ฝ่ามือทั้งเก้าถือเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของลัทธิเต๋า
ลู่โจวไม่คาดคิดมาก่อนว่าการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตที่ตัวเขาได้ใช้จะใช้ฝ่ามือนี้ออกมา บางทีพลังผนึกตราประทับทั้งหกของฮั๊ววู่เด๋าอาจจะมีความเข้ากันได้กับสิ่งนี้
ฝ่ามือทั้งเก้าประกอบได้ด้วยพลังผนึกทั้ง 9 ที่ทรงพลังมหาศาล มีทั้งผนึกมณีโดดเดี่ยว, ผนึกสมบัติสายฟ้าแลบ, ผนึกแห่งความลึกลับภายนอก, ผนึกทั้งแปดภายใน, ผนึกไร้พันธนาการ, ผนึกแห่งอนุสรณ์, ผนึกแปดทิศ, ผนึกน้ำเต้าวิเศษ และผนึกแห่งดวงตะวัน พลังผนึกทั้งเก้าได้สอดคล้องกับตัวหนังสือทั้งเก้าอย่างแข็งแกร่ง, พลัง, การประสาน, รักษา, สัญชาตญาณ, สติ, มิติ, รังสรรค์ และสมบูรณ์ ตัวหนังสือทั้งเก้าคำได้ร้อยเรียงอยู่รอบๆ ตราประทับทั้งเก้า
เมื่อเร็นบู้ผิงผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งเจ็ดได้เห็นแบบนั้นด้วยตายตัวเอง หัวใจของเขาในตอนนั้นก็ได้แต่รู้สึกถึงความสิ้นหวัง
พลังแสงสว่างขนาดใหญ่ยักษ์ได้เจาะทะลุพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีทั้งเจ็ดของเร็นบู้ผิงไป เจ้าสำนักวิหารปีศาจผู้นี้ไม่อาจที่จะป้องกันพลังฝ่ามือของลู่โจวได้เลย
เร็นบู้ผิงเป็นยอดฝีมือชั้นสูงผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งเจ็ด เขาเป็นถึงกับเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ที่มีเหล่าสาวกนับหมื่นคน ในบรรดาเหล่าสาวกที่มีมากกว่าหมื่นคนมีเพียงเร็นบู้ผิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฝึกฝนตัวเองจนมาถึงระดับนี้ได้ แต่ถึงแบบนั้นยอดฝีมือคนนี้ก็กลับถูกลู่โจวโจมตีใส่อยู่ดี
พลังร่างอวตารที่มีขนาดใหญ่มหึมาได้แตกสลายราวกับแก้วอันบอบบาง
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พลังแห่งความมงคลของวิซซาร์ดก็ได้ขับไล่พลังแห่งความมืดส่วนใหญ่ไปแล้ว ในตอนนี้ทุกคนกลับมามองเห็นอย่างชัดเจนอีกครั้ง
พลังร่างอวตารดอกบัวทั้งเจ็ดได้แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี พลังลมปราณของเร็นบู้ผิงได้กลับคืนสู่ผืนดินและสรวงสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง
“ติ้ง! สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ได้รับรางวัล 1,500 แต้มบุญ”
ลู่โจวมองไปที่การ์ดการโจมตีของเพรชฆาต ในตอนนี้มันยังไม่ได้เพิ่มราคาขึ้นมา
ร่างของเร็นบู้ผิง เจ้าสำนักแห่งวิหารปีศาจในตอนนี้ได้ลอยไปกลางอากาศราวกับว่าร่างของเขาได้ถูกตรึง ดวงตาของเร็นบู้ผิงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ในตอนนี้ต้วนมู่เฉิงไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เป็นอันตรายอีกต่อไป เงาของหอกราชันย์ได้พุ่งเข้าใส่เหล่าสิบคนทรงอีกครั้ง
