บทที่ 189 เพลงประกอบ
เมื่อพวกเขาถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ซูอันพลันมองไปที่ซางหลิวอวี้อย่างเงียบ ๆ ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยว่า “เจ้าคงลำบากมากสินะกับการเป็นอาจารย์ ไม่งั้นนักศึกษาของเจ้าคงไม่กล้าบุกมาถึงหน้าประตูบ้านของเจ้าแล้วด่าเจ้าฉอด ๆ แบบนี้”
ซางหลิวอวี้กลอกตา “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าไม่ยอมปิดประตูให้ดีต่างหาก ไม่งั้นพวกเขาจะเข้ามาข้างในได้ยังไง?”
“อา ก็ข้ามัวแต่ตื่นเต้นจนลืมปิดมันไปซะสนิทเลย” ซูอันตอบอย่างเขินอาย
“ลืมมันไปเถอะ ให้ข้าลองเล่นท่วงทำนองของเจ้าอีกครั้งดีกว่าเพื่อดูว่ามันยังมีอะไรต้องแก้อีกไหม” ซางหลิวอวี้วางนิ้วบน ‘เครื่องดนตรี’ อีกครั้ง จากนั้นนางก็เริ่มบรรเลงอย่างไหลลื่น
เมื่อเพลงจบลง ซูอันจึงพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “แบบนี้เลยที่ข้ามีอยู่ในใจ! พี่สาวซาง เจ้าคืออัจฉริยะที่แท้จริง!”
“ข้าจะถือว่าเป็นอัจฉริยะได้อย่างไร? ผู้สร้างท่วงทำนองนี้ต่างหากถึงจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง” ซางหลิวอวี้หรี่ตาอย่างสงสัยในขณะที่มองซูอันและถามว่า “เจ้าไม่ใช่ผู้สร้างทำนองนี้จริงๆ เหรอ?”
“มันไม่ใช่ข้าจริงๆ ข้าบังเอิญได้ยินมันในความฝันเท่านั้น” ซูอันไม่ได้ไร้ยางอายถึงขนาดที่จะอ้างสิทธิ์ในเพลงเหล่านี้
“อืม ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะถ่อมตัวขนาดนี้” ซางหลิวอวี้เอ่ยขึ้นก่อนที่จะหยิบสิ่งที่คล้ายกับเปลือกหอยจากข้างๆ นางและส่งให้เขา “เอานี่ไป”
ซูอันกำลังจะแก้ไขความเข้าใจผิดของซางหลิวอวี้ แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่คล้ายเปลือกหอยยื่นมาให้เขา ชายหนุ่มจึงชะงักด้วยความงุนงงและถามว่า “มันคืออะไร?”
“สิ่งนี้คือเครื่องมือที่สามารถบันทึกเสียงได้ และเจ้ายังสามารถใช้มันเพื่อเล่นเสียงที่ถูกบันทึกลงไปออกมา… เอาเป็นว่าพอเจ้าเข้าไปในห้องเรียนเจ้าก็เปิดมันก็แล้วกัน” ซางหลิวอวี้ตอบกลับ
“นี่เจ้าไม่มากับข้าเหรอ ?” ซูอันถามกลับด้วยสีหน้าผิดหวัง
ใบหน้าของซางหลิวอวี้แดงขึ้น “ข้าจะไม่ทำให้ตัวเองอับอายต่อหน้าสาธารณะ!”
ซางหลิวอวี้มองว่าซูอันเป็นเหมือนตัวประหลาดที่สามารถสร้างเรื่องได้ทุกๆ ที่เขาไป ดังนั้นหากเธอติดตามเขาไปด้วย… เธอคงหนีไม่พ้นร่างแหที่ซูอันกำลังจะก่อขึ้นอีกแน่นอน
“เอ่อ… งั้นก็ได้” เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามคงไม่ไปกับตัวเองแน่ ซูอันจึงรับเปลือกหอยมาด้วยสีหน้าจนใจ และจากนั้นภายใต้การแนะนำของซางหลิวอวี้ ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจวิธีใช้งาน
นี่มันไม่ต่างอะไรกับเครื่องบันทึกเสียงในโลกก่อนหน้าของเขาเลยนี่นา?
