บทที่ 188 เมื่อคุณอ่านหนังสือ หนังสือก็จะอ่านคุณ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 188 : เมื่อคุณอ่านหนังสือ หนังสือก็จะอ่านคุณ

หลินเจี๋ยไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ ความขัดแย้งระหว่างจี้จือซู่กับเชอร์รี่นั้น มองจากสถานการณ์แล้วมันก็แทบเลี่ยงไม่ได้เลย…

แต่มันคงไม่สมเหตุสมผลถ้าจะเกิดความขัดแย้งใด ๆ ระหว่างทั้งสองจากความน่าจะเป็น

เมื่อเป็นเรื่องของธุรกิจ ไม่มีทั้งมิตรแท้และศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่ยั่งยืน

ตราบใดที่สองฝ่ายมีผลประโยชน์ขัดกัน ความขัดแย้งก็ย่อมเกิดเสมอ

คนหนึ่งเป็นลูกสาวของประธานบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ ในขณะที่อีกคนเป็นรองหัวหน้าสาขาย่อยจากตระกูลแชปแมนซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลผู้ก่อตั้งหอการค้าแอช

ในฐานะผู้ผูกขาดกิจกรรมการค้าแทบทุกอย่างในนอร์ซิน บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์จึงจับตามองกระแสการขนส่งและสินค้าต่าง ๆ เป็นพิเศษ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาจดจ่อกับการพัฒนาเมืองเขตล่างและการเติบโตของอุตสาหกรรมในละแวกละก็ บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์คงอยากจะสร้างฐานขนส่งของตัวเองแน่

นี่ก็เป็นการปล่อยโอกาสให้หอการค้าแอชด้วย ยิ่งกว่านั้น สามตระกูลที่อยู่เบื้องหลังการก่อตั้งหอการค้าแอชก็ยังเป็นตระกูลทรงอำนาจ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงตกอยู่ในเงื้อมมือของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ไม่ต่างจากสมาคมการค้าสเมลเตอร์ไปแล้ว

กว่าบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์จะเป็นไทจากเมืองเขตล่าง การขนส่งและช่องทางรับส่งสินค้าก็ถูกหอการค้าแอชควบคุมไปโดยสมบูรณ์แล้ว ขนาดที่ศักยภาพของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ยังไม่สามารถคว้าส่วนแบ่งผลประโยชน์ใด ๆ ได้จนต้องยอมแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย

ทว่าแม้พวกเขาจะยอมแพ้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้ดับความปรารถนาแต่อย่างใด

หอการค้าแอชและบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์มีความสัมพันธ์เชิงร่วมมือที่แอบแข่งขันกันอย่างลับ ๆ มีตัวอย่างการแข่งขันระหว่างทั้งสองให้เห็นอยู่หลายอย่าง และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นชัยชนะของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์

ในสถานการณ์ตอนนี้ มันพูดได้ว่าคอนกรีฟกำลังกำใบมีดถือดาบกลับหัวกลับหางอยู่และเป็นโอกาสอันดีสำหรับบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ที่จะโจมตีคู่แข่งอย่างหนักหน่วง

หลินเจี๋ยเรียนรู้หลักการส่วนใหญ่ของเรื่องนี้มาจากข่าวในโทรทัศน์ ในฐานะนักวิชาการที่ค้นคว้าเรื่องพื้นบ้านแล้ว เขาไม่ได้เข้าใจแนวคิดเชิงธุรกิจที่ซับซ้อนทั้งหมดนี้ดีนักหรอก

ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว มันก็ดูเหมือนว่าจี้จือซู่กับเชอร์รี่จะถูกลิขิตไว้ให้เกิดมาเพื่อดวลกันอยู่แล้ว

มองจากภายนอกแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าเชอร์รี่ซึ่งมีอำนาจอยู่จริงมีความได้เปรียบมากกว่าจี้จือซู่ที่อยู่ว่าง ๆ ทว่าหากเทียบสภาพภูมิหลังของทั้งคู่แล้ว จี้จือซู่ผู้เป็นทายาทของตระกูลจี้มีความได้เปรียบกว่าเห็น ๆ

หลินเจี๋ยรู้สึกว่าเรื่องนี้เขาก็อาจจะทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน…

สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือคลี่คลายเรื่องนี้ให้ได้เร็วที่สุดเพื่อที่จะลดความเสียหายที่หอการค้าแอชจะได้รับ

จี้ป๋อหนงก็อาจจะมาเยือนที่ร้านด้วยตนเองในสักวัน ก่อนหน้านี้จี้จือซู่เกริ่นไว้ว่าเธอเคยแนะนำพ่อของเธอให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการร่วมงานกับร้านหนังสือด้วยตนเอง

แม้หลินเจี๋ยจะรู้สึกขอบคุณในเจตนาอันดีของเธอ แต่เขาก็รู้สึกอยู่เสมอว่านี่ออกจะตลกไปหน่อยและไม่จำเป็นเลยสักนิด

การร่วมมือนั้นเป็นเรื่องรอง จุดมุ่งหมายหลักของเขาคือการเลี่ยงไม่ให้เสียลูกค้ารายใหญ่ไปต่างหาก

จี้จือซู่และเชอร์รี่ต่างเป็นผู้มีอุปการะคุณรายใหญ่ทั้งคู่ ไร้เดียงสา น่ารัก หลอกง่าย…เราหมายถึงหน้าตาดีต่างหาก

ถึงเราอาจจะไม่สามารถตบตามหาเศรษฐีผู้แยบยลอย่างจี้ป๋อหนงได้ แต่ลองหน่อยก็ดี ใครจะรู้ เราอาจจะทำสำเร็จก็ได้?

