บทที่ 172 รับผิดชอบ

บทที่ 172 รับผิดชอบ

“ท่านพี่ ข้าไม่สามารถปล่อยให้ท่านและเสี่ยวอี้ต้องทนทุกข์อีกต่อไป!” กู้หนิงผิงกล่าว “ท่านรู้ไหมว่า พี่หนิงอันและข้าเสียใจแค่ไหนเมื่อท่านและเสี่ยวอี้ได้รับบาดเจ็บ ข้าหวังเพียงว่าจะสามารถติดปีกบินกลับบ้านได้ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกท่าน ข้าจะมีกะจิตกะใจไปสำนักศึกษาได้อย่างไร! ท่านพี่ ไม่ว่าท่านจะทุบตีหรือดุด่าข้า ท่านก็ทุบตีข้าให้ตายในวันนี้เถอะ ข้าไม่สามารถทิ้งท่านและเสี่ยวอี้ไปได้อีก”

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ไม่รู้จะหักล้างมันอย่างไร บางทีก่อนหน้านั้น นางยังยึดมั่นและผลักดันเพื่อส่งกู้หนิงผิงไปที่สำนักศึกษา แต่ในตอนนี้กู้หนิงผิงพูดอย่างมีเหตุผล และเมื่อกู้เสี่ยวหวานคิดถึงกู้เสี่ยวอี้ นางก็รู้สึกลังเล

นางยังเป็นเด็กอายุแปดขวบ แม้ว่านางจะมีจิตใจแบบผู้ใหญ่ แต่นางก็ไม่มีความแข็งแกร่งแบบผู้ใหญ่ นางต้องดูแลเด็กหญิงอายุสี่ขวบ จึงดูแลสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่มากนัก เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่กู้เสี่ยวอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส นางจะชดเชยมันได้อย่างไร?

กู้หนิงผิงเห็นว่าพี่สาวสูญเสียการตัดสินใจไปแล้ว ตรงกันข้าม ใบหน้าของเขาก็ผ่อนคลายเล็กน้อย

นางเป็นเด็กหญิงวัยแปดขวบที่ต้องดูแลมีเด็กผู้หญิงสี่ขวบ นี่มันเหลือกำลังมากเกินไป!

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีก นางก็ไม่กล้าคิดจริง ๆ

“ท่านพี่ ท่านกับเสี่ยวอี้เป็นสตรีทั้งคู่ และที่บ้านก็มีงานหนักและเหนื่อยมากมายที่ท่านทำไม่ได้เหมือนกัน มีข้าอยู่ที่บ้านจะดีกว่ามาก ข้าสามารถช่วยอะไรท่านได้มากมาย และข้ายังสามารถดูแลน้องสาวได้เพื่อที่นางจะได้ไม่อยู่คนเดียว” กู้หนิงผิงกล่าวต่อ เขาต้องการอยู่บ้านจริง ๆ เขาไม่ต้องการไปเรียน พี่สาวและน้องสาวคือชีวิตของเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง เขาก็อยากจะฆ่าตัวตายจริง ๆ

“แต่…” กู้เสี่ยวหวานผ่อนคลายลง สิ่งที่กู้หนิงผิงพูดนั้นสมเหตุสมผลจริง ๆ

“ท่านพี่ ครอบครัวของเรามีพี่หนิงอันเรียนก็พอแล้ว เขาเรียนเก่ง และยังมีพรสวรรค์ ส่วนข้าไม่ชอบเรียน แค่อ่านก็หงุดหงิดแล้ว อยู่บ้านดีกว่าจะได้ไม่เปลืองเงิน จะได้ปกป้องท่านกับน้องสาวด้วย ตราบเท่าที่ท่านพี่มีความสุข ข้าก็มีความสุข ถ้าท่านไม่มีความสุข การที่ข้าเรียนหนังสือมากมายจะไปมีประโยชน์อะไร?” กู้หนิงผิงพูดความจริง เขาอยากพูดมาเสมอ แต่ในครั้งนั้นเขาเห็นพี่สาวตั้งใจแน่วแน่ มันไม่ง่ายเลยสำหรับเขาที่จะหักล้างความตั้งใจของพี่สาว แต่ตอนนี้ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นและพี่สาวไม่สามารถควบคุมมันได้ ถึงอย่างไรหากมีเด็กชายเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนคงจะดีกว่านี้

