ภายใต้ค่ายกลแยกตัวในป่า มีไฟสีแดงส้มพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และซากศพของปีศาจขนาดใหญ่ทั้งหกกำลังสลายหายไปในเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว
เปลวเพลิงเหล่านี้พุ่งสูงขึ้นไปกว่าสิบจั้ง ปล่อยคลื่นความร้อน แผ่พลังวิญญาณออกมาเล็กน้อย และยังเปล่งแสงส่องสว่าง…ในขณะที่ดวงตาหลี่ฉางโซ่วค่อนข้างเฉยเมย
เขายกมือขึ้นราวกับว่าสัมผัสได้ถึงระดับความร้อนของเพลิงแท้ แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง
ตุ๊กตากระดาษสามตัวกลายร่างเป็นมนุษย์สามคนที่มีอายุต่างกัน ทั้งสามล้วนยืนอยู่นอกกองไฟและท่องพระสูตร
พวกเขายังคงสวดมนตราแห่งการหลุดพ้น มนตราแห่งความตาย และมนตราแห่งปราบภัยพิบัติ มีทั้งตีปลาไม้ในมือขณะกำลังแกว่งระฆังกำราบวิญญาณไปมา
สถานที่แห่งนั้นอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาที่แห้งแล้งซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองอันสุ่ย เป็นระยะทางเจ็ดร้อยลี้
เขาหยุดปีศาจทั้งหกและเข้าร่วมการต่อสู้นองเลือด เขาเสียยาพิษบางส่วนเพื่อวางยาพิษและสังหารพวกมัน
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่หลี่ฉางโซ่วซ่อนตัวไว้อยู่ภายใต้เมืองอันสุ่ย และแผ่กระจายพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาเพื่อสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากที่เขาพบว่ามีพ่อมดอยู่ในหมู่บ้านสง หลี่ฉางโซ่วก็ปวดหัวแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นไม่อาจแก้ไขได้
แต่จู่ๆ เผ่ามังกรก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออ๋าวอี่อยู่ที่นั่น…
นั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วอยากทำลายกรรมทั้งหมดนั้นไปไม่มากก็น้อย
ความหุนหันพลันแล่นเป็นการต่อต้านจากปีศาจ เขาไม่อาจทำเล่นๆ ได้
ดังนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงท่องพระสูตรมั่นคงเงียบๆ ในใจทันทีและคิดหาวิธีแก้ไขอย่างรวดเร็ว
ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดในขณะนี้คือ อ๋าวอี่รู้จักเขา และจะเชื่อมโยงเทพแห่งท้องทะเลทักษิณกับหลี่ฉางโซ่ว ต้นกล้าอมตะด้อยแห่งสำนักตู้เซียนได้อย่างรวดเร็ว
วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการฆ่าพวกมันให้หมด
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นวิธีที่หยาบที่สุด ไม่มั่นคงปลอดภัยที่สุด และจะเป็นวิธีที่สร้างกรรมมากที่สุดด้วย
ยิ่งสถานการณ์เลวร้ายลงมากเท่าใด เขาก็ยิ่งต้องกังวลให้น้อยลงเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่อาจเอาแต่วิตกกังวลได้ เขาต้องหาทางออกที่ดีให้ทันเวลา
หลี่ฉางโซ่วไม่เคยนั่งรอความตาย
อย่างอาจารย์อาน้อยของเขาที่มีนิสัยของจิ่วเซียนทั้งหลายซึ่งได้รับชัยชนะด้วยความห้าวหาญบ้าบิ่น นางอาจได้รับพรปกป้องจากพลัง ‘ความยุติธรรมเป็นใหญ่จริงๆ’
หากเขาไม่มีพลังแข็งแกร่งพอและวางแผนจัดการพวกเขาให้ดี เขาก็จะเป็นดั่งเดินบนเชือกในทะเลเพลิง…หลี่ฉางโซ่วยึดมั่นในหลักการของการแสวงหาชีวิตที่มั่นคงซึ่งจะก่อให้เกิดความมั่งคั่งและอายุยืนยาวซึ่งฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเขามาโดยตลอด ทำให้เขาต้องจัดการทุกอย่างให้รัดกุมและไม่ต้องการเสี่ยงใดๆ
แต่ปัญหาในตอนนี้คือ เขาไม่ได้เสี่ยงเอง
เขายืนอยู่ที่นั่นในขณะที่ความเสี่ยงกำลังปกคลุมเขาทีละชั้นราวกับวงแหวนไฟ
ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วดีใจที่เขายังโชคดีค้นพบปัญหาได้ทันเวลา
คนของวังมังกรน่าจะสนใจพิธีเทพทะเลโดยไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่หลี่ฉางโซ่วจะมาปรากฏตัวที่นี่หรือไม่
หากหลี่ฉางโซ่วไม่มาปรากฏตัวที่นั่น เกรงว่าบางที…เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายได้อย่างไร!
