บทที่ 219 การแข่งขันเรือมังกร

พลิกชะตาหมอยา

ปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมาในสมองของเฟิ่งชิงหัว แต่กลับยังไม่กล้ามั่นใจ อย่างไรเสีย ความคิดนี้ก็ดูเหมือนจะใจกล้าไปเสียหน่อย

จ้านเป่ยเซียวมีท่าทีสงบนิ่ง แต่ที่จริงแล้วในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย และพูดออกมาว่า : “วันนี้ข้าเองก็ร่วมแข่งขันด้วย”

“ท่าน ?” เฟิ่งชิงหัวตกใจ : “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ ?”

ไม่รู้หรืออย่างไรว่าสภาพร่างกายของตนเองนั้นเป็นเช่นไร พายเรือมังกรต้องใช้พละกำลังมากขนาดไหน สภาพของเขาในตอนนี้ ดูเหมือนจะปกติ แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ ๆ จะล้มลงหรือไม่ หากตกลงไปในน้ำจะทำเช่นไร

จ้านเฟป่ยเซียวหันมองเฟิ่งชิงหัวอย่างไม่สบอารมณ์ : “ข้ารู้ตัวเองดี”

มุมปากของเฟิ่งชิงหัวกระตุก ครุ่นคิดอยู่สักพักก็พูดออกมาว่า : “เลือกคนทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยหรือยัง ?”

“อืม ทั้งหมด 20 คน รวมกับมือกลองอีกหนึ่งคนก็ 21 คน” จ้านเป่ยเซียวตอบ

“ข้าก็จะเข้าแข่งขันด้วย”

“ไม่ได้ !”

“ทำไม ?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว : “หรือห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าร่วมการแข่งขัน ? ดูเหมือนประเทศเทียนหลิงของท่านขะให้ความสำคัญกับชายหญิงไม่เท่าเทียมกันนะ ? บางครั้งก็ใช่ว่าผู้หญิงจะอ่อนแอกว่าผู้ชายเสียเมื่อไร

“ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าร่วมก็เรื่องหนึ่ง แต่เจ้าเป็นถึงพระชายาผู้สูงศักดิ์ จะไปโหวกเหวกโวยวายกับกลุ่มชายฉกรรจ์บนเรือได้อย่างไร คนอื่นจะมองอย่างไร นั่งดูอยู่นิ่ง ๆ บนเรือมังกรก็พอแล้ว ข้าจะคว้ารางวัลกลับมาให้เจ้าจงได้”

เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินว่ามีรางวัล อีกทั้งฟังแล้วก็น่าสนุกไม่น้อย เช่นนี้จะให้นั่งนิ่งอยู่ได้อย่างไร นางไม่อยากจะนั่งรวมกลุ่มกับหญิงสาวสักหน่อย ถึงตอนนั้นก็คงไม่พ้นเรื่องการวางอุบายใส่กัน ไม่สู้ไปร่วมสนุกด้วยดีกว่า อย่างน้อยก็รู้สึกมีส่วนร่วม

“หากพระชายาไม่อาจเข้าร่วมได้ เช่นนั้นหากข้าปลอมตัวเป็นชายก็คงไม่มี่ปัญหาแล้วใช่ไหม ? ข้าแต่งกายเป็นบุรุษได้ยอดเยี่ยมมาก รับรองว่าไม่มีใครมองออกอย่างแน่นอน” ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวเป็นประกาย

“ไม่ได้ ไม่มีเรื่องเช่นนี้” จ้านเป่ยเซียวปฏิเสธโดยไม่ลังเลสักนิด

เฟิ่งชิงหัวกอดแขนของจ้านเป่ยเซียวแล้วเขย่าไปมา แสดงท่าทีออดอ้อนเป็นพิเศษ : “ท่านอ๋อง ข้าอยู่บนฝั่งต้องอยู่ห่างจากท่านขนาดนั้น จะมองเห็นท่าทางอันห้าวหาญของท่านอย่างชัดเจนได้อย่างไร ? ท่านตัวคนเดียวข้าเองก็ไม่วางใจ อีกอย่าง ท่านไม่กลัวว่าข้าตัวคนเดียว อยู่ที่นั่นท่ามกลางฝูงจนจำนวนมาก จะไม่ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ ?”

จ้านเป่ยเซียวได้ยินเฟิ่งชิงหัวพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา จากนั้นจึงเม้มปากแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง : “ยืนตัวตรงแล้วค่อยว่ากัน เจ้าไม่มีกระดูกหรืออย่างไร ?”