เป็นอีกครั้งที่ซูอันรู้สึกทึ่งกับความมหัศจรรย์ของโลกแห่งการบ่มเพาะ แม้ว่าที่นี่จะด้อยพัฒนาทางเทคโนโลยี แต่ก็ได้รับการชดเชยด้วยความมหัศจรรย์ที่เกิดจากพลังชี่
“พี่สาวซาง เจ้ามีแว็กซ์แต่งทรงผมให้ข้ายืมไหม?” ถามซูอัน
“แว็กซ์แต่งทรงผม?” ซางหลิวอวี้ไม่เข้าใจสิ่งที่ซูอันขอ
“อะ…เอ่อ ข้าหมายถึงของที่สามารถเอามาทาผมเพื่อแต่งมันให้เข้าที่” ซูอันอธิบายคร่าวๆ
“อ้อ ถ้าเป็นของแบบนั้นข้าคิดว่าข้ามีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน” ซางหลิวอวี้ตอบกลับก่อนที่นางจะเดินหายเข้าไปในบ้านของนางซักพัก จากนั้นจึงกลับมาพร้อมกับขวดที่บรรจุของเหลวสีใสอยู่ “เจ้าจะทำทรงผมแบบไหน?”
“ข้ากำลังคิดที่จะทำแบบนี้…” ซูอันอธิบายพร้อมกับเสยผมของตัวเองแล้วรั้งมันด้วยมือของเขาเอาไว้ชั่วคราวเพื่อแสดงให้ซางหลิวอวี้ดู ทรงผมที่เขาอยากจะทำมันเป็นทรงเสยขึ้นให้ปลายผมไปอยู่ด้านหลังหัวแบบเรียบๆ คล้ายกับโคตรเซียนเกาจิ้ง!
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาพยายามจะใช้เจลที่ซางหลิวอวี้ ยื่นให้แต่งผมของตัวเอง นิ้วของเขากลับกลายเป็นงุ่มง่ามกว่าที่เขาคิด
ซางหลิวอวี้ยิ้มเมื่อเห็นภาพนี้และพูดว่า “ข้าจะช่วยเจ้า”
นางสั่งให้เขานั่งบนเก้าอี้ก่อนช่วยเขาจัดทรงผมของเขา
ความใกล้ชิดนี้ทำให้ซูอันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่มาจากนาง และทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ถ้าจำไม่ผิด นางน่าจะเพิ่งออกจากสระตอนที่เขามาถึง ดังนั้นนางจึงยังไม่น่าจะมีเวลาใส่น้ำหอมหรือแป้งนี่นา?
ไม่ได้ใส่น้ำหอมหรือทาแป้ง… งั้นแล้วนางมีกลิ่นกายที่หอมแบบนี้ได้ยังไง? หรือเป็นไปได้ไหมที่เครื่องสำอางที่นางใช้เป็นประจำมันได้ซึมเข้าไปในผิวหนังของนางอย่างถาวร?
ซางหลิวอวี้เริ่มต้นด้วยการจัดผมที่ด้านหลังศีรษะของเขาให้เรียบร้อย ก่อนจะเคลื่อนตัวไปด้านหน้าเพื่อจะจัดทรงผมด้านหน้าให้เข้าที่ แต่แล้วด้วยการที่นางจดจ่อกับทรงผมของซูอันมากเกินไปนางจึงก้มตัวลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันเผยให้ซูอันเห็นภาพที่เกือบทำให้เลือดกำเดากระฉูด!
“เอื้อก~”
ซูอันเตือนตัวเองให้สงบสติอารมณ์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างประหม่า
ซางหลิวอวี้ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายที่ผิดปกติของซูอันได้ในทันที มันทำให้นางมองอาการประหม่าของซูอันออกได้อย่างชัดเจน นางก้มศีรษะลงสำรวจร่างของตัวเองเพื่อดูว่ามีอะไรทำให้อีกฝ่ายเป็นแบบนี้ ซึ่งแค่เพียงอึดใจเดียวใบหน้าของนางก็พลันแดงก่ำอย่างรวดเร็ว นางรีบลุกขึ้นยืนและถอยหลังไปหลายก้าวในทันที
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งนางพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า “มันควรจะเสร็จแล้ว เจ้าไปที่ห้องเรียนของเจ้าได้แล้ว”
ซูอันรู้สึกประทับใจกับความสงบที่นางแสดงออกในตอนนี้เพราะถ้าหากเป็นเด็กสาวปกติทั่วไปป่านนี้คงโวยวายด่าเขาลั่นบ้านไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ซางหลิวอวี้ช่วยเหลือเขาเอาไว้หลายครั้งแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อยที่หาประโยชน์จากนางโดยไม่ได้ตั้งใจแบบนี้ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเพื่อลดความกระอักกระอ่วนระหว่างพวกเขา “ขอบคุณเจ้ามากสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าในวันนี้ ครั้งหน้าข้าจะเลี้ยงอาหารเจ้า”
เมื่อเห็นว่าซูอันจงใจไม่พูดถึงเรื่องเมื่อครู่ การแสดงออกของ ซางหลิวอวี้จึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “มีคนมากมายที่ต้องการเลี้ยงอาหารข้า อาจใช้เวลานานกว่าจะถึงตาเจ้า”
“อืม ข้าเข้าใจ” เขารู้ดีว่านางได้รับความนิยมอย่างมากในสถาบัน ดังนั้นคำพูดของนางเป็นความจริงแน่นอน “ถ้าถึงตาข้าเมื่อไหร่เจ้าก็บอกมาแล้วกัน”
หลังจากพูดจบ ซูอันจึงโบกมือลานางอย่างรวดเร็วก่อนจะมุ่งหน้าไปยังชั้นเรียนนภา เพราะนี่มันใกล้ถึงเวลาสำหรับชั้นเรียนคณิตศาสตร์แล้ว!
