หลังจากสงครามระหว่างมังกรและหงส์ เผ่าเวทก็กลายเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในร้อยเผ่าพันธุ์
พวกเขาค่อยๆ กลายเป็นพวกเอาแต่ใจและรังแกผู้คนมากมาย
ร้อยเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้รับการยอมรับต่างรวมตัวกัน ในขณะที่เผ่าอีกาทองคำนำโดยจักรพรรดิตะวันออกไท่อีและตี้จวินผู้ถือกำเนิดจากดวงสุริยัน พวกเขาซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าต่อสู้กับเผ่าเวทมาหลายปี
หลังจากนั้น เผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ กลายเป็นที่รู้จักกันในนามปีศาจ จักรพรรดิตะวันออกไท่อีและตี้จวินได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิปีศาจ และก่อตั้งศาลสวรรค์ของเผ่าปีศาจขึ้นบนยอดเขาปู่โจว…
เผ่าเวทและปีศาจได้ต่อสู้กันมาสามครั้งและทำลายโชคของทั้งสองเผ่าพันธุ์ซึ่งส่งผลให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ปรากฏขึ้นมา
เผ่าพันธุ์มนุษย์
เนื่องจากมีความเกลียดชังระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจที่ไม่อาจแก้ไขได้ ในช่วงเวลาที่ยาวนานก่อนการต่อสู้ครั้งที่สามระหว่างเผ่าเวทกับปีศาจ เผ่าเวทจึงค่อย ๆ แต่งงานกับเผ่ามนุษย์ และส่งผลให้เกิดครึ่งเผ่ามนุษย์ครึ่งเผ่าเวท หรือพวกพ่อมด
เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแล้ว และเผ่าเวทถูกผนึกไว้ในเทวะอุดร เผ่าปีศาจก็ได้ถอยกลับไปยังพรมแดนระหว่างดินแดน ในขณะที่เผ่าพ่อมดมีพลังของเผ่ามนุษย์และพลังของเผ่าเวท พวกเขาก็ทรงพลังเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการของการขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อสิ้นสุดยุคโบราณ เผ่าพ่อมดที่ดุร้ายมากขึ้นก็ค่อยๆ ถูกกำจัดไปทีละน้อย
หนึ่งในการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากคือ การต่อสู้แย่งชิงโชคระหว่างเซวียนหยวนหวงตี้หรือจักรพรรดิเหลือง[1]และฉื้อโหยว[2]
และนับตั้งแต่นั้นมา เผ่าพ่อมดก็ค่อยๆ หายไป
มันอาจจะเป็น…
หลี่ฉางโซ่วมองไปที่เหล่าสานุศิษย์หอคอยเหล็กที่มีชีวิตอยู่ด้านล่าง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
นี่เป็นเชื้อสายของเผ่าเวทโบราณจริงๆ หรือไม่
เพราะบรรพบุรุษอาศัยอยู่ในมุมหนึ่งของทะเลทักษิณและรอดพ้นจากภัยพิบัติของเผ่าพ่อมด ดังนั้นพวกเขาจึงรอดชีวิตมาได้จนกระทั่งยามนี้หรือ
เชอะ! ยิ่งดูก็ยิ่งมีโอกาสมาก…
หลี่ฉางโซ่ววางขวดกระเบื้องในมือของเขาและขมวดคิ้วขณะสังเกตสถานการณ์ด้านล่าง
สิ่งต่างๆ เริ่มมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงหลายปีอันยาวนานของมหาสงครามจอมเวท-ปีศาจ สิ่งมีชีวิตในโลกได้ตายลงอย่างน่าสลดใจในแต่ละครั้ง และมีวิญญาณที่โดดเดี่ยวอ้างว้างจำนวนนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าจนในที่สุดก็ค่อยๆ หายไป
บรรพบุรุษเผ่าเวท ต้าเต๋อโฮ่วถู่หรือราชินีแห่งแผ่นดิน[3] ทรงทนไม่ได้ที่จะเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้น จึงยอมเสียสละองค์เองและกลับไปที่สังสารวัฏหกวิถี
ดังนั้น สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในเวลานี้จึงเป็นหนี้กรรมต้าเต๋อโฮ่วถู่ และยิ่งกว่านั้น พวกที่เหลือของเผ่าเวทก็ต้องไปรับใช้ในแดนยมโลกเช่นกัน
และด้วยความจริงที่ว่า พวกคนในหมู่บ้านสงเหล่านี้สามารถใช้พลังและทักษะเวทเช่นนี้ได้ ย่อมหมายความว่า ต้องมีสัดส่วนของสายโลหิตเผ่าเวทไม่น้อยอยู่ในร่างกายของพวกเขาอย่างแน่นอน…
