บทที่ 220 เป็นความคิดถึง
ทหารชั้นผู้น้อยเลิกคิ้ว ค่อย ๆ นั่งลงตรงหน้าเซี่ยวั่งซู นางจึงได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัด ๆ หน้าตาดูสง่างามเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับชายหนุ่มที่อบอุ่นในเมืองหลวงของต้าจิ้นแล้วช่างแตกต่างกันยิ่งนัก คนตรงหน้าผู้นี้เหมือนหมาป่าดุร้ายที่ยากจะกำราบได้ ที่แก้มของเขายังมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากดาบ ลากจากแก้มไปจนถึงคาง
แต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลต่อความหล่อเหลาของเขา ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มเสน่ห์ให้เขาขึ้นไปอีกหลายส่วน อย่างน้อยในช่วงชีวิตสิบกว่าปีที่ผ่านมาของเซี่ยวั่งซู ก็ไม่เคยเห็นบุรุษที่มีความหาญกล้าเช่นเขา
เซี่ยวั่งซูขมวดคิ้วเล็กน้อย เพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างพวกเขา “บังอาจ เข้ามาใกล้ข้าโดยไม่มีเหตุอันควรได้อย่างไรกัน?”
ทหารชั้นผู้น้อยได้ยินดังนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะถอยไปด้านหลัง แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “กระหม่อมเพียงสงสัย เหตุใดองค์หญิงต้องอยากตายด้วย เป็นเพราะต้องแต่งงานกับพวกคนเถื่อนจึงไม่พอใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เซี่ยวั่งซูเอ่ยอย่างดูแคลน “ข้าเป็นคนขอพระราชทานอนุญาตมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ด้วยตัวเอง จะมาเสียใจเมื่อมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน ทว่าข้าถูกโจรขี่ม้าชั่วช้านั่นโจมตีจนต้องหนีมาที่นี่ ลำพังแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่งเช่นข้าคงไม่สามารถไปถึงถู่เจียได้ หนทางทั้งลำบากและอันตราย แต่หากรอดไปได้แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าข้าคือองค์หญิงอู๋ซวง หากโชคร้ายทำให้ท่านข่านอับอายและนำรอยด่างมาสู่ราชวงศ์ต้าจิ้น ไม่สู้ตายไปเสียยังดีกว่า เพื่อเป็นการขอบคุณสรรพสิ่งในใต้หล้า”
ทหารชั้นผู้น้อยประหลาดใจ “ที่องค์หญิงตรัสมาเป็นคำพูดจากใจจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูหัวเราะเสียงเย็น “ข้าเป็นองค์หญิงใหญ่ที่เกิดจากฮองเฮา ข้ายังไม่กลัวตาย แล้วเจ้าจะต้องลังเลอะไรกัน?”
ทหารชั้นผู้น้อยหัวเราะออกมา ก่อนจะหยิบมีดสั้นขึ้นมา มีดสั้นเล่มนั้นตัดเหล็กได้ราวกับโคลน เป็นสมบัติชั้นดี เปล่งแสงแสบตาภายใต้ดวงตะวัน “องค์หญิงทำให้กระหม่อมชื่นชมจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูปรายตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะมองภูเขาที่ไกลออกไปต่อ
“ที่นี่รกร้างว่างเปล่าและถู่เจียก็เป็นดินแดนของคนป่าเถื่อน เทียบกับต้าจิ้นแล้ว องค์หญิงไม่รู้สึกเสียใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าเกิดมาก็เป็นองค์หญิงใหญ่ ทั้งยังแต่งงานกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของถู่เจีย ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือความเสียใจ เจ้าต่างหากเป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง แต่พูดมากเกินไปแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่คิดว่านางจะตอบเช่นนี้ สาวน้อยที่บอบบางผิวนุ่มจนสามารถคั้นน้ำออกมาได้ แต่คำพูดจากปากของนางกลับเย็นชาราวกับพระจันทร์ในฤดูหนาว ทั้ง ๆ ที่ตกอับจนข้างกายเหลือแค่เขา ก็ยังคงนั่งตัวตรงเชิดคางขึ้นด้วยท่าทางสูงส่ง
องค์หญิงผู้เย่อหยิ่งและมีเสน่ห์
ทหารชั้นผู้น้อยเองก็ไม่รีบร้อน นั่งเป็นเพื่อนางตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงพระอาทิตย์ตก จึงได้หยิบถุงใส่น้ำออกมาแล้วยื่นให้นาง “ดื่มน้ำเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูส่ายหน้า
ทหารชั้นผู้น้อยขมวดคิ้ว บีบคางของนางเพื่อต้องการกรอกน้ำใส่ปาก ทว่าเซี่ยวั่งซูกลับปัดทิ้งแล้วตะคอกออกมา “ล่วงเกินองค์หญิง โทษคือประหาร!”
