บทที่ 159 วันพักผ่อนของผู้เล่น [4]

โรงแรมของเมืองไร้ชื่อสร้างขึ้นโดยแองโกร่าเพื่อรองรับผู้ลี้ภัยที่มาร์นี้พามา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผู้เล่นส่วนใหญ่ร่ำรวยพอที่จะซื้อบ้านตามจุดต่าง ๆ ของเมือง (แม้ว่าส่วนใหญ่จะสิ้นเนื้อประดาตัวอีกครั้งหลังจากมีระบบเสริมแกร่งไอเทมเข้ามาก็ตาม) แต่ธุรกิจโรงแรมก็ได้รับความนิยมลดลงมาก

เมืองไร้ชื่อไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทําให้ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากนัก

มูฟาซาจึงวางใจให้เด็ก ๆ อยู่ที่นั่นชั่วคราว

แม้ว่าเด็ก ๆ จะตกลงเข้าร่วมกับศาสนจักรแห่งเกมและกลายเป็นผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกม แต่การอุทิศศรัทธาให้กับเทพที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทําได้ด้วยวาจา

อย่างน้อย แม้ซิมบ้าจะอ้างว่าเขาศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมอย่างไรตอนนี้ มูฟาซาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาโกหก….

นาล่านอนหลับสนิทไปแล้วหลังจากดื่มยาของนักเล่นแร่แปรธาตุเข้าไป

มูฟาซาเองก็มีเรื่องต้องทํา หลังจากเขาพานาล่ามาส่งที่โรงแรม เขาก็เตือนเด็ก ๆ ว่าอย่าทําอะไรแปลก ๆ ก่อนออกไป

ซาซูตัดสินใจจะอยู่ที่โรงแรมเพื่อดูแลนาล่า แม้ซิมบ้าจะกังวลเรื่องของเธอเช่นกัน แต่เขาก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นรอบ ๆ และทําความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้

มันเป็นนิสัยที่เขาพัฒนาขึ้นเมื่อเขาถูกบีบคั้นให้ขโมยของเพื่อเอาชีวิตรอดในแลงคาสเตอร์ อันที่จริงมันก็คล้ายกับการเตรียมพร้อมของหัวขโมยที่จะตรวจสอบสภาพแวดล้อมเอาไว้เผื่อเวลามีปัญหาเกิดขึ้นจะได้หลบหนีได้ทัน

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากวิ่งวุ่นเรื่องที่นาล่าปวยมาตั้งแต่เช้า ซาซูและซิมบ้าก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยจนถึงตอนนี้ นอกจากอาหารมื้อค่ำแสนอร่อยของเมื่อวาน แต่จะให้อดอาหารต่อไปคงไม่ดีแน่ ซิมบ้าจึงตัดสินใจออกไปซื้ออาหารกลับโรงแรมในขณะที่เขาเดินสํารวจเมือง

มูฟาซาได้ทิ้ง ‘เหรียญเกม’ ไว้ที่โรงแรม และตามที่เขาพูดนั่นคือสกุลเงินที่ชาวเมืองส่วนใหญ่ใช้ซื้อขายกัน สิ่งปลูกสร้างและสิ่งอํานวยความสะดวกแปลก ๆ หลายแห่งในเมืองนี้ยอมรับเฉพาะเหรียญเกมเท่านั้น ในขณะที่เหรียญริออนและเหรียญทองแดงจะต้องแลกก่อนถึงจะสามารถใช้ในเมืองนี้ได้

แม้ซิมบ้าจะคิดว่ามันไม่ดีที่จะให้มูฟาซาช่วยเหลือเสมอไป แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถซื้ออาหารได้ด้วยมือเปล่า ซิมบ้าจึงยอมรับเงินของมูฟาซา และนําเหรียญบางส่วนติดตัวไปก่อนที่เขาจะออกจากโรงแรม

เด็ก ๆ เคยหิว เหนื่อย และกังวลมาก เมื่อมาถึงเมืองผ่านไลฟ์สโตนครั้งแรก พวกเขาจึงไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเมืองนี้นัก

ตอนนี้ซิมบ้าสบายใจแล้ว สิ่งต่าง ๆ ก็ดูแตกต่างไปจากเมื่อวาน

อย่างแรก ความสะอาดและความสวยงามของที่นี่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ต่างจากเมื่อวานนี้ ผู้คนบนท้องถนนต่างเดินกันเป็นกลุ่ม 5-6 คนและคุยกันอย่างกระตือรือร้นในสิ่งที่ซิมบ้าไม่เข้าใจขณะเดียวกันจากลักษณะการเดิน พวกเขาต่างก็มีเป้าหมายอย่างชัดเจน แตกต่างจากเด็กขุนนางชาวแลงคาสเตอร์ที่มักจะเดินเล่นไปรอบ ๆ พร้อมกับสมุนของพวกเขา

แน่นอนว่ามีหลายอย่างที่ซิมบ้าพบว่ามันยากที่จะเข้าใจ นอกเหนือจากความปกติเหล่านั้น

ตัวอย่างเช่น เขาเพิ่งเห็นคนรูปร่างผอมเพรียวพุ่งผ่านหน้าเขาไปราวกับสายลม ขณะที่คนร่างกํายํากล้ามแน่นกําลังถือดาบใหญ่เรืองแสงสีส้มวิ่งไล่…

ขณะที่ซิมบ้าตกตะลึงกับความรุนแรงในเวลากลางวันแสก ๆ และรู้สึกสับสนว่าทําไมไม่มีทหารหรือเจ้าหน้าที่ใด ๆ ออกมาจัดการเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักว่าคนอื่น ๆ บนถนนทําราวกับไม่เห็น 2 คนนั้น

ความจริงบางคนกําลังหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า ‘ดูเหมือนโกวต้านจะยั่วโมโหโจอีกแล้ว…’

‘เขาสมควรโดนแล้ว เขาเป็นคนปล่อยภาพที่ทําให้คนตาบอด’

‘ใจเย็น ๆ ทุกคนดันโพสต์นั้นจนติดท็อปเพื่อให้ผู้มาใหม่ได้รับบัฟกันถ้วนหน้า!’

มันเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้กําลังเห็นคนวิ่งไล่ฆ่ากัน แต่กําลังเมินเฉยเหมือนเห็นพี่น้องทะเลาะกันแทน

“เอ่อคือว่า…พวกเขาจะไม่เป็นอะไรเหรอ” ซิมบ้าถามคนที่เดินผ่านมา

“ไม่เป็นไร โจจะสงบลงหลังจากที่โกวต้านตาย” คนที่เดินผ่านมาตอบอย่างสบาย ๆ

นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน? เขาจะต้องการอะไรอีกหลังจากที่เหยื่อตาย หรือเขาจะตามเหยื่อลงไปในยมโลกเพื่อฆ่าเขาอีกครั้ง?

สมองของชาวเมืองพวกนี้เพี้ยนรึเปล่า? ทําไมพวกเขาดูไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายเลยล่ะ? แม้แต่คนเถื่อนในที่ราบสูงอันแห้งแล้งในตํานาน ที่ให้ความสําคัญกับเกียรติยศและการต่อสู้ มากกว่าชีวิตก็ยังไม่เพิกเฉยต่อความตายถึงขนาดนี้!

จากนั้นซิมบ้าก็เริ่มเชื่อมโยงมันเข้ากับทักษะการต่อสู้อันโดดเด่นของมูฟาซา และความเฉียบขาดในการกําจัดศัตรูของเขา

เขาเริ่มมีลางสังหรณ์อันหนาวสั่นว่า เป็นไปได้ไหมที่มูฟาซาแข็งแกร่งมากเพราะเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้?

‘อันตราย! ศาสนานี้อันตรายเกินไป!’

กระนั้นซิมบ้าก็ส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป ไม่ เขาไม่สามารถคิดไปเองว่าจริงๆ แล้วศาสนจักรแห่งเกมเป็นอย่างไรจากสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้เห็นในวันนี้ เขาต้องรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม

ในขณะเดียวกัน คนที่เดินผ่านไปมาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ว่าทําไมซิมบ้าถึงถามแบบนั้น แต่หลังจากเหลือบไปเห็นว่าซิมบ้าไม่ใช่ผู้เล่น เขาก็ส่งเสียงพึมพําเบา ๆ ที่พอฟังออกว่า ‘ชื่อเหลือง ไม่มีแถบ HP’ แล้วก็จากไปด้วยความผิดหวัง

หลังจากนั้นซิมบ้าก็เดินเล่นไปตามถนนเรื่อย ๆ เพื่อพบเจอสิ่งแปลก ๆ มากขึ้น

ตัวอย่างเช่น มีคนต่อคิวยาวเหยียดหน้าร้านตีเหล็ก เพื่อรอให้ช่างตีเหล็กคนแคระทุบอาวุธ

เป็นอีกครั้งที่ซิมบ้ารู้สึกงงงวย มันก็จริงที่คนแคระภูเขาหายาก (จริง ๆ ช่างตีเหล็กในเมืองเป็นคนแคระเทาที่ไม่เคยปรากฏตัวบนผิวดินมากนัก ไม่ใช่คนแคระภูเขา) แต่ไม่ใช่ว่าคนที่นี่หลงใหลเขาเกินไปหน่อยเหรอ?

“ฮิฮิฮิ ข้าได้ทําตามที่โพสต์เรื่องโชคลางบอกแล้ว ล้างหน้าให้สะอาด เปลือยกาย และเต้นรํารอบแสงเทียนตอนเที่ยงคืนโดยไม่ให้เทียนดับ การเสริมแกร่งวันนี้จะต้องได้ผล!”

“ไอเทมของเจ้าหายไปแล้ว”

“ม่ายยยย!”

ซิมบ้าเฝ้าดูผู้ศรัทธาคนนั้นกรีดร้อง และเอื้อมมือไปที่ชิ้นส่วนแตกหักบนทั่ง ในขณะที่ผู้เล่นที่อยู่ข้างหลังเขาลากเขาออกไป

‘อาวุธไม่ได้ถูกทําให้ร้อนด้วยไฟ และไม่ได้ถูกโรยด้วยผงที่ใช้เล่นแร่แปรธาตุ…ทุบมันบนทั่ง? คงจะแปลกถ้ามันไม่พัง!’ เด็กชายพึมพําอย่างช่วยไม่ได้

นอกเหนือจากคนพวกนี้แล้ว ซิมบ้ายังได้พบกับคนประหลาดที่สวมหัวปลาแองเกลอร์ (หัวปลาที่มีหลอดไฟ) หัวปลาโลมา และพวกคนประหลาดที่ถืออุปกรณ์แปลก ๆ ขณะที่พวกเขาตะโกนว่า “เยส! ข้าทําได้แล้ว!” ก่อนจะหลับตาลงอย่างมีความสุข และคุกเข่าต่อหน้าบ้านที่สร้างเสร็จไปครึ่งหนึ่ง แล้วภาวนาให้บ้านสร้างตัวเองต่อไป

ในที่สุด เขาก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจแก่นแท้ของเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ‘เป็นไปได้ไหม ที่ผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมทุกคนนั้นเป็นไอ้โง่!’