“ตอนที่ข้ากำลังซ่อมแซมค่ายกลของอาจารย์อาน้อย จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน และรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น และในเวลานี้ ข้าก็ได้สัมผัสกับมันแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ คิดแผนตอบโต้ขึ้นมาในใจ ในขณะที่จิตใจของเขาก็เริ่มทำงานไปพร้อมๆ กัน
ทันใดนั้น ร่างหลักของเขาก็บินออกจากหอโอสถ และมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ
ตุ๊กตากระดาษจำลอง ‘เทพ’ ยังคงจัดการกับศพต่อไปในขณะที่ตุ๊กตากระดาษจำลอง ‘สวรรค์’ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้เมืองอันสุ่ยก็พร้อมที่จะลงมือโค่นวังมังกรลงได้ทุกเมื่อ
ในเวลานี้ ผู้คนในเมืองอันสุ่ยยังไม่ได้เริ่มการต่อสู้อย่างสมบูรณ์ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าสู่ภาวะสงครามระหว่างกันและกันแล้ว
เมื่อคนของวังมังกรปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก หัวหน้าหมู่บ้านสงก็แสดงสีหน้าขลาดกลัวด้วยความตื่นตกใจเมื่อเห็นพวกเขา
แต่หัวหน้าหมู่บ้านชราก็เห็นว่า กองทหารเซียนมังกรวารีมากกว่าสิบนายได้พุ่งปรี่ลงไปทำลายรูปปั้นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของพวกเขา…
สำหรับมนุษย์สามัญทั้งหลาย การตัดความมั่งคั่งก็เปรียบดั่งการสังหารบิดามารดา
หัวหน้าชราของหมู่บ้านสงพลันตื่นตระหนกและร้องตะโกนว่า “จับพวกมันไว้!”
ชาวบ้านกว่ายี่สิบคนที่อยู่ข้างๆ เขาล้วนอ้าปากและพ่นคลื่นแสงสีดินออกมา มันแปลงร่างเป็นแขน ขา และศีรษะของเทพเจ้าที่ดุร้าย แล้วทั้งหมดก็แสดงพลังทักษะเวทของแต่ละคนออกมา ทำให้กองทหารเซียนมังกรวารีล้วนตกตะลึง…
กองทหารเซียนมังกรวารีสองสามคนล้วนถูกกระแทกลงไปกับพื้นก่อนที่กองทหารเซียนมังกรวารีเจ็ดถึงแปดนายจะถูกซัดจนปลิวกระเด็นกลับไป และแต่ละคนก็ล้วนได้รับบาดเจ็บ
ชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งต่างก้าวเข้าไปโอบล้อมและหยุดกองทหารเซียนมังกรวารีที่เหลือสองสามคน แล้วระดมเตะต่อยอย่างบ้าคลั่งในทันใดจนยิ่งเกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
พ่อมดล้วนมีความสามารถในการจับมังกรและต่อสู้กับหงส์ ยิ่งกว่านั้นยังเกิดมาพร้อมกับพลังและทักษะเวทตามธรรมชาติอีกด้วย
ยังมีมนุษย์อยู่หลายหมื่นคน และเหล่าสานุศิษย์ของสำนักเทพทะเล ก็อยู่เต็มไปทั่วทั้งภูเขา และพวกเขาต่างก็พากันตื่นเต้นเมื่อเห็นทูตเทวะแสดงอานุภาพออกมา
ชั่วขณะนั้นที่เกิดเหตุวุ่นวาย บรรดาผู้ใหญ่หลายคนล้วนปิดตาเด็กๆ และบอกพวกเขาไม่ให้มอง…
โชคดีที่ไม่มีการจลาจลหรือการแตกตื่นครั้งใหญ่เกิดขึ้น อ๋าวโหมวที่อยู่บนก้อนเมฆก็ตื่นตกใจกลัวกับความดุร้ายของเหล่าพ่อมดหมู่บ้านสง จึงทำให้เขาต้องล่าถอยไปยืนอยู่ข้างหลังอ๋าวอี่โดยไม่รู้ตัว…
โชคดีที่หัวหน้าหมู่บ้านชรายังคงมีเหตุผลและตะโกนอีกครั้งว่า “อย่าฆ่าพวกเขา!”
