ตอนที่ 106.2 หลี่ฉางโซ่วผู้ไม่มั่นใจ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

หลี่ฉางโซ่วเหลือเวลาไม่มากแล้ว…“เช่นนั้น ก็เริ่มโจมตีเลย”

หลี่ฉางโซ่วสูดลมหายใจเข้าลึก บัดนี้มีเพียงความมุ่งมั่นในสายตาของเขาเท่านั้น เขามุ่งเน้นไปที่การทำงานหลายอย่างและทำให้ทุกอย่างทำงานพร้อมกัน!

ในป่าลึกของหุบเขา เวลานี้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้คลานไปใต้ดินและรีบพุ่งไปที่เมืองอันสุ่ย

ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในเมืองอันสุ่ยได้แอบมาถึงด้านล่างใต้รูปปั้นอย่างเงียบๆ และพร้อมที่จะปล่อยพลังเซียนของมันออกมาได้ตลอดเวลา

ในเวลาเดียวกัน บนยอดเขาหยกน้อยของสำนักตู้เซียน ในกระท่อมมุงจากริมทะเลสาบ

หลี่ฉางโซ่วเรียกศิษย์น้องหญิงของเขา หลานหลิงเอ๋อร์เพื่อให้นางร่วมมือกับเขาและปลุกท่านอาจารย์ของเขาที่เผลอหลับไปในระหว่างการฝึกฝนโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เปิดค่ายกลในกระท่อมมุงจาก และยกชายเสื้อคลุมเต๋าขึ้น พลางคุกเข่าลงต่อหน้าอาจารย์ของเขา ทำให้ทั้งหลิงเอ๋อร์และฉีหยวนเฒ่าล้วนตกตะลึง…

“ศิษย์พี่ มีอันใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ”

หลิงเอ๋อร์ตื่นตระหนก

นางไม่เคยเห็นศิษย์พี่ของนางมีท่าทางเคร่งขรึมเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งยามที่สำนักประสบภัยพิบัติเมื่อก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่ของนางก็ยังคงสงบนิ่งอยู่เสมอ

นักพรตเต๋าชราฉีหยวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ฉางโซ่ว หากเจ้ามีเรื่องใดก็จงพูดมาเถิด”

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ขออภัยด้วยขอรับ” หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “วันนี้ศิษย์ได้ก่อกรรมครั้งใหญ่ และอาจเป็นเหตุให้ท่านอาจารย์และหลิงเอ๋อร์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วยในอนาคตขอรับ หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นในสักวันหนึ่ง และอาจมีปรมาจารย์บางคนต้องการสังหารศิษย์ ดังนั้น ขอท่านอาจารย์และหลิงเอ๋อร์ได้โปรดทิ้งศิษย์ไว้คนเดียว…ไม่ต้องเป็นห่วงศิษย์นะขอรับ” ทันใดนั้นฉีหยวนพลันรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ฉางโซ่ว อย่าทำให้อาจารย์กลัวสิ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” “ศิษย์พี่ มีอันใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?”

หลิงเอ๋อร์รีบเดินไปข้างหน้าและคุกเข่าลงข้างๆ หลี่ฉางโซ่วแล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้ ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที “ท่านอย่าได้พูดเช่นนี้ พวกเราไปซ่อนตัวอยู่ที่ปลายพิภพได้หรือไม่เจ้าคะ”

“คราวนี้ไม่มีที่ใดให้ซ่อนได้อีกแล้ว”

หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและถอนหายใจ “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องหญิง เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว พวกท่านได้โปรดตกลงก่อนเถิดขอรับ”

ฉีหยวนถอนหายใจยาวพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

นักพรตเต๋าชราแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากศิษย์มีปัญหา แล้วข้าผู้เป็นอาจารย์จะเพิกเฉยไปได้อย่างไรกัน”

ทันใดนั้นใบหน้าของหลี่ฉางโซ่วยิ่งดูหม่นมัวแล้วกล่าวว่า “หากข้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้อง บางทีเรื่องนี้อาจเลยเถิดไปถึงเซียนต้าหลัวจินและสำนักได้ขอรับ”

“อาจมีกรรมและผลเลวร้ายที่ตามมามากมายนับไม่ถ้วนขอรับ”

ฉีหยวนแย้มยิ้มอีกครั้ง “ข้าเป็นแค่เซียนจั๋ว แล้วเหตุใดยังต้องกลัวด้วยเล่า”

“ท่านอาจารย์!”

หัวใจของหลี่ฉางโซ่วพลันอบอุ่นนักในขณะที่ดวงตาของเขาสั่นไหว “เฮ้ ศิษย์ข้า!”