หลี่ฉางโซ่วยังคงครุ่นคิดเรื่องนี้ และในเวลานี้ เขาได้คิดหาวิธีจัดการกับชาวหมู่บ้านสงเหล่านั้นแล้ว
การวางยาและค่ายกลจะช่วยให้เขาบรรลุผลอย่างที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
แต่แผนแรกที่จะทำลายสำนักเทพทะเลนั้นไร้ผล
เว้นแต่เขาคิดที่จะทำลายหมู่บ้านสงอย่างโหดร้าย มิฉะนั้นชาวหมู่บ้านสงเหล่านั้น จะยังคงแสดงความศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าผู้คน และสำนักเทพทะเลก็จะยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว…
ในเวลานี้เอง หลี่ฉางโซ่วก็สังเกตเห็นว่ามีเมฆดำขนาดใหญ่อีกก้อนหนึ่งกำลังกดทับลงบนทะเลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
มีปีศาจหกตัวอยู่ในเมฆ และคลื่นพลังปีศาจของพวกมันก็ปกคลุมไปทั่วแผ่นฟ้า
พวกมันอาละวาดหนักเหมือนเคย! เห็นได้ชัดว่ายังมีคนไม่ต้องการจะปล่อยโอกาสนี้ไป และต้องการใช้ประโยชน์จากการรวมตัวนั้นเพื่อทำลายสำนักเทพทะเล…
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย แม้เขาจะมีเป้าหมายเดียวกับอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้เหล่าสานุศิษย์มนุษย์ต้องได้รับอันตรายโดยไร้เหตุผลได้
ใช่แล้ว หมู่บ้านสงนี้…
หลี่ฉางโซ่วควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ให้มันพุ่งดิ่งลงมาอย่างกะทันหัน และหลบลูกศรก่อนจะบินตรงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือทันที
เขาแอบร่ายเวทวายุวัจน์และเลียนแบบเสียง ‘วิญญาณหมีดำ’ ของหัวหน้าหมู่บ้านสง
จากนั้น เขาก็ตะโกนใส่หูของชาวบ้านหมู่บ้านสงที่อยู่ด้านล่างว่า “ไล่ตามไป! อย่าปล่อยให้เขาหนีไป!”
ในชั่วพริบตา ผู้แข็งแกร่งกว่าร้อยคนต่างก็วิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งพร้อมๆ กัน ด้วยความรวดเร็วที่ไม่ช้าเลยจริงๆ
“ข้าพูดได้อย่างไรกัน”
หัวหน้าหมู่บ้านสงตกตะลึง จากนั้นก็รีบตะโกนเพื่อหยุดคนส่วนใหญ่อย่างรวดเร็ว
คนยี่สิบคนที่วิ่งเร็วที่สุดได้หลบเลี่ยงเหล่าสานุศิษย์ที่ถูกเมฆดำกดทับ พวกเขากำลังวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือแล้วร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง…
ความเร็วที่พวกเขาวิ่งนั้นยังเร็วกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไปที่ยังไม่กลายเป็นเซียนด้วยซ้ำ
เผ่าเวทล้วนวิ่งเก่ง พวกเขาเป็นปรมาจารย์ของโลก หลี่ฉางโซ่วแอบสังเกตสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นที่เป็น ‘ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพ่อมด’ และในขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมจะวางยาพิษและสังหารปีศาจใหญ่ทั้งหก
เขาต้องการเห็นความแข็งแกร่งของทูตเทวะแห่งหมู่บ้านสง และดูว่าพวกเขาจะสร้าง ‘ความตกใจ’ อื่นๆ ให้แก่เขาได้อีกหรือไม่
ทว่า…
พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วได้ค้นพบเมฆดำอีกแห่งหนึ่งในทางใต้ และทำให้เขารู้สึกอับจนหนทางเล็กน้อย
วันนี้มันเกิดอันใดขึ้น งานชุมนุมของสำนักเทพทะเลทำให้เกิดปฏิกิริยามากมายจากหลายฝ่ายหรือ
ในเวลานี้ ที่ทะเลทักษิณ มีเมฆดำเคลื่อนตัวเข้าหาเมืองอันสุ่ยอย่างรวดเร็ว
มันไม่ใช่ปีศาจ มีกองทหารเซียนมังกรวารีอยู่หลายแถวบนเมฆดำนั้น ซึ่งน่าจะเป็นทหารชั้นยอดของวังมังกรแห่งทะเลทักษิณ