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
แต่ถึงแบบนั้นผู้คนทั้งหลายในตอนนี้กำลังเฝ้ามองดูเร็นบู้ผิงอยู่ ผู้เป็นเจ้าสำนักวิหารปีศาจได้ถูกลู่โจวโจมตีเข้าใส่
ช
ว่ากันว่าเร็นบู้ผิงได้ฝึกฝนตัวเองมายาวนานกว่าหลายปีด้วยกัน และเพราะแบบนั้นพลังวรยุทธที่มีของเขาจึงได้เพิ่มพูดมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้สังหารยอดฝีมืออันดับที่ 2 ไป เร็นบู้ผิงก็ได้หาโอกาสในการแก้แค้นมาโดยตลอด เร็นบู้ผิงได้บากหน้าไปยังแท่นบูชาหยกเขียวเพื่อที่จะเป็นพันธมิตรกับจางหยวนฉาน แต่น่าเสียดายที่ในตอนนั้นทั้งสำนักทั้ง 2 ไม่มีโอกาสที่จะเกี่ยวดองกันได้
เมื่อทางพระราชวังวางแหนที่จะใช้ลูกหลานของเหล่าคนทรงเรียกสิบคนทรงมา เป็นเรื่องธรรมดาที่เร็นบู้ผิงจะไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไป ด้วยเหตุนี้เองตัวเขาจึงพารถม้าของวิหารปีศาจมาที่นี่ด้วยตัวเอง
แต่เพราะว่าเร็นบู้ผิงประเมินพลังของปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างจีเทียนเด๋าน้อยไป ลู่โจวสามารถเอาชนะเจ้าสำนักวิหารปีศาจไปได้อย่างง่ายดาย พลังลมปราณภายในร่างกายของเร็นบู้ผิงได้เริ่มแหลกสลายไป ในตอนนี้เจ้าสำนักวิหารปีศาจเข้าใจแล้วว่าทำไมซู่จินฉานถึงได้ตายจากไป ด้วยความแข็งแกร่งของศาลาปีศาจลอยฟ้าแบบนี้ไม่มีทางเลยที่ทางวิหารปีศาจจะสามารถต่อกรได้ ในตอนนี้ร่างของเร็นบู้ผิงกลายเป็นลูกโป่งที่กำลังยวบตัว พลังลมปราณในจุดตันเถียนของเขาเริ่มรั่วไหลออกจากร่าง พลังลมปราณยังคงไหลออกอย่างไม่หยุดพักก่อนที่ร่างกายของเร็นบู้ผิงแห้งเหี่ยวไปในอากาศ
“ท่านเจ้าสำนัก! “
“ท่านเจ้าสำนัก!! “
รถม้าของชาววิหารปีศาจได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ที่เป็นแบบนี้เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ‘เมื่อต้นไม้โค่นล้ม ฝูงลิงก็จะกระเจิง’
ด้วยการตายของผู้เป็นเจ้าสำนัก ทำให้ในตอนนี้ชาววิหารปีศาจที่เหลือก็ไม่ต่างจากฝูงสัตว์ที่ไร้จ่าฝูง ในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดได้แต่ตื่นตกใจ, กระวนกระวาย และตื่นกลัว
ต้วนชิงในตอนนี้ได้กลับไปที่รถม้าลอยฟ้าในทันที เขาที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหารปีศาจลอยฟ้าได้โบกแขนขึ้นก่อนที่จะพูดอย่างภาคภูมิใจ “อย่าตื่นตกใจ! พวกเราถอยซะ! ” ต้วนชิงล้มเลิกแผนในทันทีเมื่อเห็นเจ้าสำนักวิหารปีศาจได้ตายจากไป
“น่าสมเพชจริงๆ! พวกวิหารปีศาจทั้งหลายไม่มีความภาคภูมิใจเป็นของตัวเองเลยอย่างงั้นสินะ”