ฉีหยวนยกมือขึ้นตบไหล่หลี่ฉางโซ่วเบาๆ และทันใดนั้น กระท่อมมุงจากก็ยิ่งอบอุ่นขึ้นอีกมาก

ในขณะที่หลิงเอ๋อร์อยู่อีกด้านหนึ่งพลันกะพริบตาเบาๆ

หาก? บางที?

หลิงเอ๋อร์พลันเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ นี่…ท่าน…ยังไม่ทำอีกหรือเจ้าคะ”

หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ ข้ากำลังจะทำมัน”

“แค่กๆ! ท่าน!”

พลังลมปราณของฉีหยวนพุ่งพล่านขึ้น ฉับพลันนั้น เขาก็ชูแส้หางม้าขึ้นและกำลังจะตีเขา “เจ้ายังไม่ได้ทำ! แล้วมาร้องแรกแหกกระเชออันใดที่นี่!”

ทันใดนั้น ร่างของหลี่ฉางโซ่วพลันหันไปทางด้านหลังทันทีแล้วเผยรอยยิ้มออกมา

“เพื่อความปลอดภัย ศิษย์จึงตัดสินใจแจ้งท่านอาจารย์ และศิษย์น้องหญิงก่อนที่จะทำขอรับ หากมีอันใดเกิดขึ้นในภายหลังจริงๆ พวกท่านโปรดอย่าได้สนใจข้า ท่านอาจารย์ ท่านเพียงแค่ขับไล่ศิษย์ออกจากสำนักและตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับศิษย์ได้ ท่านอาจารย์ ศิษย์จะถือว่าท่านตกลงแล้ว และจะกลับไปประเดี๋ยวนี้ ข้าต้องรักษาสมาธิขอรับ”

หลังจากกล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็หันกลับมาและกำลังจะบินกลับไปที่หอโอสถในขณะที่ฉีหยวนลังเล แต่หลิงเอ๋อร์รีบไล่ตามเขาออกจากกระท่อมมุงจากในทันที

“ศิษย์พี่! คราวนี้ท่านมั่นใจหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่ฉางโซ่วไม่แม้แต่จะหันศีรษะมองกลับไป แล้วกล่าวกลับไปว่า “ไม่เลย”

หลิงเอ๋อร์พลันเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า “แล้วท่านมั่นใจจริงๆ เพียงใดเจ้าคะ”

“น่าจะราวแปดสิบห้าในหนึ่งร้อยส่วน”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจแล้วร่างของเขาก็หายเข้าไปในป่า

หลิงเอ๋อร์ยังขมวดคิ้ว ความมั่นใจแปดสิบห้าในหนึ่งร้อยส่วนนั้น ไม่นับว่ามากจริงๆ…

“หือ?”

หลิงเอ๋อร์กะพริบตา

นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในความคิดของนาง แต่ยังไม่อาจพบต้นตอของปัญหานั้น

เมื่อกลับมาที่หอโอสถ หลี่ฉางโซ่วก็เปิดค่ายกลเขาวงกต ค่ายกลกับดัก ค่ายกลอำพราง และค่ายกลกระตุ้นเตือนต่างๆ และเขายังแขวนหินสัมผัสเอาไว้อีกด้วย

ในเวลานี้ มีการจุดไฟในเตาหลอมโอสถและวางตุ๊กตากระดาษเอาไว้ให้ดูแลปกป้องเตาหลอม และทันใดนั้น ภาพสถานการณ์ของเมืองอันสุ่ยก็ผุดขึ้นมาในใจของเขา

บัดนี้การต่อสู้ระหว่างผู้คนและมังกรพร้อมที่จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ในขณะนั้น อ๋าวอี่จดจำรูปปั้นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลได้ทั้งหมด สีหน้าของเขาดูลังเลและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

หลี่ฉางโซ่วใช้เวทหลบลี้หนีควันและเจาะลึกลงไปใต้ดิน เขาเดินผ่านทางเดินหิน ผลักเปิดประตูไม้ และนั่งลงบนเก้าอี้ทรงกลมหลังโต๊ะในห้องลับใต้ดิน

มาเลย

มาตัดสินแพ้ชนะกันเลย!

ในชั่วพริบตานั้น หลี่ฉางโซ่วก็ตัดสินใจแน่วแน่ ความคิดของเขากระจ่างขึ้นและวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อไปอย่างเต็มกำลัง

วิกฤตในยามนี้ของเขาคือการที่ตัวตนของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลทักษิณกำลังจะถูกเปิดเผย

เขาไม่อาจสังหารอ๋าวอี่ได้โดยตรง หากเขาทำเช่นนั้น ย่อมจะทำให้เผ่ามังกรเดือดดาลและตอบโต้เขาอย่างบ้าคลั่งแน่นอน…

นอกจากนี้ ทูตเทวะของสำนักเทพทะเลทักษิณยังเป็นพ่อมด และปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมก็กำลังจัดการกับสำนักเทพทะเลทักษิณอยู่แล้ว…

