ตอนที่ 192 - หลีกหนีปัญหา

Silver Overlord

เมื่อถึงเวลาที่เอี้ยนลี่เฉียงและอีกสองคนออกมาจากสำนักงานบังคับใช้กฎหมายก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว
“ในช่วงนี้พวกเจ้าเก็บเนื้อเก็บตัวก่อน อย่าได้ปรากฏตัวในเมืองสุ่มสี่สุ่มห้า พวกเจ้าควรรู้ว่าการกระทำของพระเจ้าครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้ว่าการแคว้นมากแค่ไหน…”
สือฉางเฟิงเตือนทั้งสามคนเมื่อเขาออกจากสำนักงานบังคับใช้กฎหมายพร้อมกับพวกเขาด้วยกัน
เมื่อสือฉางเฟิงปรากฏตัวและด้วยสถานะอาจารย์พิเศษของสถาบันศิลปะการต่อสู้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้จงใจหาความยุ่งยากกับเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆ
พวกเขาถามคำถามมาตรฐานบางอย่างกับพวกเขาและนำคำให้การของพวกเขาภายใต้การดูแลของสือฉางเฟิงให้ทุกคนตรวจดูอีกครั้งพร้อมกับประทับลายนิ้วมือ
“ขอบคุณครับอาจารย์สือ…”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก สิ่งที่พวกเจ้าทำในวันนี้ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าทุกคนกล้าหาญและเฉลียวฉลาด ข้าภาคภูมิใจในตัวพวกเจ้าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเจ้าเอี้ยนลี่เฉียง!” สือฉางเฟิงจ้องมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงมัด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่ช่างสังเกตถึงขนาดนี้ แม้แต่ตัวข้าที่มีประสบการณ์มามากก็ยังอดรู้สึกชื่นชมเจ้าไม่ได้…”
เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มอย่างเขินอายและเกาหัว
“อาจารย์ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว ข้าก็แค่รู้สึกเกลียดชังพวกชาวชาตูที่ทำตัวหยิ่งผยองในดินแดนของเราเท่านั้น บางครั้งจึงสังเกตพวกเขามากกว่าคนปกติ
เมืองนี้เป็นของเรา มันเป็นของอาณาจักรฮั่นแม้แต่เราก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและลงจากม้าเมื่อเราเข้าไปในเมือง แต่ทำไมชาวชาตูเหล่านี้จึงมีสิทธิ์ในการขี่ม้าเข้าเมือง”
“ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ข้าเห็นพวกชาวชาตูรังแกชาวฮั่นเราเมื่อไปที่สำนักงานบังคับใช้กฎหมายเจ้าหน้าที่กลับไม่สามารถเอาผิดพวกเขาได้…” สือต้าเฟิงพูดแทรกจากด้านข้าง แสดงความขุ่นเคืองของเขา
“นี่มันเป็นคำสั่งที่มาจากราชสำนักพวกเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้.. ” เสิ่นเติ้งก็ถอนหายใจ
“ความอ่อนแอนั้นไร้ความหมาย เมื่อพวกเจ้ากลายเป็นนักรบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นพวกเจ้าถึงจะมีคุณสมบัติกล่าววาจา…” สือฉางเฟิงกล่าวกับทั้งสามอย่างลึกซึ้ง
เอี้ยนลี่เฉียงและอีกสองคนพยักหน้า
เนื่องจากตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว สือฉางเฟิงจึงคิดว่าอาจไม่สะดวกสำหรับพวกเขาสามคนที่จะกลับบ้านในเวลานี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะเช่าห้องสี่ห้องในโรงเตี๊ยมเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานบังคับใช้กฎหมาย
ชีวิตของหวังฮ่าวเฟย โม่เหล็งและเย่เซียวสิ้นสุดลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่สัญญาณอันตรายแรกเริ่มปรากฏขึ้น มันก็ดับไปหมดแล้ว
หินหนักที่กดทับหัวใจของเอี้ยนลี่เฉียงอยู่ได้หายไปในทันทีอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนอนหลับฝันดีในโรงเตี๊ยมแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นคนใหม่หลังจากที่นาฬิกาชีวภาพของเขาปลุกเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น