จากนั้นเขาก็ช่วยพวกทหารเซียนมังกรวารีสองสามคนที่เกือบจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ในป่า หลี่ฉางโซ่วยังคงแผดเผาด้วยเพลิงต่อไป เขากระแอมไอและจัดการกับซากศพของปีศาจทั้งหกนี้ต่อไป
และเมื่อพวกเขาสวดพระสูตรเกือบเสร็จแล้ว เปลวเพลิงก็อ่อนกำลังลง
แล้วชายร่างใหญ่กำยำคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างเหมือนตุ๊กตากระดาษที่อยู่ด้านข้างเขาก็หยิบแตรออกมาแล้วเงยศีรษะขึ้นเพื่อบรรเลงทำนองโศกเศร้าออกมา
ในขณะที่ตุ๊กตากระดาษอีกตัวที่แปลงร่างเป็นสตรีก็กำลังอ่านบทกวีและเผากระดาษสีเหลืองเพื่อปลอบประโลมวิญญาณที่อ้างว้างในป่าทุรกันดาร…
เมื่อมองไปที่งานศพที่เขาออกแบบเอาไว้อย่างพิถีพิถัน หลี่ฉางโซ่วก็ยิ้มขื่นในใจ
การยุติกรรมเล็กๆ นี้มีประโยชน์อย่างไรกัน
ยามนี้แม้ข้ายังไม่ได้เข้าไปพัวพันกับกรรมใหญ่ แต่หากข้าจัดการมันไม่ดีก็เกรงว่าข้าอาจจะต้องตายในที่สุด
แต่เขาก็ยังไม่ได้ถูกบีบให้เข้าสู่ทางตัน
ยังคงมีแสงแห่งความหวังสำหรับทุกสิ่ง เขายังมีโอกาสรอดซึ่งจะทำให้เขาสามารถแสวงหาความมั่นคงต่อไปได้…
ในขณะนี้ เขายังคงมีโอกาสที่จะทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพ
หลี่ฉางโซ่วหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นป้องเพื่อเป่ากองขี้เถ้าที่อยู่ข้างหน้าเขาพร้อมด้วยความรู้สึกสบายใจเล็กน้อย
และเนื่องจากความสบายใจนี้ เขาจึงต้องคิดมากขึ้น
จากนั้น เขาก็เริ่มทำงานหลายอย่างพร้อมกันขณะที่ไพล่มือเอาไว้ข้างหลัง…
พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ที่นั้น ในขณะนั้น กองทหารเซียนมังกรวารีกำลังจะพุ่งลงมาเมื่ออ๋าวอี่ร้องตะโกนว่า “หยุด!” ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านชราแห่งหมู่บ้านสงก็ตะโกนว่า “ปล่อยให้พวกเขากลับไป!” จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์จากหมู่บ้านสงก็ปล่อยกองทหารเซียนมังกรวารีซึ่งถูกรุมทำร้ายสองสามคนให้บินกลับขึ้นไปบนก้อนเมฆด้วยใบหน้าช้ำและหน้าปูดบวมเป่ง…
ดูเหมือนว่า อ๋าวอี่จะค้นพบบางสิ่งบางอย่าง เขาบินไปที่ด้านหน้าของรูปปั้นและศึกษาอย่างระมัดระวังรอบคอบ
และไม่นานใบหน้าที่บอบบางของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