“ฐานะองค์หญิงกับชีวิตอันไหนสำคัญกว่ากันกันแน่? ท่านยอมตายเพื่อรักษาหน้าตาอย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยวั่งซูหลุบตาลง “ข้ามีชีวิตอยู่หนึ่งวันก็ยังถือเป็นตัวแทนของต้าจิ้นและถู่เจีย จะปล่อยให้เจ้ากำเริบเสิบสานได้อย่างไร!”
“ท่านนับว่ามีจิตใจที่เข้มแข็ง เก่งกล้ากว่าบุรุษหลายคนเสียอีก”
“เดิมสตรีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษ แต่เป็นพวกเจ้าที่ดูถูกสตรี” เซี่ยวั่งซูเอามือเท้ากับต้นไม้เพื่อจะลุกขึ้น ลมและทรายพัดเข้ามานางจึงใช้ชุดแต่งงานบังเอาไว้ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งกลับเห็นทหารม้าที่แข็งแกร่งจำนวนมากมุ่งหน้ามาทางพวกเขา คนทั้งหมดล้วนสวมชุดหนังสัตว์ มือถือดาบโค้ง
เซี่ยวั่งซูมีสีหน้าเปลี่ยนไป “ส่งมีดสั้นมาให้ข้า!”
ทหารชั้นผู้น้อยกลับเขวี้ยงมีดสั้นทิ้ง “องค์หญิง ชีวิตล้ำค่ามากนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าบอกให้เจ้าเอามาให้ข้า!” เซี่ยวั่งซูหันไปตะคอกด้วยความโมโห
“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูถลึงตาใส่เขาเตรียมจะวิ่งไปหามีด ทหารชั้นผู้น้อยวิ่งไม่กี่ก้าวก็กดตัวนางเอาไว้ได้แล้ว เซี่ยวั่งซูหมุนตัวมาก็ใช้ปิ่นปักผมแทงไปที่ลำคอของเขาทันที
ชายหนุ่มโถมตัวนางลงบนผืนทราย หอบหนัก ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา “เป็นสาวน้อยที่ดุร้ายจริง ๆ จะฆ่าข้าจริงหรือ?”
“องค์หญิงต้าจิ้นฆ่าได้หยามไม่ได้!” เอ่ยจบเซี่ยวั่งซูก็เตรียมจะกัดลิ้นเพื่อฆ่าตัวตาย ชายหนุ่มรีบยื่นนิ้วเข้าไปในปากของนาง เซี่ยวั่งซูไม่สนใจว่าเขาเป็นใครก็กัดลงไปอย่างแรง จนเลือดออกนางก็ไม่ยอมปล่อย เดิมคิดว่านางเป็นแค่ดอกไม้เล็ก ๆ ที่บอบบางจากเมืองหลวงต้าจิ้น ที่ถูกส่งมายังทะเลทรายโกบีแห่งนี้ จากนั้นก็ต้องร่วงโรยและเหี่ยวเฉาเป็นแน่ ทว่าแท้จริงสิ่งที่ส่งมากลับเป็นดอกไม้ที่เต็มไปด้วยหนามที่เติบโตจากเถาวัลย์หนาม
กองทัพม้าวิ่งมาด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็ล้อมพวกเขาเอาไว้ พร้อมกันนั้นยังมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้วย
“องค์หญิง กระหม่อมมาช้า ยังดีที่มีคณะทูตต้อนรับของถู่เจียช่วยเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูจึงปล่อยฟันออกด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมองไปที่กลุ่มชาวถู่เจียที่แต่งกายแปลกประหลาดด้านหลัง คนที่คุกเข่าอยู่เป็นแม่ทัพหู่เปินไม่ใช่หรือ?
“ท่านข่าน ท่านดูสิ ท่านทำองค์หญิงตกใจหมดแล้ว”
“นั่นน่ะสิ!”
