งที่สุดตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่องค์หญิงรอง องค์หญิงสามก็ล้วนถึงเวลาที่เหมาะสม เหตุใดฝ่าบาทถึงใจดำเพียงนี้ ตัดใจให้ท่านไปดินแดนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ได้”

คิดถึงตอนที่คณะทูตของถู่เจียมาราชสำนักเพื่อขอแต่งงาน องค์หญิงพระองค์อื่น ๆ ต่างก็ร้องไห้อ้อนวอนต่อหน้าพระพักตร์ของเสด็จแม่ของตน และนางก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย

‘เหตุใดพี่หญิงใหญ่ถึงไม่ร้อง ไม่กลัวเสด็จพ่อตอบตกลงหรือ?’

‘เพราะพี่หญิงใหญ่เป็นองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮาที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานที่สุด นางจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้อย่างไรกัน’

เซี่ยวั่งซูวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วเดินออกจากตำหนักช้า ๆ ต้าจิ้นประสบภัยแล้งอย่างหนัก และยังเผชิญกับวิกฤตการณ์การพังทลายของเขื่อนที่เจียงหนาน เสด็จพ่อทรงเหนื่อยล้าทั้งกายและใจมานาน หากเวลานี้เกิดสงครามกับถู่เจีย ด้วยความแข็งแกร่งของบ้านเมืองในเวลานี้ จะมีราษฎรต้าจิ้นเท่าใดที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด และพลัดพรากจากที่อยู่ไปอย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว

หากนางคนเดียวสามารถนำสันติภาพมาสู่ทั้งสองแคว้นได้ สร้างพันธมิตรให้ต้าจิ้นได้ ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่เซี่ยวั่งซูจะไม่เต็มใจทำ

ตอนที่นางคุกเข่าต่อหน้าเสด็จพ่อ เซี่ยยงคิดว่าตัวเองฟังผิดไป

‘เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คืออะไร ต้าจิ้นของเราไม่ใช่ว่าจะไม่มีคน!’

‘แต่สงครามที่ยืดเยื้อสามารถทำลายความแข็งแกร่งของบ้านเมืองได้ และอาจทำให้ราชวงศ์ต้าจิ้นตกต่ำลงได้หลายทศวรรษ หากในช่วงเวลานี้มีเผ่าอื่นมารุกรานอีก ต้าจิ้นก็จะตกอยู่ในอันตราย หากตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและรุ่งเรือง ไม่มีภัยพิบัติใด ๆ ลูกจะยอมสวมชุดเกราะและต่อสู้กับศัตรูร่วมกับเหล่าทหาร บอกพวกเขาว่าผู้หญิงต้าจิ้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชายบนทุ่งหญ้าอย่างพวกเขา’

เซี่ยวั่งซูเอ่ยจบก็ก้มหัวลงแล้วเอ่ยต่อ ‘แต่ตอนนี้มีศึกทั้งภายนอกและภายใน ถู่เจียส่งทูตมาขอแต่งงาน ลูกเต็มใจแต่งกับท่านข่านเพคะ’

‘แต่…แต่ข้าเลือกราชบุตรเขยให้เจ้าแล้วนะ!’

‘ขอเสด็จพ่อพระราชทานอนุญาตให้ลูกแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าถู่เจียด้วยเพคะ’ เซี่ยวั่งซูคำนับอีกครั้ง

เซี่ยวั่งซูมองดูจื่อหลันที่อยู่ภายในรถม้าร้องไห้จนตาบวมแล้ว นางก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมา “เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้เสียใจยิ่งกว่าข้าเสียอีก ทะเลทรายไม่มีน้ำ ระวังร่างกายจะทนไม่ไหวเอาล่ะ”

จื่อหลันสะอึกสะอื้น “หม่อมฉันแค่สงสารพระองค์ก็เท่านั้น ชาวถู่เจียเหล่านั้นได้ยินว่าแต่ละคนตัวอย่างกับภูเขา ดวงตาใหญ่ราวกับกระดิ่ง แขนใหญ่เหมือนกับค้อน หม่อมฉันสงสารพระองค์นี่เพคะ”