เขารู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นเต็มไปด้วยความสุขและความมั่นใจที่สามารถกลับมาควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้อีกครั้ง
หลังจากเมื่อวาน พ่อของเขา เพื่อนของเขา ครอบครัวของเขา และโชคชะตาของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงมีเหตุผลนับล้านที่จะเฉลิมฉลองและชื่นชมยินดี
ที่สำคัญกว่านั้น เขาสามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ด้วยความพยายาม การดิ้นรน และการวางแผนของเขาเอง
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าเขาเติบโตขึ้นอย่างมากหลังจากผ่านด่านนี้ไปได้ หลังจากที่เขาตื่นนอนและทำกิจวัตรยามเช้าท้องฟ้าก็สว่างสดใสพอดี
เมื่อทำกิจวัตรตอนเช้าเสร็จ เอี้ยนลี่เฉียงก็สัมผัสได้ว่าเขาใกล้จะผ่านขั้นตอนยืดเส้นเอ็นและขยายกระดูกแล้ว ในระหว่างขั้นตอนนี้เขาอาจจะสามารถสร้างตันเถียนและกลายเป็นนักรบที่แท้จริงในครั้งเดียวก็ได้

เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงแขวนผ้าเช็ดตัวไว้ในห้อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เขาเดินไปเปิดประตูห้องนอนและพบว่าสือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งยืนอยู่ข้างนอก
“ลี่เฉียง เป็นยังไงบ้าง เสร็จแล้ว?” สือต้าเฟิงหัวเราะและตบไหล่เขา
“ข้าเสร็จแล้วจะออกไปเดี๋ยวนี้!” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าว เขาก้าวออกไปและปิดประตูตามหลังเขา ”
“ไม่เลว เจ้านี่ดูดีจริงๆ!”
เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะ “เมื่อคืนข้านอนหลับสบายเกินไปหน่อย!”
“แต่เมื่อคืนข้านอนไม่หลับ ข้าเอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป เราค้นพบเพียงชายชาตูแต่ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะดำเนินไปถึงขนาดนั้น
มันเกี่ยวข้องไปถึงนายน้อยของผู้ว่าการแคว้น ข้าได้ยินมาว่าในสถาบันศิลปะการต่อสู้ของเรานั้นยังมีสหายของเขาอยู่เป็นจำนวนมาก คิดว่าคนพวกนั้นจะมาสร้างปัญหาให้เราหรือไม่…” เสิ่นเติ้งกล่าวด้วยความกังวล
“เย่เซียวนั้นเป็นขยะที่ต่ำช้ายิ่งกว่าเดรัจฉาน แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่อาจลบล้างความชั่วของเขาได้ เจ้าคิดว่ายังจะมีคนอ้างตัวว่าเป็นสหายของเขาอยู่หรือ” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวดูถูกเหยียดหยาม
“พี่เสิ่น เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ การที่เราสามารถเปิดโปงความชั่วร้ายของเขาเมื่อคืนบางทีอาจเป็นประสงค์ของสวรรค์ เขาทำชั่วมามากเกินไปดังนั้นเขาจึงได้รับสิ่งที่เขาสมควรได้รับแล้ว…”
“พูดได้ดี!” เสียงหนึ่งดังขึ้นสือฉางเฟิงปรากฏตัวจากทางเดินในบริเวณใกล้เคียง
“อาจารย์สือ!”
เอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆโค้งคำนับสือฉางเฟิงอย่างรวดเร็ว ในอดีตพวกเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกับสือฉางเฟิงจริงๆจึงยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร
อย่างไรก็ตามหลังจากเมื่อคืนนี้ พวกเขาตระหนักว่าสือฉางเฟิงเป็นคนที่อบอุ่นและพยายามปกป้องพวกเขาตลอดเวลา ดังนั้นความเคารพที่พวกเขามีต่อสือฉางเฟิงจึงล้วนแล้วแต่เป็นความจริงใจทั้งสิ้น
“ทุกคนกินข้าวเช้าหรือยัง” สือฉางเฟิงถาม
“ยังครับ!”
“ไปกันเถอะ ข้าจะเลี้ยงฉลองให้กับความสำเร็จของพวกเจ้า!”