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนจะถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาทว่าดุดัน เขาอุ้มเซี่ยวั่งซูขึ้นมาอย่างง่ายดาย เซี่ยวั่งซูจ้องชายตรงหน้าด้วยความนิ่งงัน กระโปรงสีแดงปลิวไสว และถูกเขาพาขึ้นไปบนหลังม้าได้อย่างง่ายดาย
“องค์หญิงต้าจิ้นผู้สูงศักดิ์ พระสวามีของเจ้ามาต้อนรับเจ้าด้วยตัวเองแล้ว ข้าขอสาบาน เจ้าจะกลายเป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดในถู่เจีย และข้าจะปกป้องเจ้าจากลมฝน เพื่อตอบแทนความภักดีและเคารพรักของเจ้า”
องค์หญิงน้อยค่อย ๆ เบิกตากว้าง แต่กลับถูกเขาดึงเข้าไปในอ้อมแขน และปล่อยให้เขาจุมพิตที่หลังมือของตนเอง จากนั้นก็สลัดกองทัพขนาดใหญ่ และวิ่งทะยานไปยังบ้านเมืองของเขา บ้านในอนาคตของนาง
หลายสิบปีต่อมา เขาพานางไปดูภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ไปดูหมาป่าที่อยู่ในถ้ำตรงหน้าผาและจะออกล่าตอนกลางคืน เห็นการเต้นรำที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาท่ามกลางกองไฟ
เขาสอนให้นางขี่ม้าและยิงธนู สอนให้นางทิ้งกฎระเบียบที่เรียนมาจากในวังเหล่านั้น และเป็นหญิงสาวที่มีอิสระ
ส่วนนางก็สอนอักษรของต้าจิ้น ทักษะการแพทย์ ช่างไม้ และการทอผ้าให้เขา จนนางค่อย ๆ ลืมไปแล้วว่าเซี่ยวั่งซูในวัยสิบหกปีเป็นคนที่สูงส่งและบอบบางเช่นไรในเมืองหลวงของต้าจิ้น
นางเรียนรู้เรื่องมวยปล้ำ เรียนรู้การดื่มเหล้าชามใหญ่ เรียนรู้การต้อนฝูงสัตว์เหมือนผู้หญิงบนทุ่งหญ้า นางรักแผ่นดินนี้เหมือนรักบ้านเกิดของตัวเอง
เพื่อนางแล้วเขาล้มเลิกที่จะโจมตีต้าจิ้น เขายังคงรักษาคำสาบานเหมือนในวันแรกอย่างสุดความสามารถเพื่อนาง
ต่อมานางจึงได้รู้ว่าตอนพบกันครั้งแรก การที่นางยอมพลีชีพเพื่อรักษาเกียรติและเรียกเขาว่าวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ สามารถมัดใจชายที่มาจากดินแดนป่าเถื่อนผู้นี้ได้อย่างแท้จริง
เขาได้สร้างสวนพระราชวังเจียงหนาน ในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้เพื่อนาง และให้กำเนิดลูก ๆ ของพวกเขาด้วยกันที่นี่
ก่อนเขาจะจากไปเขายังเด็ดดอกไม้ที่เขาปลูกเองให้องค์หญิงน้อยอันเป็นที่รักของเขา และบอกนางว่าต้องหยิ่งทะนงตลอดไป ถึงจะอารมณ์ร้ายก็ไม่เป็นไร เดิมองค์หญิงก็เกิดมาเพื่อได้รับความรักอยู่แล้ว
เพื่อขจัดอุปสรรคให้นาง เขาจึงได้ประคับประคองลูกของพวกเขาที่มีสายเลือดต้าจิ้นครึ่งหนึ่งให้ขึ้นเป็นท่านข่าน และคอยขับไล่คนที่คุกคามพวกนางสองคนแม่ลูกออกไปให้ไกล
“ท่านข่าน…” เซี่ยวั่งซูค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา และมองไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่าง โชคดีที่ช่วงเวลาที่ลืมท่านนั้นไม่นาน ไม่อย่างนั้นเมื่อข้าขึ้นไปบนฟ้า และจำวีรบุรุษแห่งทุ่งหญ้าของข้าไม่ได้ ข้าจะทำเช่นไร
“ท่านป้าขอรับ!” อาชิงน้อยชะโงกหน้าเข้ามา “เหตุใดท่านถึงร้องไห้เล่าขอรับ”
เจ้าตัวเล็กพูดไปก็รีบวิ่งดุกดิกมาอยู่ข้างกายนาง ก่อนจะดึงแขนเสื้อเพื่อจะเช็ดน้ำตาให้นาง
องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ร้องไห้ แต่คิดถึงต่างหากเล่า”
“คิดถึงผู้ใดหรือขอรับ?”
“คนที่ดีกับป้ามาก ๆ คนหนึ่ง”
.
.
.