เฟิงชิงหัวมุ่ยปาก แล้วยืนตัวตรงอย่างว่าง่าย หันไปกระพริบตาปริบ ๆ ใส่เฟิ่งชิงหัวอย่างสุดกำลัง ท่าทางเช่นนั้น ช่างดูเหมือนจิ้งจอกน้อยที่มีหางงอกขึ้นมาจากด้านหลัง ทั้งเจ้าเล่ห์และน่ารัก ทำให้รู้สึกจี๊กจี้หัวใจเสียจริง ๆ

จ้านเป่ยเซียวจงใจทำท่าทีเคร่งขรึมอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า : “เช่นนั้นเจ้าต้องคอยตามติดข้า ห้ามทำอะไรเองโดยเด็ดขาด”

“รับทราบ !” เฟิ่งชิงหัวรับปากอย่างเบิกบาน

จ้านเป่ยเซียวรีบสั่งให้คนไปนำชุดมาหนึ่งชุด เมื่อเฟิ่งชิงหัวเดินออกมาหลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็เกล้ามวยผมขึ้นด้วยเช่นกัน ดวงตาทั้งสองข้างดูมีพลัง เห็นแล้วให้ความรู้สึกห้าวหาญเป็นพิเศษ

ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไร จู่ ๆ ก็มีบางอย่างสวมเข้ามา บนศีรษะ บดบังดวงตาที่ดูเป็นประกายนั้นไปกว่าครึ่ง

“ห้ามถอดออกเด็ดขาด” จ้านเป่ยเซียวกล่าว

“ทำไม ? เช่นนี้ทำให้มองทางลำบากนะ” เฟิ่งชิงหัวไม่สบอารมณ์

“หากมีคนจำได้ขึ้นมาล่ะ ?” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างเย็นชา

“นั่นก็ไม่เห็นเป็นไร ข้าปลอมตัวได้นี่ ? ให้ข้าปลอมตัวเป็นหลิวหยิ่งดีไหม ?” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นอย่างมั่นใจ ทักษะการปลอมตัวของนาง ไม่มีใครมองออกได้แน่นอน

จ้านเป่ยเซียวหันมองเฟิ่งชิงหัวอย่างดุดัน : “อย่าให้ข้าเห็นใบหน้าอื่นไปปรากฏอยู่บนใบหน้าของเจ้าอีกเด็ดขาด ถึงตอนนั้นหากข้าพลาดทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บขึ้นมา เจ้าอย่าร้องโอดครวญก็แล้วกัน”

เฟิ่งชิงหัวเบะปาก : “ข้าบอกวิธีที่จะทำให้ท่านจำข้าได้นี่ เช่นนี้ท่านก็ไม่มีทางพลาดทำร้ายข้าได้แล้ว”

เดิมทีจ้านเป่ยเซียวเองก็ไม่ชอบที่เฟิ่งชิงหัวปลอมตัวตามอำเภอใจ ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรและไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้ ทำให้เข้ารู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย จึงจงใจแสร้งทำเป็นไม่สนใจ : “วิธีอะไร ?”

เฟิ่งชิงหัวหันไปกระดิกนิ้วเรียกจ้านเป่ยเซียวแล้วพูดว่า : “มา ก้มหน้าลง ข้าจะแอบบอกท่าน”

จ้านเป่ยเซียวเหมือนถูกสะกดจิต มือทั้งสองข้างไพล่อยู่ด้านหลัง แล้วค่อย ๆ ก้มหน้าหาหญิงสาว เมื่อเขยิบเข้ามาใกล้ ก็ได้กลิ่นหอมจาง ๆ นับว่าแปลกประหลาดมาก

เฟิ่งชิงหัวเห็นจ้านเป่ยเซียวยื่นหูเข้ามาใกล้ริมฝีปากของตนเอง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็เป่าลมออกไปอย่างแผ่วเบา และหัวเราะออกมาเสียงดัง : “ข้าไม่บอกท่านหรอก!”

ขณะที่พูดก็หัวเราะร่าออกมา แล้ววิ่งออกจากประตูใหญ่ไป ทิ้งให้จ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ที่เดิม อยู่ในท่าทางเช่นเดิม และใบหูก็ค่อย ๆ แดงก่ำ

เฟิ่งชิงหัวยืนรออยู่ที่ประตูจวนพักใหญ่ จากนั้นจึงหันมองสีของท้องฟ้า แล้วหันไปบ่นกับหลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า : “หลิวหยิ่ง ทำไมนายท่านของพวกเจ้าไม่รู้จักรักษาเวลาเลยนะ นี่ก็นานมากแล้วยังไม่ออกมาอีก จู่ ๆ คงไม่คิดอยากเข้าห้องน้ำตอนที่กำลังจะออกจากบ้านหรอกนะ ?”