“เป็นคนเหมือนกันจะเป็นภูเขาเป็นกระดิ่งไปได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นข้าได้ยินมาว่าท่านข่านองค์นั้นตอนนี้อายุยี่สิบแปด ยังไม่นับว่าแก่อะไร”

เซี่ยวั่งซูเดิมคิดจะปลอบจื่อหลัน แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยจะร้องไห้หนักกว่าเดิม

ขณะที่เซี่ยวั่งซูกำลังงุนงงอยู่นั้น จู่ ๆ ด้านนอกก็เกิดความโกลาหลขึ้น มีเสียงตะโกนของแม่ทัพหู่เปินดังขึ้นมาจากด้านนอก “มีโจรขี่ม้า อารักขาองค์หญิง!”

เซี่ยวั่งซูตัดสินใจในทันที “เปิดกล่องใส่เสื้อผ้าออก และเอาไปขวางเอาไว้ทั้งสี่ด้านของรถม้า! หรือไม่ก็ให้คนมุดเข้าไปอยู่ในกล่องเสีย!”

ครู่หนึ่งเสียงต่อสู้ก็ดังขึ้นข้างหู มีลูกศรยิงมาที่รถม้าของนางอย่างต่อเนื่อง เซี่ยวั่งซูซ่อนตัวอยู่ในกล่อง ฝ่ามือของนางมีเหงื่อออกเล็กน้อย

“พารถม้าขององค์หญิงหนีไปก่อน!” ไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนตะโกนอยู่ด้านนอก รถม้าเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงกระแทกกระทั้นทำให้เซี่ยวั่งซูเกือบจะอาเจียนออกมา

ไม่รู้ว่าวิ่งไปนานเพียงใด เซี่ยวั่งซูรู้แค่ว่าถูกกระแทกจนตาลาย และไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง และเสียงตะโกนเข่นฆ่ากันของผู้ชายอีกแล้ว

จู่ ๆ รถม้าก็ถูกคนเปิดออก เซี่ยวั่งซูที่อยู่ในความมืดเป็นเวลานาน ยังปรับสายตาเข้ากับแสงที่จ้าไม่ค่อยได้ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง จึงพบว่าเหนือหัวเป็นภาพของท้องฟ้า

นางลุกขึ้นนั่งในกล่อง และพบว่าตอนนี้นางอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ล้อมรอบไปด้วยพืชพรรณสีเขียว และทรายสีเหลืองเป็นคลื่นอยู่ไกล ๆ เงียบสงบราวกับไม่เคยมีการโจมตีของโจรขี่ม้ามาก่อน

คนที่หันหลังให้นางคือทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง สวมเครื่องแบบทหารของต้าจิ้น ทว่ามีรูปร่างสูงใหญ่

เซี่ยวั่งซูลงมาจากรถม้า แต่เนื่องจากชุดแต่งงานเทอะทะและหนักเกินไป เกือบจะทำให้นางสะดุดล้ม

ไม่นานนางก็จัดท่าทางของตัวเองให้เรียบร้อย และประคองมงกุฎหงส์ให้ตรง จากนั้นก็ค่อย ๆ คุกเข่าลงบนพื้นหญ้า มองไปที่ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้น พลางเอ่ยถามขึ้นมา “ที่นี่คือที่ใด?”

ทหารชั้นผู้น้อยหันหน้ามา เซี่ยวั่งซูกลับไม่ได้มองเขา “เหตุใดถึงมีแค่เจ้าคนเดียว หรือว่า…ทหารของต้าจิ้นอ่อนแอเพียงนั้นเชียวหรือ?”

เซี่ยวั่งซูราวกับยอมรับชะตากรรม นางชักมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อและวางลงบนพื้น “ในเมื่อเจ้าสามารถพาข้าหนีมาได้ คงจะมีวิธีหนีออกจากทะเลทรายแห่งนี้กระมัง หากรอจนเช้าแล้วแม่ทัพหู่เปินยังไม่ตามมา เจ้าก็ใช้สิ่งนี้จบชีวิตของข้าซะ”

.

.

.