“ฮิฮิฮิ ไม่มีทางที่เราจะปฏิเสธอยู่แล้ว!” เอี้ยนลี่เฉียงตอบด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสี่คนเลือกมุมที่เงียบสงบเล็กน้อยหลังจากนั้นก็สั่งซาลาเปาและบะหมี่คนละถ้วย
“เมื่อเช้าข้าไปที่สำนักงานบังคับกฎหมายและได้ข้อมูลบางอย่างจากผู้พเนจรทั้งสองที่พวกเจ้าเห็นเมื่อคืนนี้ พวกเขาบอกว่าพวกเขารู้ด้วยตัวเองว่าชายชาตูกำลังปลอมตัวและส่งสินค้าที่มีปัญหาบางอย่างซึ่งค่อนข้างน่าสงสัย
ดังนั้น พวกเขาจึงตามรถมาคันนั้นไปจนถึงร้านขายเสื้อผ้าภายในร้าน พวกเขาค้นพบอุโมงค์ใต้ดินแต่ไม่กล้าเข้าไปโดยประมาท ดังนั้นพวกเขาจึงส่งสัญญาณไปยังผู้พเนจรคนอื่นๆ…” สือฉางเฟิงพูดอย่างใจเย็น.
“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว…” สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งพยักหน้า
เอี้ยนลี่เฉียงเขียวซาลาเปาในมือด้วยท่าทางเฉยเมยเมื่อได้ยินข่าวและไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆเพิ่มเติม
คนพเนจรสองคนนั้นหยิ่งผยอง พวกเขาไม่ยอมรับว่าแอบตามพวกเขาไปเมื่อคืนนี้ แต่นั่นก็ดีเหมือนกันด้วยวิธีนี้มันจะง่ายกว่าสำหรับพวกเขาสามคนที่จะออกห่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“อาจารย์เหตุการณ์เมื่อคืนค่อนข้างรุนแรงเหตุไฉนผู้ว่าการแค้วนจึงไม่อยู่” เอี้ยนลี่เฉียงถาม
ดวงตาของสือฉางเฟิงจ้องไปที่เอี้ยนลี่เฉียงแล้วตอบว่า
“เมื่อวานนี้ผู้ว่าการออกไปที่เทศมณฑลพานซานเพื่อตรวจสอบงานชลประทานในฤดูหนาว หลังจากได้รับข่าวเขาก็รีบเดินทางกลับมา ในเวลานี้เขาเพิ่งมาถึงเมืองไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ…”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง.” เอี้ยนลี่เฉียงแอบคิดกับตัวเองว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ เขาเพิ่งกลับมาเมื่อเช้านี้ ดังนั้นเรื่องของเหตุการณ์เมื่อคืนเขาจึงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
สิ่งเดียวที่เย่เทียนเฉิงทำได้ในตอนนี้คือเช็ดตูดของเขาเอง ถึงกระนั้นเขาอาจจะไม่สามารถเช็ดทำความสะอาดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“หลังอาหารเช้า หลังจากนี้พวกเจ้าต้องฝึกฝนอยู่ในสถาบันศิลปะการต่อสู้ ไม่ว่าข้างนอกจะมีความวุ่นวายแค่ไหนพวกเจ้าก็อย่าได้ออกมา!”
“เข้าใจแล้ว!” สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งพยักหน้า ทั้งสองคนเข้าใจอย่างเป็นธรรมชาติว่าสือฉางเฟิงหมายถึงอะไรในเวลานี้คดีของงูจงอางยังไม่คลี่คลายและตอนนี้นายน้อยผู้ว่ายังลงมือสังหารหญิงสาวมากกว่า 10 คน
ไม่เพียงแค่นั้นเขายังสมรู้ร่วมคิดกับคนชาตู ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งคืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะลุกลามไปทั่วทั้งเมืองราวกับไฟป่า ผู้ว่าราชการแคว้นจะต้องหัวหมุนและไม่มีเวลามาจัดการพวกเขาอย่างแน่นอน
“อาจารย์ข้าต้องการกลับไปเยี่ยมบ้านสัก 2-3 วัน!” จู่ๆเอี้ยนลี่เฉียงก็เปลี่ยนเรื่อง
“ทำไม?”
“ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่พ่อของข้าถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเขาจะค่อยๆฟื้นตัวแล้วแต่สองสามวันมานี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นข้าจึงต้องการกลับบ้านไปดูเขาสักหน่อย!” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ามีความกตัญญูอีกทั้งช่วงนี้เหตุการณ์ในเมืองก็ดูจะเลวร้ายอยู่บ้างเจ้าก็กลับไปพักผ่อนสักระยะหนึ่ง!” สือฉางเฟิงพึมพำแล้วพยักหน้า “อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ที่บ้านเจ้าก็ต้องฝึกฝนอย่างหนัก!”
“ขอบคุณอาจารย์สือ!”