…
ต่างจากชั้นเรียนสีเหลือง ชั้นเรียนนภานั้นเงียบกว่ามาก ทั้งห้องเต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะที่เย่อหยิ่งและพยายามจะรักษาภาพลักษณ์โดยการทำตัวสงบเพื่อให้ตัวเองดูสูงส่งกว่าคนทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ในความสงบเงียบนี้สายตาของคนแทบทุกคนกลับเหล่มองไปที่คนๆ หนึ่งอยู่เรื่อยๆ ซึ่งคนที่ถูกเหลือบมองอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือฉู่ชูเหยียนที่งดงามราวกับเทพธิดาที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ ขณะนี้นางกำลังนั่งเงียบๆ ไม่สนใจใครทั้งนั้นราวกับว่านางตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก แต่นี่มันกลับยิ่งทำให้นางดูสูงส่งมากขึ้นไปอีกในสายตาคนอื่นๆ
สมกับเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง!
ทุกคนในห้องเรียนมีความคิดเดียวกัน …เป็นเรื่องยากที่จะเห็น ฉู่ชูเหยียนตัวเป็นๆ แม้แต่ในสถาบัน ฉะนั้นทุกครั้งที่พวกเขาได้เห็นนางมันจึงเหมือนเป็นโอกาสหายากที่พวกเขาต้องคว้าเอาไว้ให้ดี
ซือคุนจงใจเลือกที่นั่งแถวหลังห้องเรียน เพื่อที่เขาจะได้ชื่นชมรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของนางได้อย่างเต็มที่ ส่วนหยวนเหวินตงและคนอื่นๆ ก็นั่งล้อมรอบตัวเขา พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาอกเอาใจเขาอย่างสุดฤทธิ์ โดยซือคุนจะตอบสนองต่อคำพูดของคนอื่นๆ เป็นครั้งคราว แต่ความสนใจของเขาส่วนใหญ่จะอยู่แต่กับเทพธิดาที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าเขาเองก็สังเกตเห็นว่านักศึกษาคนอื่นๆ แอบมองฉู่ชูเหยียนอยู่เช่นกัน ซึ่งมันทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
ไอ้คนชั้นต่ำพวกนี้กล้าดียังไงถึงใช้สายตาแบบนั้นมองผู้หญิงของข้า!?
แต่เมื่อเขาคิดถึงมุมมองที่ว่า สิ่งนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้หญิงที่เขาหมายปองนั้นมีเสน่ห์เพียงใด ซึ่งมันก็ช่วยบรรเทาความโกรธของเขาให้ลดน้อยลงมาได้เป็นอย่างดี
มีผู้หญิงคนอื่นในชั้นเรียนที่มีข่าวลือว่างดงามเท่ากับฉู่ชูเหยียนด้วยนี่นา ดูเหมือนว่านางจะชื่อเพ่ยเหมียนหมานหรือเปล่า? ว่าแต่ทำไมข้าไม่เห็นนางเลย?
อ่า ใช่แล้ว ที่นี่มีสาวงามอีกคนที่ชื่อว่าเจิ้งตานด้วยไม่ใช่เหรอ?
สายตาของซือคุนกวาดไปรอบๆ และจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่ให้บรรยากาศแห่งความสง่างามแบบดั้งเดิม ท่าทางของนางดูอ่อนช้อยและอ่อนน้อมถ่อมตน นางเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบหญิงสาวสูงศักดิ์ที่น่าทะนุถนอม
แม้แต่คนที่มีมาตรฐานสูงอย่างซือคุนก็ไม่สามารถปฏิเสธเสน่ห์อันน่าหลงใหลของนางได้
ซ่างเชียนโชคดีจริงๆ