“ท่านพี่ ข้าว่าให้หนิงผิงไปเรียนดีกว่า ข้าอยู่บ้าน ข้าเป็นลูกชายคนโต ข้าต้องการปกป้องพวกท่าน!” ท่าทีของกู้หนิงอันมั่นคง คำพูดของกู้หนิงอันได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตามคนที่มาจัดการ ควรเป็นกู้หนิงอัน ลูกชายคนโตของกู้ฉวนฟู่ เดิมทีบุคคลที่สนับสนุนครอบครัวควรเป็นเขา ไม่ใช่พี่สาวของเขา

“พี่ชาย เราไม่ได้ตกลงกันเมื่อครู่นี้หรือ?” กู้หนิงผิงกังวลเมื่อเห็นพี่ชายกลับคำพูด

“ท่านพี่ ให้หนิงผิงไปเรียนเถอะ” กู้หนิงอันรู้ดีถึงความรับผิดชอบบนบ่าของเขา เขาไม่สามารถปล่อยให้น้องชายเสียสละได้

“ท่านพี่…” กู้หนิงผิงเห็นท่าทีหนักแน่นของพี่ชาย จึงหันไปหาพี่สาวเพื่อเกลี้ยกล่อม “ท่านพี่ พี่หนิงอันสามารถเรียนได้ดี เขามีพรสวรรค์ ส่วนข้าเรียนไม่เข้าใจ!”

กู้เสี่ยวหวานมองดูน้องชายสองคนที่กำลังโต้เถียงกันเรื่องไปสำนักศึกษา และรู้สึกเจ็บปวดอีกครั้งในหัวใจของนาง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมครอบครัวที่ยากจนมีทางเลือกที่ยากมากเมื่อต้องตัดสินใจให้เด็กออกจากสำนักศึกษา ฝ่ามือและหลังมือเต็มไปด้วยเนื้อ*[1] เลือกใครก็ยาก!

“ท่านพี่ ไม่ว่าท่านจะพูดเช่นไร อย่างไรเสียข้าก็จะไม่ไปเรียน จะเสียเงินไปทำไม! ถ้าท่านอยากให้ข้าอ่านเขียนจริง ๆ ท่านก็รู้หนังสือไม่ใช่หรือ? ท่านก็สอนข้าสิ! และเมื่อพี่หนิงอันกลับบ้านก็มาสอนสิ่งที่อาจารย์สอนให้ข้าสิ! แบบนี้ก็เหลือแค่จ่ายค่าตอบแทนของคนเดียว ช่างวิเศษเหลือเกิน!” กู้หนิงผิงคิดว่าสิ่งนี้สามารถปกป้องพี่สาวและน้องสาวที่บ้านได้ แต่ยังทำให้เขารู้หนังสือและไม่ทำให้พี่สาวเศร้าอีกด้วย

กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าทัศนคติอันแน่วแน่ของกู้หนิงผิง นางก็รู้ว่าคราวนี้ไม่ว่าจะพูดอะไร เขาจะไม่มีวันกลับไปในเมืองอีก ในอนาคตดูเหมือนว่านางจะต้องสอนเขาให้อ่านเขียนเท่านั้น

ในท้ายที่สุด กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ตกลง เจ้าไม่ต้องไปแล้ว! อยู่บ้านเถอะ เวลาว่างข้าจะสอนให้เจ้าอ่านและเขียน ถ้าหนิงอันกลับมาก็ให้สอนสิ่งที่อาจารย์สอนแก่เจ้า!”

กู้หนิงอันอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ “ท่านพี่ ข้าไม่ไป…”

กู้เสี่ยวหวานขัดจังหวะเขา “น้องชายของเจ้าพูดถูก เจ้ามีพรสวรรค์ในการเรียนและรักการอ่าน ดังนั้นเจ้าควรเรียนหนังสือจะดีกว่า!”

