บทที่ 220 แม้แต่นิ้วเจ้าก็กัดทิ้ง

พลิกชะตาหมอยา

เฟิ่งชิงหัวมองดูใบหน้าของชายหนุ่มที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนเสียงอู้อี้ว่า : “อย่ากัดข้านะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

บรรยากาศที่มีเสน่ห์สลายไปทันที

จ้านเป่ยเซียวกัดฟันกรอด จ้องมองแววตาที่แจ่มใสคู่นั้นของนาง แล้วพูดอย่างดุดัน : “ข้าเข้ามาใกล้ข้านัก มิเช่นนั้น แม้แต่นิ้วเจ้าก็จะกัดทิ้งเสีย”

เฟิ่งชิงหัวตาเบิกโพลง เบะปาก พยักหน้า แต่ในใจกลับคิดว่า ตนเองขยับเขยื้อนตั้งแต่เมื่อไรกัน เป็นการหาข้ออ้างเพื่อจะใช้กำลังกับนางชัด ๆ

ม้าควบต่อไปด้านหน้า เฟิ่งชิงหัวเองก็ไม่กล้าหันมองซ้ายมองขวาอีก หากไม่ทันระวังเหยียบเข้าตรงจุดไหนของท่านอ๋องผู้นี้อีก ถึงตอนนั้นคงยากจะแก้ตัวได้ ตอนนี้รอบข้างล้วนมีคนอยู่ ให้คนอื่นเห็นท่าทางการขี่ม้าเช่นนี้ของชายฉกรรจ์สองคนก็นับว่ามากพอแล้ว หากแสดงพฤติกรรมที่ดูสนิทสนมเช่นนี้ออกมาอีก คงจะตลกไม่น้อย

เรื่องเกี่ยวกับประเทศเทียนหลิง เฟิ่งชิงหัวรู้มาไม่มากนัก รู้เพียงแค่ว่าตั้งอยู่บนที่ราบซีหวยที่มีน้ำและพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยผลิตผลนานาชนิด หลังจากบรรพบุรุษสถาปนาเทียนหลิงแล้ว ก็ย้ายรกรากไปอยู่ด้านในและตั้งซ่างจิงขึ้นเป็นเมืองหลวง แต่กลับไม่ลืมบุญคุณของแม่น้ำมาตุภูมิ จึงไม่ลังเลที่จะใช้งบประมาณจำนวนมากขยายเขตของแม่น้ำให้กว้างใหญ่ไปจนถึงซ่างจิง

ตรงที่ไกล ๆ เฟิ่งชิงหัวเห็นว่าตรงท่าเรือทั้งสองข้าง มีผ้าไหมสีแดงมัดเอาไว้จนเต็มไปหมด ตกแต่งได้อย่างสวยงามเป็นพิเศษ

ผิวน้ำเรียบสงบ ส่องแสงระยิบระยับ ด้านบนมีริบบิ้นหลายสีปลิวไสวอยู่เต็มไปหมด ทันทีที่สีสันหลากหลายมารวมกัน ทำให้ดูเหมือนดอกไม้หลากสีที่ผลิบาน

ด้านนอกสุดของฝั่งมีคนกำลังจัดวางร้านค้า มีการแสดงกายกรรมและการส่งเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้น

เรือหรูรำใหญ่สองชั้นจอดอยู่บนผิวน้ำ ลำเรือแกะสลักลายเกล็ดมังกรและเมฆ ตรงหัวเรือเป็นรูปหัวมังกรขนาดใหญ่ ทั่วทุกแห่งบนเรือมีการประดับประดาด้วยโคมไฟหลวง ดูแล้วหรูหราเป็นพิเศษ ยิ่งมองไกล ๆ ยิ่งรู้สึกมีอำนาจและน่าเกรงขาม

จุดที่อยู่ห่างจากเรือลำใหญ่ออกไปไม่ไกลนัก มีเรือที่ทั้งยาวและแคบจอดอยู่หลายลำ

บนฝั่งถูกแบ่งออกเป็นห้ากลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 20 คน แบ่งออกเป็นสีเหลือง สีขาว สีเขียว สีแดง และสีดำ ทั้งห้าสียืนอยู่ตรงจุดนั้น มีการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าว่องไวและทรงพลัง

“เร็วเข้า ปล่อยข้าลง” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้น ขณะที่พูด ก็แสดงท่าทีว่าจะกระโดดลงจากหลังม้า

จ้านเป่ยเซียวหันมองนางอย่างงุนงง

“ท่านจะขึ้นเรือมิใช่หรือ ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่ ท่านไปที่กลุ่มของท่านก่อน” ขณะที่พูดอยู่นั้น เฟิ่งชิงหัวก็เดินมุ่งหน้าไปยังกลุ่มที่สวมเสื้อสีดำทันที

จ้านเป่ยเซียวหันมองนาง ก็เห็นว่านางไม่มีความห่วงหาอาลัยเลยสักนิด แม้กระทั่งหน้าก็ไม่หันกลับมามอง