ลู่โจวยืนมองรถม้าลอยฟ้าคันนั้นลอยไป ต้วนชิงในตอนนี้ได้ลอยห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อยๆ
ต้วนชิงสั่นไปทั้งตัว เขารีบโค้งคำนับให้อย่างเร่งรีบ “ท่านผู้อาวุโส ท่านเจ้าสำนักได้ตายไปแล้ว ข้าไม่กล้าที่จะเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไป ข้าก็สาบาน ในนามของยอดฝีมือลำดับ 3 ข้าจะไม่ขอรุกรานวิหารปีศาจอีกต่อไป ถ้าหากข้าผิดคำสาบานจริงขอให้ข้าตายเหมือนกับท่านเจ้าสำนัก! “
ต้วนชิงได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าก่อนที่จะหายตัวไป
เจ้าสำนักวิหารปีศาจตายในพริบตา
‘ช่างโหดร้ายอะไรแบบนี้! ‘
เหล่าสาวกจากวิหารปีศาจต่างก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นผลลัพธ์จากการต่อสู้ เมื่อเจ้าสำนักตายจากไป ต้วนชิงที่เป็นผู้ที่เก่งกาจที่สุดของวิหารปีศาจก็ได้รับหน้าที่ดูแลวิหารปีศาจต่อไป ไม่มีชาววิหารปีศาจหน้าไหนที่กล้าคัดค้านตัวเขาได้
ต้วนชิงไม่ได้ตั้งใจที่จะสาบานออกมาด้วยความตั้งใจ ที่ตัวเขาทำแบบนี้เป็นเพราะต้องการที่จะยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวด้วยกัน การทำแบบนี้ต้วนชิงจะได้ไม่ต้องมาเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไป และที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดก็คือการสังหารเร็นบู้ผิง ผู้นำวิหารปีศาจสูงสุด!
ลู่โจวเหลือบมองไปที่รถม้าลอยฟ้าของวิหารปีศาจที่กำลังลอยจากไป…’ชายคนนี้ช่างรู้จักตัวเอง รู้จักการอ่านสถานการณ์จริงๆ …’ หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปเฝ้ามองต้วนมู่เฉิง
ในขณะเดียวกันต้วนชิงก็ได้แต่สั่งออกมาอย่างเด็ดขาด “ถอยซะ! “
เหล่าสาวกจากวิหารปีศาจทั้งหลายยังไม่รู้สึกตัวอะไร ต่อหน้าสิบคนทรงทั้งสิบรวมไปถึงคนจากศาลาปีศาจลอยฟ้าพวกเขาทุกคนก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นไม้ที่สูญเสียจิตวิญญาณไป เหล่าสาวกที่ได้ฟังคำสั่งก็ได้โค้งคำนับออกมาอย่างรวดเร็ว
“พวกเราเข้าใจแล้ว! ” รถม้าลอยฟ้าของวิหารปีศาจได้หันหลังก่อนที่จะจากไปในทันที
สำหรับนักบุญแห่งดาบลั่วฉีซาน เขายังคงรู้สึกหวาดกลัวต่อพลังฝ่ามือทั้งเก้าอยู่ พลังฝ่ามือทั้งเก้าของลู่โจวเป็นพลังที่น่าตกใจอย่างแท้จริง! ลั่วฉีซานไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่ถึงแบบนั้นนั่นมันก็คือความจริง ลั่วฉีซานตัดสินใจที่จะล่าถอยกลับไป
และเป็นเพราะว่าพลังของสิบคนทรงถูกกำจัดไปด้วยพลังของวิซซาร์ด เพราะแบบนั้นสิบคนทรงทั้งหมดจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้
ภายใต้การโจมตีอันโหมกระหน่ำของต้วนมู่เฉิง ในตอนนี้วู่เซียนจึงโกรธมากขึ้น!