“ท่านพี่…” ถึงแม้ว่ากู้หนิงอันจะยังต้องการเรียนหนังสืออยู่ แต่เมื่อเผชิญกับความรับผิดชอบต่อครอบครัวนี้ เขาไม่สามารถกำจัดความรับผิดชอบนั้นได้จริง ๆ เห็นได้ชัดว่าความรับผิดชอบนี้ควรอยู่บนบ่าของเขาเอง ทำไมพี่สาวและน้องชายของเขาจึงต้องแบกรับภาระให้เขาด้วย?

“เอาล่ะ แค่นี้ก่อนนะ วันนี้ข้าจะบอกเจ้าเรื่องบางอย่างที่จริงจัง เจ้าต้องตั้งใจเรียนและเรียนให้หนัก แบบนี้เจ้าจะไม่ทำให้หนิงผิงกับข้าผิดหวัง เจ้าเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว และอนาคตของครอบครัวเราจะอยู่บนบ่าของเจ้า เจ้าเข้าใจใช่ไหม?” คำพูดของกู้เสี่ยวหวานนั้นจริงจัง นางรู้ว่ากู้หนิงอันเป็นคนมีเหตุผล และนางก็พูดคำเหล่านี้เพื่อให้เขามั่นใจอีกครั้ง

ไม่สำคัญว่าเขาควรจะรับผิดชอบครอบครัวในตอนนี้หรือไม่ แต่ในอนาคต ความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมโทรมของครอบครัวกู้ทั้งหมดจะถูกแบกไว้บนบ่าของเขา

เมื่อเห็นว่าพี่สาวได้ตัดสินใจในที่สุด กู้หนิงผิงก็ตื่นเต้นมากและตบไหล่กู้หนิงอัน “ท่านพี่ ท่านตั้งใจเรียนนะ!”

กู้หนิงอันเห็นว่าพี่สาวของเขาแน่วแน่จึงต้องการจะพูด แต่ก็ติดอยู่ในลำคอ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของพี่สาว กำหมัดแน่นอย่างลับ ๆ และพูดอย่างหนักแน่นว่า “เอาล่ะ ท่านพี่ ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร!”

เมื่อทั้งสามคนเห็นด้วย กู้เสี่ยวหวานก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

เช้าตรู่ของวันต่อมา กู้หนิงอันก็เก็บของและจากไปก่อนรุ่งสาง ก่อนออกเดินทาง เขาบอกกู้หนิงผิงให้ดูแลพี่สาวและน้องสาวให้ดี กู้หนิงผิงตบหน้าอกและรับปาก จากนั้นจึงไปส่งกู้หนิงอันที่หน้าประตูหมู่บ้าน

ระหว่างทางกู้หนิงผิงก็พูดประโยคหนึ่งว่า “ท่านพี่ ท่านเรียนเก่ง ท่านต้องศึกษาให้หนักขึ้น ในอนาคตเมื่อท่านเหนือกว่าคนอื่นก็จะไม่มีใครกล้ารังแกเราอีกต่อไปแล้ว”

กู้หนิงอันพยักหน้า เขาได้คิดทบทวนเรื่องนี้ดูแล้ว พี่สาวทำเพื่อให้เขาได้มีทางเลือกเพิ่มมาในอนาคต ทำไมเขาถึงจะไม่ลองล่ะ!

หากอีกหนึ่งเส้นทางในอนาคตทำให้เขามีคุณสมบัติ มีความสามารถ และมีพลังในการปกป้องคนที่เขาต้องการปกป้องมากขึ้น

ตรงทางเข้าหมู่บ้าน สองพี่น้องลังเลที่จะแยกจากกันและกล่าวคำอย่างไตร่ตรองมากมาย จากนั้นจึงโบกมือลา

……………………………………………………………………………………………………………………….

*[1] ฝ่ามือและหลังมือเต็มไปด้วยเนื้อ หมายถึง มีความสำคัญเท่าเทียมกัน

สารจากผู้แปล

สู้ ๆ นะสองหนุ่ม ถึงเส้นทางต่างกันแต่จุดมุ่งหมายเดียวกันก็เป็นอันใช้ได้

ไหหม่า(海馬)