จ้านเป่ยเซียวโยนบังเหียนม้าให้องครักษ์ผู้หนึ่ง จากนั้นก็เดินขึ้นเรือมังกรไปทันที

บนเรือมังกรในตอนนี้ ฮ่องเต้เซวียนถงและฮองเฮากำลังยืนอยู่บนแผ่นไม้ตรงหัวมังกร ด้านข้างมิบรรดาโอรสและธิดาสวรรค์ยืนห้อมล้อมอยู่

เมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวเดินเข้ามา ฮ่องเต้เซวียนถงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษ : “เจ้าเจ็ด มาแล้วหรือ”

จ้านเป่ยเซียวทำความเคารพ จากนั้นจึงลุกขึ้น และได้ยินฮ่องเต้เซวียนถ่งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “กรมวังบอกว่าปีนี่เจ้าเข้าร่วมการแข่งขันเรือมังกร ข้าเองก็ยังไม่อยากเชื่อ ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นอีกเดี๋ยวข้าคงต้องจับตาดูแล้วว่าความสามารถของเจ้า ถดถอยลงบ้างหรือไม่”

ได้ยินดังนั้น จ้านถิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เลิกคิ้ว : “ที่แท้ท่านพี่เจ็ดก็เป็นคนเสนอตัวเองหรือนี่ ยากนักที่จะได้เห็นท่านพี่เจ็ดสง่างามเช่นนี้”

จ้านเป่ยเซียวไม่ได้สนใจเขา ไม่แม้แต่กระทั่งจายตามอง

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จ้านถิงเฟิงจะเปลี่ยนบทสนทนาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า : “ท่านพี่เจ็ดกับน้องสิบสองมีความขัดแย้งอะไรกันหรือ ตอนนี้น้องสิบสองยังพักรักษาตัวอยู่ในจวน ออกไปไหนไม่ได้ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องการแข่งขันเรือมังกรในครั้งนี้ ?”

คำพูดนี้พูดอย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ

ความหมายก็คือ เพื่อให้ได้เป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ จ้านเป่ยเซียวถึงขนาดจงใจทำร้ายคู่แข่งคนสำคัญให้ได้รับบาดเจ็บ

พี่น้องต่อสู้กันเอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก

ในที่สุดจ้านเป่ยเซียวก็เหลือบมองจ้านถิงเฟิง และพูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “ถ้าเช่นนั้นทำไมข้าถึงไม่ทำร้ายเจ้าให้บาดเจ็บ เจ้าคงรู้อยู่แก่ใขใช่ไหม ?”

จ้านถิงเฟิงได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยรอยยิ้มเริงร่า ก็หม่นหมองลงในทันที

เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าความหมายของจ้านเป่ยเซียวก็คือ คู่แข่งอย่างเจ้า ไม่คู่ควรแม้แต่จะให้ข้าเล่นลูกไม้สกปรกสักนิด

บรรดาข้าราชบริพาลและขุนนางใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่างก็ก้มหน้าก้มตา แสดงออกว่าตนเองไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

ตำพูดนี้หากออกมาจากปากท่านอ๋องพระองค์อื่น พวกเขาคงเดินเข้าไปกล่าวโทษแล้ว แต่คำพูดนี้มาจากปากของอ๋องเจ็ด ใครกล้าก็เข้าไปเถอะ แต่พวกเขาไม่กล้าหรอก

ฮ่องเต้เซวียนถ่งเอ่ยปากพูดว่า : “ทางด้านของสิบสอง ข้าเคยส่งคนไปดูอาการแล้ว ได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก เขาบังอาจล่วงเกินผู้เป็นพี่ชาย ก็ควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง”

ตอนนี้ ยิ่งไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เข้าข้างอ๋องสิบสอง ใครจะไปกล้าพูดอะไรอีก

ส่วนองค์หญิงเหออานนั้น ตั้งแต่ที่จ้านเป่ยเซียวเดินขึ้นมาบนเรือมังกร ก็เอาแต่หลบอยู่ท่ามกลางบรรดาพี่น้อง ไม่กล้าแม้จะทักทายจ้านเป่ยเซียว เกรงว่าหากเขาจำหน้าตนเองขึ้นมาได้ อาจคิดบัญชีย้อนหลังกับนาง

ฮองเฮามองดูลูกสาวที่ไร้อนาคตของตนเองผู้นี้แล้ว ก็หันมองลูกชายที่โกรธจนสีหน้าหมองคล้ำเพราะจ้านเป่ยเซียว ก็ไม่อาจข่มอารมณ์ไว้ได้ จึงยิ้มแล้วถามออกมาว่า : “ทำไมมีแค่อ๋องเจ็ดเพียงคนเดียวล่ะ พระชายาเจ็ดล่ะ ? ทำไมไม่เห็นนางมาด้วย เรื่องใหญ่อย่างการที่พระสวามีของตนเองจะลงแข่งขันเช่นนี้ นางกลับไม่มาอย่างนั้นหรือ ?”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าหมองหม่นลง และหันมองลูกชายของตนเอง