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก จึงตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย และยังคงนำกลุ่มคนหมู่บ้านสงจำนวนยี่สิบคนที่อยู่ด้านล่างเพื่อต่อสู้กับปีศาจใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้…
แต่พวกคนจากหมู่บ้านสงเหล่านั้นมีความอดทนต่ำ
พวกเขาวิ่งตามหลี่ฉางโซ่วเป็นระยะทางหลายสิบลี้ แต่แล้วก็หอบอย่างหนักและค่อยๆ วิ่งช้าลงเรื่อยๆ
หลี่ฉางโซ่วจึงทำได้เพียงกำจัดปีศาจด้วยตัวเขาเองเท่านั้น
และหลังจากนั้น ข้าค่อยปล่อยให้ปีศาจใหญ่มาทดสอบพลังต่อสู้ของคนหมู่บ้านสงเหล่านี้ดีหรือไม่
ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ปัดความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่จำเป็นต้องการทดสอบที่มากเกินความจำเป็นเช่นนี้…
ในขณะนั้น ผู้คนในเมืองอันสุ่ยกำลังจะเริ่มการต่อสู้แล้ว! บัดนี้เมฆดำจากทะเลทักษิณมาถึงท้องฟ้าเหนือเมืองอันสุ่ยแล้ว
กองทหารเซียนมังกรวารีล้วนมองลงมาจากด้านบน แผ่ไอสังหารทั้งบนท้องฟ้าและปฐพีทำให้เหล่ามนุษย์ด้านล่างล้วนตื่นตกใจอีกครั้ง
ทันใดนั้นเหล่าทหารเซียนมังกรวารีแถวหน้าล้วนถอยกลับ และมีร่างสองร่างเดินออกไปเคียงข้างกัน
หลี่ฉางโซ่วกวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปสำรวจสถานการณ์ด้วยความรู้สึกตึงเครียดในใจ และฉับพลันนั้น เขาก็เกือบจะตกลงมาจากก้อนเมฆทันที!
อ๋าวอี่!
โอ ไม่นะ เจ้าคนผู้นี้รู้จักรูปปั้นของข้าด้วย! ในขณะนั้น จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็อยากจะเลิกคิด และไปตามกระแส จากนั้นก็เผาตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และจะไม่มาที่ทะเลทักษิณอีกเลย
ที่แห่งนี้อาจเป็นสถานที่ที่เขาจะประสบโชคร้ายหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาของเรื่องนี้อยู่ไกลเกินความคาดหมายของหลี่ฉางโซ่วแล้ว…
เวลานี้ ‘ตัวเอก’ ในกลุ่มคนไม่ใช่อ๋าวอี่ แต่กลับเป็นองค์ชายมังกรแปลกหน้าที่มีรูปร่างสูง ผอม และดูค่อนข้างอ่อนแอที่อยู่ข้างๆ อ๋าวอี่…
อ๋าวโหมวมองสำรวจพื้นที่ด้านล่างของเขา ไม่รู้สึกถึงพลังลมปราณผันผวนใดๆ เพียงสังเกตเห็นผู้บำเพ็ญมนุษย์สองถึงสามคนในขอบเขตหลอมรวมปราณวิญญาณเทพเท่านั้น
จากนั้นเขาก็พ่นลมหายใจเย็นชา และคิดว่าจะโอ้อวดต่อหน้าอ๋าวอี่ พี่รองของเขา
เขากล่าวอย่างสงบว่า “บังอาจนัก เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงเรียกตัวเองว่าสำนักเทพทะเลทักษิณ ใครก็ได้ ไปทุบรูปปั้นนั้นให้ข้าที!”
“ขอรับ!”
ทันใดนั้น เหล่าทหารเซียนมังกรวารีสองสามคนก็ได้รับคำสั่งโดยที่ไม่รู้ว่า พวกเขาจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไป
[1] เซวียนหยวนหวงตี้ ตามตำนาน กล่าวกันว่า เซวียนหยวนหวงตี้ หรือจักรพรรดิเหลือง เป็นหนึ่งในสามราชาห้าจักรพรรดิในยุคโบราณ เป็นบรรพกษัตริย์ในยุคบรรพกาลซึ่งประสูติขึ้นมาในตระกูลเซวียนหยวน มีแซ่ว่ากงซุน แต่เนื่องจากประสูติที่เนินเซวียนหยวน จึงเป็นที่มาของเซวียนหยวน
[2] ฉื้อโหยว ณ มณฑลเหอหนานในสมัยนั้น ฉื้อโหยว เป็นผู้ปกครองที่โหดร้ายและไร้คุณธรรม กดขี่ขมเหงและควบคุมอำนาจเหล่าขุนนาง
[3] ต้าเต๋อโฮ่วถู่ หรือราชินีแห่งแผ่นดิน เป็นเทพแห่งเต๋า ซึ่งมี อำนาจเทียบเท่าองค์พระจักรพรรดิแห่งสรวงสวรรค์หรือเง็กเซียน ซึ่งเง็กเซียนฮ่องเต้จะทรงปกครองสวรรค์ และท้องฟ้า ในขณะที่ราชินีแห่งแผ่นดินจะปกครองพื้นดิน ขุนเขา และสายน้ำ