วู่จีที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “ทำไมกัน? “
วู่เซียนที่ได้ยกแขนขวาขึ้น ตัวเขาได้ใช้แขนซ้ายของตัวเองเพื่อเฉือนแขนขวา เลือดสดๆ ได้ถูกใช้ไปกับเวทมนตร์คาถาบทใหม่ ในตอนนั้นเองแสงสว่างสีม่วงก็ได้ส่องมาจากปลายนิ้วของเขา เมื่อใช้เลือดที่อยู่บนนิ้วมือป้ายไปที่ดวงตาของตัวเอง ดวงตาของเขาก็ได้เปลี่ยนสีไปในทันที จากดวงตาที่เป็นสีแดงสดได้กลับกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
“วิญญาณจับจ้อง? “
วิญญาณจับจ้องนับว่าเป็นหนึ่งในเวทมนตร์คาถาธรรมดาทั่วๆ ไป มันไม่ใช่เวทมนตร์คาถามืดได้แต่อย่างใด ส่วนใหญ่แล้ววิญญาณจับจ้องจะถูกใช้ก็ต่อเมื่ออยากที่จะจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ต่อหน้าผู้ใช้เวทมนตร์คาถาบทนี้สิ่งที่มองเห็นจะไม่สามารถปกปิดอะไรได้
วู่เซียนไม่เชื่อว่าสัตว์ขี่ที่ตัวเขาเห็นอยู่ตรงหน้าจะเป็นสัตว์ในตำนานจริง และยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่าตัวเองและเหล่าสิบคนทรงจะเป็นคนที่ชั่วร้าย! วู่เซียนได้แต่เงยหน้ามองวิซซาร์ดที่กำลังบินอยู่ที่กลางอากาศ
“หืม? ” วู่เซียนเห็นแสงรอบตัวของวิซซาร์ด แสงนั้นมันดูบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก และด้วยการใช้วิญญาณจับจ้องทำให้วู่เซียนเห็นแสงสว่างรอบตัวของวิซซาร์ดเป็นแสงเจ็ดสี
วู่เซียนในตอนนี้ผิดหวังไปทั้งหัวใจ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เก่งกาจที่สุด เป็นหนึ่งในผู้นำของเหล่าสิบคนทรง แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไร วู่เซียนได้ใช้วิญญาณจับจ้องมองไปที่ลู่โจว ในตอนนั้นเองเขาก็พบกับความจริง ‘ชายคนนี้ไร้พลังอย่างแท้จริง แต่ทำไมรอบๆ ตัวของเจ้านั่นกลับไปด้วยพลังที่น่าดูอันตรายล่ะ? ‘
วู่เซียนเป็นผู้นำของเหล่าสิบคนทรง นอกจากนี้แล้วเขายังเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด แต่ถึงจะมีพลังมากมายขนาดไหนเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายจากฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่ตัวเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ตรงนี้มันอันตรายมากแค่ไหน
‘เหลือเชื่อ! น่าขันสิ้นดี! ‘
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ต้วนมู่เฉิงดูเหมือนจะไม่รู้จักความหมายของคำว่าเหนื่อยล้า เขายังคงใช้หอกราชันย์ที่มีอยู่ในมือกระหน่ำแทงใส่เหล่าสิบคนทรงอย่างต่อเนื่อง
ม่านพลังสีม่วงตอนนี้ดูอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
การที่ม่านพลังอ่อนแรงลงแบบนี้ได้เป็นเพราะเวทมนตร์คาถาได้รับผลกระทบมาจากพลังของวิซซาร์ดโดยตรง
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดสรรเสริญออกมา “วิซซาร์ดไม่ได้ทำให้เวทมนตร์คาถาของพวกสิบคนทรงอ่อนแอลงเท่านั้น พลังของมันยังเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้กับพวกเราอีกด้วย! ในตอนนี้พวกเราไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว!
วู๊…
วิซซาร์ดได้ส่งเสียงร้องออกมา
ตู๊ม!