บัดนี้ที่ด้านหน้าของหลี่ฉางโซ่ว ดูเหมือนจะมีเชือกแกว่งไปมา มีเพียงเชือกเส้นเดียวเท่านั้นที่ปลอดภัย หากเขายึดมันเอาไว้ เขาก็จะสามารถก้าวหน้าต่อไปบนวิถีเซียนได้

ส่วนเชือกเส้นอื่นๆ หากดึงมันลงมาแรงๆ…เขาก็คงจะถูกมีดและยาพิษมากมายจัดการ…

เชือกแกว่งไปมา แต่ในใจของหลี่ฉางโซ่วกลับรู้สึกสงบพร้อมด้วยรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

ราวกับว่าเขาได้จับเชือกหนึ่งในนั้นเอาไว้แล้ว…

“ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดไม่ออก จึงต้องล้มล้างและเริ่มต้นเปลี่ยนความคิดใหม่”

หลี่ฉางโซ่วเริ่มจะตระหนักได้ หลังจากจุดธูปแล้ว เขาก็รีบส่งกระแสจิตพุ่งออกไปที่ด้านนอกของเมืองอันติ้งบนชายฝั่งทะเลทักษิณอย่างรวดเร็ว และในขณะนั้นเขาก็ได้รวบรวมบุญจำนวนมากจากการสักการะบูชารูปปั้น

ในเวลาเดียวกัน นอกเมืองอันสุ่ย

บัดนี้อ๋าวอี่มองไปที่ใบหน้าของรูปปั้นเทพเจ้า และจำได้ว่าเป็น ‘พี่ฉางโซ่ว’ ของเขา แต่ขณะที่เขาตกใจ เขาก็มีความคิดสับสนมากมายเกิดขึ้น

เหตุใดพี่ฉางโซ่วถึงกลายเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลทักษิณ

นี่เป็น…แผนของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินหรือไม่

แต่เหตุใดถึงเป็นพี่ฉางโซ่วที่ยังไม่บรรลุเป็นเซียนเช่นนี้

แม้พี่ฉางโซ่วจะโดดเด่นยิ่ง ทั้งอ่อนโยน และสง่างาม สุภาพเรียบร้อย ทว่าในท้ายที่สุด…ทันใดนั้น อ๋าวอี่ก็ตกตะลึงอีกครั้ง

อ๋าวอี่รู้สึกว่า ดูเหมือนรูปปั้นจะมีชีวิตและจิตวิญญาณขึ้นมา

ที่ด้านล่าง เหล่าชายฉกรรจ์ร่างกำยำจากหมู่บ้านสงได้หารือกันแล้ว ทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดต่างก็จ้องมองไปที่ก้อนเมฆ และหมายมั่นจะปกป้องเกียรติของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล

ในขณะนั้น อ๋าวโหมวก็ตัดสินใจแล้ว เขาจะปล่อยให้ทหารเซียนมังกรวารีลงมือสังหารเพื่อสั่งสอนบทเรียนให้กับสำนักเทพทะเลทักษิณทันที

ทว่า จู่ๆ ก็มีเหตุไม่คาดคิดบางอย่างเกิดขึ้น!

บัดนั้นมีการสั่นสะเทือนเล็กน้อยจากพื้นดิน และ รูปปั้นหินสูงสองฉื่อก็โยกคลอนและค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้าโดยมีแสงเซียนเปล่งประกายล้อมรอบ และทันใดนั้น ที่หน้าผากของรูปปั้นก็มีแสงกะพริบเป็นประกายระยิบวิบวับออกมา!

พร้อมกับมีเสียงสวดมนต์แผ่วเบาดังมาจากรูปปั้นนั้น…

ปรากฏการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติโดยตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่อยู่ใต้ดิน และในช่วงเวลานั้น ผู้คนจากวังมังกรที่อยู่ด้านบนต่างก็มองหน้ากันและกันทันที

บัดนั้นเหล่าสานุศิษย์มนุษย์ทุกคนทั่วทั้งภูเขาล้วนโค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียงกัน นับตั้งแต่ผู้ครองตนสูงวัยซึ่งเป็นสตรีในวัยแปดสิบปีจนถึงเด็กสาวเยาว์วัยที่สุด พวกเขาทั้งหมดล้วนเผยท่าทีตื่นเต้นอย่างยิ่ง และในขณะที่อ๋าวอี่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกไป ฉับพลันนั้นก็มีข้อความเสียงดังเข้ามาในหูของเขาอย่างกะทันหัน…

“พี่อี่ ท่านคงรู้ว่าสถานการณ์ยากลำบากในยามนี้ของเผ่ามังกรมากมายเพียงใด”

และทันใดนั้น อ๋าวอี่ที่อยู่บนก้อนเมฆก็พลันตกตะลึง