หลิวหยิ่งหัวเราะร่าออกมา แต่ในใจกลับรู้สึกสงสัย

สิ่งที่นายท่านรับปากแล้วไม่เคยคืนคำ มีเพียงไม่มาเลย หรือหากมาก็ไม่มีทางมาสาย วันนี้ดูเหมือนพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกหรืออย่างไร ?

ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่นั้น ก็หันมองพระชายาที่กำลังยืนตื่นเต้นอยู่ข้าง ๆ และคิดในใจว่า ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับพระชายาเป็นแน่

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จ้านเป่ยเซียวก็รีบดินออกมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่ขึ้นรถม้า แต่กลับควบม้าออกมาหนึ่งตัว จากนั้นจึงยืนมือออกไปดึงเฟิ่งชิงหัวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน แล้วจึงควบม้าออกไป ทุกคนในจวนต่างก็รีบเร่งตามไปทันที

ส่วนเฟิ่งชิงหัวที่นั่งพิงหน้าอกของจ้านเป่ยเซียวอยู่นั้น กลับไม่รู้สึกแปลกใจ นางหันหน้ากลับไปหาคางของชายหนุ่ม แล้วพูดว่า : “พวกแล้วสายแล้วใช่หรือไม่ ?”

“ไม่หรอก” จ้ายเป่ยเซียพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

หมวกของเฟิ่งชิงหัวถูกลมพัดจนตวัดไปแขวนอยู่ด้านหลังนานแล้ว ยังดีที่มีเชือกเส้นเล็ก ๆ รัดอยู่ที่คอ จึงไปถูกลมพัดปลิวไป

“อ้อ” เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า ศีรษะกระทบกับคางของชายหนุ่มเป็นระยะ ๆ ทำให้รู้สึกจั๊กจี้

แต่เฟิ่งชิงหัวกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด ยังคงหันมองทางนั้นทีทางนี้ที

จ้านเป่ยเซียวถูกเส้นผมของเฟิ่งชิงหัวถูไถจนรู้สึกจั๊กจี้ จึงพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม : “อย่าขยับ”

“ข้าไม่ได้ขยับเสียหน่อย” เฟิ่งชิงหัวรู้สึกไม่พอใจ นางนั่งอยู่อย่างมั่นคงชัด ๆ

จ้านเป่ยเซียวไม่ได้สนใจนาง แต่กลับพาดคางลงบนมวยผมของเฟิ่งชิงหัว และกดทับศีรษะที่ขยับไปมาตามใจชอบของนางเอาไว้ เช่นนี้จึงขี่ม้าต่อได้อย่างสบายใจ

ทว่า ไม่ช้าเขาก็ต้องนึกเสียใจทีหลัง เพราะหลังจากที่เขายึดมวยผมของนางเอาไว้แล้วนั้น ตอนนี้ใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวก็หันมาตรงหน้าอกของเขาพอดี มีลมร้อนผ่านทะลุคอเสื้อเข้ามาที่หน้าอกเป็นระลอก ๆ ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่ว

“ยุ่งยากจริง ๆ” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างหงุดหงิด

“หืม ? ท่านว่าอะไรนะ ?” เฟิ่งชิงหัวได้ยินไม่ชัด คิดว่าจ้านเป่ยเซียวกำลังพูดอยู่กับตนเอง ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา ปรากฏว่าจ้านเป่ยเซียวก้มหน้าลงมาพอดี ทำให้ปากของนางจูบลงตรงคางของชายหนุ่มพอดี อีกทั้งยังกระทบเบา ๆ อีกด้วย

ทันใดนั้น ม้าที่แต่เดิมกำลังควบไปข้างหน้า ก็ถูกดึงบังเหียนให้หยุดลง ทั้งสองกระเด้งตัวขึ้นแล้วตกลงมาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง และเนื่อยด้วยแรงเฉื่อยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เฟิ่งชิงหัวซุกเข้าไปตรงหน้าอกของชายหนุ่มทันที

อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้น เสียงหายใจถี่ขึ้น มือที่เดิมทีจับบังเหียนเอาไว้อยู่ บัดนี้ได้โอบเอวของหญิงสาวเอาไว้จนแน่น

เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ถูกสูดลมหายใจไปเสียแล้ว