เสียงบทสรรเสริญเวทมนตร์คาถาของเหล่าสิบคนทรงหยุดลงกลางคัน ในตอนนี้ที่สนามแห่งการต่อสู้ได้เงียบสนิท
ช่วงเวลาที่เสียงเงียบลง ในตอนนั้นเองวู่เซีย, วู่ดี, วู่ลี, วู่เจิน และวู่หลัวต่างก็โซเซไปมาเหมือนกับผู้ที่ทรงตัวไม่อยู่
ในเวลาเดียวกันในตอนที่หอกราชันย์และภาพเงาทั้งหมดจะทะลุการป้องกันมาได้
ในตอนนั้นวู่เซียนก็ได้ยกมือขึ้นมาซะก่อน หลังจากนั้นเองม่านพลังสีม่วงก็กลับมาแข็งแกร่งดังเดิม
“ท่านวู่เซียน!! ” ผู้ฝึกยุทธชุดแดงทั้ง 18 คนได้รวบรวมพลังลมปราณเอาไว้ก่อนที่จะส่งให้กับสิบคนทรงไป
วิซซาร์ดได้บินวนไปมาอีกครั้งก่อนที่จะบินจากไป ในที่สุดแสงสว่างจากตัวมันก็หายไป
“วิซซาร์ด? ” หยวนเอ๋อที่เห็นวิซซาร์ดจากไปยังไม่อยากเห็นมันจากไปทั้งๆ แบบนี้
“แม้ว่าวิซซาร์ดจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ถึงแบบนั้นพลังของมันก็มีขีดจำกัดอยู่ มันคงต้องการพักผ่อนแหละนะ” ฮั๊ววู่เด๋าได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดไปด้วย
ลู่โจวเหลือบมองไปที่เมนูระบบ ตามที่คาดการณ์เอาไว้ ที่ด้านหลังของวิซซาร์ดมีสถานะของมันบ่งบอกเอาไว้ มันเขียนเอาไว้ว่า “พักผ่อน” ที่ด้านหลังของสถานะไม่มีระยะเวลาระบุเอาไว้
‘ดูเหมื่อนวิซซาร์ดจะมีความสามารถที่เกินความคาดหมายของฉันไปเยอะ…’ หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้คิดต่อไป ‘นั่นก็หมายความว่าบี่เอี๊ยนเองมีความสามารถในการบดขยี้เหล่าศัตรูที่ขวางหน้าอย่างงั้นสินะ? ‘
“ท่านวู่เซียน! ” นักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานได้เข้าใกล้เหล่าสิบคนทรงมากขึ้น ในตอนนี้พลังเวทมนตร์คาถาอ่อนพลังลงมากแล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่กล้าที่จะโจมตีโดยประมาท
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดเย้ยหยันออกมา “ลั่วฉีซาน ถ้าหากเจ้าต้องการแล้วล่ะก็ ครั้งนี้ข้าจะให้โอกาสไว้ชีวิตเจ้า! “
“ฮั๊ววู่เด๋า ถ้าหากเจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่แล้วล่ะก็ มาสู้กับข้าซึ่งๆ หน้าซะ! ” นักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานกำลังท้าทายฮั๊ววู่เด๋าที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ กับลู่โจว
“ย่อมได้! ” ฮั๊ววู่เด๋าได้หันไปคารวะลู่โจวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์ ข้าหวังว่าท่านจะอนุญาต ถ้าหากข้าได้พ่ายแพ้จนตายจากไป นั่นก็เป็นเพราะข้ามันอ่อนแอเอง”
“ไปซะ”
ลู่โจวรู้ว่าฮั๊ววู่เด๋าต้องการที่จะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับสำนักหยุนไป ถ้าหากเขาไม่ทำแบบนี้มันก็เป็นเหมือนกับปมที่สองในใจของฮั๊ววู่เด๋า
ในตอนนี้พลังของฮั๊ววู่เด๋าเพิ่มมากขึ้นแล้ว เพราะแบบนั้นเขาจึงมั่นใจในพลังของตัวเองมากขึ้น
