ตอนที่ 60-2 มีคนตาย

หลี่เสี่ยวหรันยิ้ม และกล่าวว่า:

“พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยที่งดงามจริง ๆ ”

จากนั้นทัวเป่าเจิ้นสั่งให้คนรับใช้เปิดกล่องผ้าไหมใบนั้น เพื่อเปิดเผยด้านในให้ทุกคนได้ชื่นชมทันที

เมื่อเปิดออกมา จึงเห็นว่ามีนกยูงสีทองงดงามอยู่ด้านใน ผ้าไหมสีทองบอบบางถูกนำมาใช้ในการประดิษฐ์ขนของมันซึ่งมีอาการสั่นไหวเบา ๆ ในสายลมราวกับเป็นขนนกจริง

ดวงตาของมันทำมาจากมรกตคู่หนึ่ง ที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวซึ่งส่องแสงอย่างลึกลับภายใต้แสงเทียน

หางของนกยูงถูกฝังด้วยอัญมณีหลากสีและมีค่า ซึ่งประกอบเข้าด้วยกันอย่างปราณีต จึงมีลักษณะเป็นสีรุ้งภายใต้แสงที่สาดส่องมากระทบ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก

ของขวัญดังกล่าวดูช่างล้ำค่ามากและเพียงพอสำหรับผู้อื่น ที่จะเห็นว่าองค์รัชทายาททรงให้ความสำคัญต่อเซียนจูผู้นี้

หรือมากกว่านั้นก็คือ เขาคงสังเกตเห็นว่า หลี่เว่ยหยางเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจมิใช่น้อย

ในขณะนี้หลี่เว่ยหยางยังคงยิ้มอย่างเป็นกลางบนใบหน้าของตนเอง และน้อมรับกล่องผ้าไหมนั้น

ทัวเป่าเจิ้นกำลังจ้องมองมายังนางด้วยความฉงน เมื่อเห็นรอยยิ้มที่คลุมเครือปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง

ราวกับว่า ได้เกิดความประทับใจบางอย่าง แต่มันกลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว

เพราะในขณะนั้น หลี่หมินเต๋อได้วิ่งเข้ามาในบริเวณงานพร้อมกับลมหายใจขาดห้วงด้วยความเหนื่อยหอบ

สายตาของเขาเคลื่อนย้ายไปมาจนกระทั่งพบร่างของหลี่เว่ยหยางผู้ซึ่งเป็นพี่สาว

จากนั้นเขาจึงรู้สึกผ่อนคลายและดีใจเป็นอย่างมาก เด็กน้อยรีบวิ่งเข้ามายืนข้างนางด้วยอาการตื่นเต้น

แต่เมื่อเขาเห็นองค์ชายสามยืนอยู่มิไกลจากเว่ยหยางมากนัก แววตาคู่งามจึงจ้องเขม็งไปยังบุรุษผู้นั้นราวกับว่าเขาเป็นดั่งเช่นศัตรู

ทัวเป่าเจิ้นสัมผัสได้ถึงการจ้องมองอย่างมิเป็นมิตรที่พุ่งตรงมายังร่างของเขา

และโดยสัญชาตญาณ เขาจึงหันกลับไปดูเด็กหนุ่มที่มีใบหน้างดงามด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

เขาคือ บุตรบุญธรรมที่สะใภ้สามแห่งบ้านตระกูลหลี่รับอุปการะเอาไว้

ทัวเป่าเจิ้นมิได้ใส่ใจเด็กชายผู้นี้มากนัก แต่มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองเด็กชายผู้นี้ถึงสองสามครั้งด้วยความสงสัย

นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ และมิธรรมดาแล้วดวงตาที่มีชีวิตชีวาของเด็กชายก็ดูเหมือนจะมีความเกลียดชังซ่อนอยู่

เกลียดชัง? เกลียดชังเขาเช่นนั้นหรือ? เขาจำได้ว่า ตนเองมิได้ทำผิดต่อเด็กผู้นี้แต่อย่างใด

การจ้องมองของหลี่หมินเต๋อนั้นค่อนข้างผิดปกติ มันทำให้เขาเกิดความกังวลใจโดยมิทราบสาเหตุ

เขาต้องการหลีกเลี่ยงการจ้องมองนั้น จึงหันกลับไปเพื่อกลับไปยังที่นั่งของตนเอง

ในเวลาต่อมา เขารู้สึกถึงการจ้องมองที่มิเป็นมิตร และในที่สุดสายตาคู่นั้นก็ได้เคลื่อนจากไป

หลี่เว่ยหยางเห็นเหงื่อบนหน้าผากของหลี่หมินเต๋อ จึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า:

“มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่? เหตุใดเจ้าจึงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเช่นนี้?”

มีลำแสงประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่หมินเต๋อ ขณะที่กล่าวว่า:

“มิมีอันใด เพียงแค่ข้าออกไปตามหาท่านที่สวนดอกไม้ แต่มิพบท่าน”

สายตาของหลี่เว่ยหยางจ้องมองไปที่เสื้อคลุมปักดิ้นทองของหลี่หมินเต๋ออย่างพิจารณา จึงสังเกตเห็นรอยเปื้อนบนเสื้อคลุมนั้น และเริ่มเกิดความกังวลขึ้นมาในใจเล็กน้อย:

“เจ้าล้มหรือ?”

หลี่หมินเต๋อยิ้มอย่างร่าเริง:

“ไม่เลย”

ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่า จะมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาของเด็กชายผู้นี้

หลี่เว่ยหยางรู้สึกงุนงงยิ่งขึ้น เพราะนางมิเคยเห็นหมินเต๋อแสดงออกเช่นนี้มาก่อน

บางทีเขาอาจจะได้ยินอันใดบางอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มิได้อธิบายว่า คราบเหล่านั้นมาจากที่ใด

“หมินเต๋อ” ผู้เป็นพี่สาวเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา

รูปปากของหลี่หมินเต๋อนั้นมีความงดงามเป็นพิเศษ ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย

เมื่อเขาแสดงสีหน้าบูดบึ้ง ดูเหมือนจะมีแสงที่โหดร้ายและชั่วร้ายคลุมเครือ:

“พี่สาม ก่อนหน้านี้ข้าได้พบกับผู้ที่มีท่าทางแปลก ๆ …”

แปลกมาก?

หลี่เว่ยหยางรู้สึกงุนงงกับคำกล่าวของเขา ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยถาม หลี่หมินเต๋อ

กลับเปลี่ยนเรื่องสนทนา

ดวงตาของเขาไร้เดียงสาและชัดเจนในขณะที่เขายื่นชามซุปลูกแพร์ให้นาง:

“อย่ากล่าวถึงเรื่องอื่นเลย ลองชิมสิ่งนี้ดูก่อน ข้าว่ารสชาติมันใช้ได้เลยทีเดียว”

หลี่เว่ยหยางจำได้ว่ามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้ใส่ใจที่จะซักถามเขาต่อ

ในขณะนั้นฮูหยินสามกำลังเหลือบมองมายังทิศทางของหลี่เว่ยหยาง และพวกนางได้แลกเปลี่ยนรอยยิ้ม ซึ่งสามารถเข้าใจเจตนาของกันและกันอย่างถ่องแท้

หลังจากยกน้ำชาขึ้นจิบแล้ว เสียงร้องโหยหวนที่น่ากลัวก็ดังขึ้นทำให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเกิดความรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ใบหน้าของหลี่เสี่ยวหรันดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาได้สั่งให้ใครบางคนรีบออกไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น

ขณะนี้เขาเห็นคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลหวังที่มีอำนาจทางทหารรีบร้อนวิ่งเข้ามา ขณะที่ใบหน้าของนางขาวซีดราวกับว่ากำลังจะเป็นลม

เมื่อฮูหยินใหญ่เห็นนางจึงขมวดคิ้วขึ้นทันที และร้องถามว่า:

“คุณหนูหวังมีเรื่องอันใดหรือ?”

คุณหนูหวังร้องเสียงหลง และมีอาการตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขณะที่ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด โดยที่มิสามารถกล่าวอันใดออกมาได้

เห็นดังนั้นแล้ว ฮูหยินหวังจึงลุกขึ้นยืนทันที

นางเป็นเพียงแม่เลี้ยง และการได้เห็นบุตรสาวซึ่งมิใช่เลือดเนื้อของตนเอง สร้างปัญหาในงานเลี้ยง จึงกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า:

“เจ้าเป็นถึงคุณหนูของตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่เจ้ากลับทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร รีบกลับออกไปเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้น คุณหนูหวังก็ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา:

“ท่านแม่ มิมีอันใดเกี่ยวข้องกับข้า แต่… แต่เมื่อครู่ข้าเดินออกไปข้างนอกเพื่อเดินเล่น แล้วข้าเห็น…

ข้าเห็นคนตาย เขาแขวนคอตายบนต้นไม้ !”