สายตาของจ้านเป่ยเซียวมองผ่านเรือมังกรลำใหญ่ไปยังชายฝั่ง เห็นภายในกลุ่ม มีคนที่รูปร่างเตี้ยกว่าคนอื่นอยู่คนหนึ่ง คนผู้นั้นที่ดูรูปร่างบอบบางเป็นพิเศษ ตอนนี้กำลังพูดคุยกับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสนอกสนใจ มีท่าทีที่แสดงออกว่ากำลังตื่นเต้นอย่างยิ่ง

จ้านเป่ยเซียวสีหน้าหมองคล้ำลงเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้ อยู่กับกลุ่มชายฉกรรจ์ยังสามารถพูดคุยได้อย่างสนุกสนานเช่นนี้เลยหรือ

เมื่อฮองเฮาเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ก็คิดว่าตนเองถามจี้ใจดำเข้า จึงสาวความต่อว่า : “ทะเลาะกับพระชายาเจ็ดแล้วอย่างนั้นหรือ ? แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ควรแยกแยะสถานการณ์ให้ชัดเจน เทศกาลแข่งขันเรือมังกรเป็นธรรมเนียมประเพณีของเทียนหลิงเรา ท่านอ๋องปล่อยให้นางละเลยต่อขนบธรรมเนียมเช่นนี้ได้อย่างไร”

จ้านเป่ยเซียวสีหน้าหมองคล้ำ คนของเขา เขาจะว่าอย่างไรก็ได้ แต่คนอื่น ไม่คู่ควร

จ้านเป่ยเซียวหันมองฮองเฮาด้วยสายตาเย็นชา : “มีกฎเกณฑ์ระบุเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยหรือว่า พระชายาจะต้องมาเข้าร่วมงานประเพณี ? สิบสองเองก็ไม่ได้มา แต่ฮองเฮากลับจงใจหาเรื่องพระชายาไม่ยอมปล่อย นี่คือมารดาของแผ่นดินที่ท่านเป็นอยู่หรือ ? กล่าวโทษโดยไม่ฟังเหตุผลเช่นนี้นะหรือ ?”

ฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็สีหน้าซีดเผือด และรู้สึกจุกอกทันที

จ้านถิงเฟิงพูดตำหนิขึ้น : “พี่เจ็ด ท่านแม่ทรงตรัสก็ด้วยความเป็นห่วง พระชายาของท่านไม่มาโดยไร้สาเหตุ ท่านแม่จึงทรงเอ่ยปากถามขึ้นลอย ๆ เท่านั้น”

“ถามขึ้นลอย ๆ ก็สามารถกล่าวโทษผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ ? ดูเหมือนฮองเฮาจะทรงวางท่าสูงส่งเกินไปหน่อยนะ ?”

“ถึงแม้ไม่มีกฎเกณฑ์ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่าพระชายาจะต้องมาเข้าร่วม แต่หากไม่เดินทางมาก็ควรจะแจ้งล่วงหน้าก่อนหรือไม่ ? พวกเราทั้งลำเรือต่างมาถึงแล้ว มีเพียงแค่พวกเจ้าสองสามีภรรยาเท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง หรือว่าไม่มีความละอายใจบ้างเลยหรือ ?”จ้านถิงเฟิงพูดขึ้นด้วยความโมโห

“ละอายใจหรือ ? ข้ามาสายอย่างนั้นหรือ ?” ขณะที่พูด จ้านเป่ยเซียวก็หันมองเจ้าหน้าที่กรมพิธีการที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

เจ้าหน้าที่กรมพิธีการรีบโค้งคำนับแล้วพูดขึ้นทันที : “ยังพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่ท่านอ๋องเสด็จมาถึงนั้นได้เวลาพอดี”

จ้านเป่ยเซียวหันมองจ้านถิงเฟิงอย่างดูถูก และพูดขึ้นทันทีว่า : “ส่วนเรื่องที่เจ้าถามว่าทำไมพระชายาของข้าถึงไม่มา นั่นเป็นเพราะข้าไม่อยากให้นางมา เหตุผลนี้ ใช้ได้ไหม ?”

จ้านถิงเฟิงถูกจ้านเป่ยเซียวพูดดักคอจนไม่อาจโต้กลับได้ ทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความโมโห

ฮ่องเต้เซวียนถ่งกลับหันมองลูกชายของตนเอง และแอบรู้สึกประหลาด แต่ไหนแต่ไรมา ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเผชิญหน้ากับเรื่องลำบากใจเช่นนี้ แต่ลูกชายของตนเองก็ไม่เคยคิดจะอธิบายมาก่อน ทำเพียงไม่สนใจมาโดยตลอด แต่วันนี้ ไม่เพียงแค่อธิบายเท่านั้น แต่ยังพูดจาคารมคมร้ายและทุกประโยคล้วนดุดันเป็นพิเศษ นี่เป็นเพราะอะไรกัน ?