“ตายซะ! ” ลั่วฉีซานได้กระโจนเข้ามา
ฮั๊ววู่เด๋าได้ใช้ปลายเท้าแตะไปที่รถม้าลอยฟ้าล่องเมฆาอย่างเบาๆ ก่อนที่จะพุ่งทะยานจากไป ในตอนที่ตัวเขาจากไป พลังผนึกตราประทับทั้งหกที่เคยปกป้องรถม้าเองก็จางหายไปเช่นกัน
และเพราะพลังเวทมนตร์คาถาในตอนนี้ถูกลดพลังลงไปโดยวิซซาร์ดเป็นส่วนมากแล้ว เพราะแบบนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป
ลั่วฉีซานและฮั๊ววู่เด๋าได้ลงไปเผชิญหน้ากันท่ามกลางสนามการต่อสู้ หลังจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ค่อยๆ หายไปในที่ไกลแสนไกล
ลู่โจวในตอนนี้ยังคงยืนเอามือไขว้หลังเช่นเคย สายตาของเขาก็ยังดูไร้อารมณ์และเย็นชาไม่เปลี่ยน
“สิบคนทรง! “
ทั้งสองฝ่ายต่างก็สบสายตากัน
วู่เซียนมองไปที่ลู่โจวแต่เพียงผู้เดียว “ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจีเทียนเด๋า” จากข้อมูลทั้งหมดที่วู่เซียนรู้มา มันเป็นข้อมูลจากความทรงจำวู่เฉิงนั่นเอง ในตอนแรกเขาจ้องมองลู่โจวเป็นเพียงชายคนหนึ่งที่น่ารังเกียจแต่เพียงเท่านั้น แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวเขาจะได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อตัวลู่โจวไปซะแล้ว
ลู่โจวเองได้พูดออกมาซะก่อน “ข้าน่ะผิดหวังซะจริง”
“หืม? “
“บรรพบุรุษผู้มีปัญญาฉลาดหลักแหลมในตอนนี้กลับกลายเป็นขี้ข้าของคนอื่นซะได้”
เมื่อวู่เซียนได้ยินแบบนั้น เขาก็ได้ตอบกลับในทันที “ถ้าหากไม่มีวิซซาร์ด ข้าก็คงจะจัดการเจ้าไปอย่างง่ายดายแล้ว เจ้าที่กล้าดูถูกสิบคนทรงของพวกเราจะต้องไม่ตายดีแน่”
ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากทะเลาะกันอีกครั้ง
หมิงซี่หยินที่ฟังอยู่นานเริ่มทนไม่ไหว “หยุดพล่ามได้แล้ว! พลังของเวทมนตร์คาถาในตอนนี้ก็ได้จางหายไปแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็คงจะมีพลังไม่เกินผู้ฝึกยุทธที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 5 กลีบหรอก… เจ้าน่ะเป็นผู้นำของสิบคนทรงอย่างงั้นสินะ? อย่างเจ้าข้าไม่คิดว่าจะมีพลังร่างอวตารดอกบัวเกิน 7 กลีบไปได้หรอก! เจ้าน่ะจะเอาอะไรไปต้านทานพลังฝ่ามือของท่านอาจารย์ข้าได้กัน? “
วู่เซียนเริ่มที่จะใกล้หมดความอดทนเต็มที เดิมทีเขาเป็นผู้ที่ตายจากไปแล้ว แต่ในตอนนี้เขาถูกกลับเรียกมาที่โลกใบนี้ด้วยความต้องการของเหล่าลูกหลานเพียงเท่านั้น ตัวเขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
“จองหอง! ” วู่เซียนขึ้นเสียงสูง ในตอนนี้พลังสีม่วงของตัวเขาได้แพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่แล้ว
เมื่อฝานซงเห็นแบบนั้นเขาก็รีบพูดเตือนในทันที “ทุกคนระวังด้วย นั่นมันเวทมนตร์คาถาที่มีพลังพอๆ กับผู้ฝึกยุทธในตอนที่ใช้พลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบขั้นสุดยอด ข้าคิดว่าผู้ที่จะต่อกรกับพลังนั้นได้คงจะมีเพียงผู้ฝึกยุทธที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบเท่านั้น! “
“พลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบขั้นสุดยอด?! “
วู่เซีย, วู่ดี, วู่เจิน, วู่หลัว และวู่ลีเองก็ระเบิดพลังที่มีออกมาเช่นกัน
“มนุษย์น่ะก็เป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ แมลงอย่างพวกเจ้าเองก็เป็นแมลงอยู่วันยังค่ำเช่นกัน…พลังของสิบคนทรงอย่างพวกเราน่ะอยู่เหนือขอบเขตจินตนาการของพวกเจ้าไปมาก! “
ลู่โจวได้เอามือของตัวเองคว้าไปที่ฝานซุยเหวิน การเคลื่อนไหวของลู่โจวรวดเร็วมาก ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าตัวเขามีพลังวรยุทธขั้นมหาราชครูนั่นเอง หลังจากที่คว้าตัวฝานซุยเหวินไว้ได้ลู่โจวก็ได้พูดขึ้น “ฝานซุยเหวิน เจ้าน่ะมองเห็นแล้วรึยัง? “
ใบหน้าของฝานซุยเหวินยังคงหยิ่งผยองเช่นเดิม ตัวเขายังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของเหล่าอัศวินดำที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่ออยู่ที่อันดับต้นๆ ของบัญชีดำ…ข้าจะให้ทุกคนดูเจ้าไว้ให้ดี! ” หลังจากพูดจบลู่โจวก็ได้ซัดฝ่ามือไปที่กลางหลังของฝานซุยเหวิน
“ปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้า! ไม่! ” ใบหน้าของฝานซงเปลี่ยนไป สีหน้าของเขาซีดลงเพราะความตื่นตกใจ
เมื่อลู่โจวได้ใช้พลังลมปราณของตัวเองใส่ไปที่ฝานซุยเหวิน เขาก็สัมผัสถึงพลังฝานซุยเหวินได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เป็นเพราะพลังเคล็ดอักษรสวรรค์ของลู่โจวทำให้จิตใจของฝานซุยเหวินกลับมาดูชัดเจนอีกครั้ง
พลังลมปราณของลู่โจวได้ไหลไปยังเส้นพลังลมปราณทั้ง 8 เส้นของฝานซุยเหวิน ในตอนนั้นเองพลังที่พันธนาการพลังวรยุทธทั้งหมดของฝานซุยเหวินก็ได้ถูกคลายออก
“นี่มัน…” ฝานซุยเหวินเบิกตากว้าง ดวงตาของเขาเปล่งประกายแสงสีน้ำเงินออกมา ใบหน้าของฝานซุยเหวินได้กลับมาดูโหดเหี้ยมอีกครั้งก่อนที่จะคำรามออกมา “เจ้าอีกแล้วสินะ…”
“พลังเวทมนตร์คาถาแห่งความหลงใหลถูกคลายไปแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่ลงมืออีก!? ” ลู่โจวได้เอาฝ่ามือฟาดไปที่หลังของฝานซุยเหวินอีกครั้ง
พรึ๊บ!
ฝานซุยเหวินที่ได้รับแรงกระแทกได้หมุนตัวไปข้างหน้า ในตอนนี้เองเขากลับมารู้สึกตัวอีกครั้งแล้ว จิตใจของเขากลับมาว่าเปล่า ‘ข้าเป็นใครกัน? ข้าอยู่ที่ไหน? ‘ หลังจากนั้นไม่นานภาพความทรงจำทั้งหมดก็ได้ย้อนกลับมาหาตัวเขาอีกครั้ง!
“สิบคนทรง? ม่อหลี่? ” ดวงตาของฝานซุยเหวินเต็มไปด้วยความโกรธ
“ร่างอวตารแห่งร้อยวิถี! ” สิ้นสุดเสียง พลังร่างอวตารสูงใหญ่ที่มีดอกบัวถึง 8 กลีบก็ได้ปรากฏขึ้น