เราชนะใจจี้จือซู่ได้แล้ว และถ้าเราชนะใจพ่อของเธอได้ด้วย เราก็จะได้กำไรจากทั้งสองรุ่นเลย!

หลังจากอธิบายแผนของเขาให้โจเซฟฟังแล้ว หลินเจี๋ยก็ร่ายเรื่องที่เขาได้เรียนรู้มาจากมิคาเอล รวมไปถึงข้อมูลหลักที่เขายังไม่ได้บอก โบสถ์แห่งจุดสูงสุดเพิ่มขอบเขตการแจกจ่ายใช้สอยของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว และพิธีบวงสรวงระยะที่สองจะเริ่มขึ้นในอีกเจ็ดวัน

“นั่น” หลินเจี๋ยพูดเบา ๆ พลางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ “จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการลงมือของพวกคุณ ให้วินเซนต์เปิดโปงเรื่องพวกนี้ได้เลย ความผิดหวังของสาธารณชนจะเปลี่ยนเป็นความศรัทธาในศาสนาใหม่ไปเองในไม่ช้าครับ และเมื่อมันมีรากฐานที่มั่นคง ความกระสับกระส่ายของสังคมก็จะน้อยลงมากตามไป”

โจเซฟผู้เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้พยักหน้าอย่างหนักแน่น

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลสำคัญที่มีความสำคัญมากต่อเขา และยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าร่วมกับปฏิบัติการของหอพิธีกรรมต้องห้ามในฐานะนักสู้ นับตั้งแต่ที่เขาถอยจากแนวหน้าเมื่อสองปีก่อน

นี่จะเป็นศึกฉลองการกลับมาของเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน!

เมื่อเห็นความมุ่งมั่นในดวงตาของโจเซฟ สีหน้าของหลินเจี๋ยก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเขาก็แย้มยิ้ม “ดูเหมือนคุณจะแน่ใจในชัยชนะแล้วนะครับ งั้นผมก็ขอให้คุณประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มและได้สิ่งที่ดีที่สุดแล้วกัน ไม่ต้องปลุกระดมกันไปมากกว่านี้แล้ว…อย่าลืมเปลี่ยนไปใช้แขนที่ดีกว่านี้ด้วยนะครับ”

โจเซฟเหลือบมองข้ามบ่าว่าง ๆ ของตัวเองแล้วหัวเราะอารมณ์ดี “แน่นอนครับ!”

“ผมต้องขอบคุณสำหรับหนังสือเช่นกันนะครับ” เขารำพึง “ขาดมันไป ผมคงไม่ได้พลกำลังที่ผมต้องการมา”

หลินเจี๋ยยักไหล่แล้วได้เวลาตักซุปไก่ที่เคี่ยวรออยู่นาน “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจของคุณเองครับ เมื่อคุณอ่านหนังสือ หนังสือก็จะอ่านคุณ ความเปลี่ยนแปลงของคุณก็จะเปลี่ยนเนื้อหาที่คุณได้เห็นในหนังสือครับ”

“สิ่งที่คุณได้รับคือพลังที่คุณมีอยู่แล้วลึก ๆ ในตัวเอง ไม่ใช่อะไรอื่นครับ”

โจเซฟจมในภวังค์ครุ่นคิด ที่แท้ความแข็งแกร่งและสิ่งที่เราอัญเชิญได้มันเกี่ยวเนื่องกับความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของเรานี่เอง!

ยิ่งกว่านั้น จากที่เจ้าของร้านหลินพูด สิ่งอัญเชิญพวกนี้มีสติปัญญาและความคิดความอ่านของตัวเองด้วย

เมื่อมีความคิดนั้นในใจ เขาก็รู้สึกราวกับว่าจู่ ๆ หนังสือที่อยู่ในช่องเกราะหน้าอกของเขาก็ลืมตาขึ้นมาแล้วมองเขาอย่างมีความนัย

ไม่ใช่แค่นั้น พวกหนังสือที่เรียงกันแน่นบนชั้นหนังสือข้างหลังหลินเจี๋ยก็ดูจะ ‘ทอดสายตามอง’ มากันเหมือนกัน ซึ่งนั่นทำให้โจเซฟขนลุกซู่

หรือว่าพวกเขาก็เลือกการถูกอัญเชิญเหมือนที่คนเลือกสินค้า? พวกเขาจะมอบสิทธิ์ในการอัญเชิญและเข้าใจพวกเขาให้เราก็ต่อเมื่อเขาพอใจเท่านั้น

โจเซฟฝืนยิ้มเมื่อเขาจำได้ว่าการจัดประเภทเจ้าของร้านหลินนั้นไม่ใช่ทั้งดีและชั่ว ความรื่นเริงในใจของเขาจางลงไปเล็กน้อย…

เขาสลัดจากความดีใจเนื้อเต้นเมื่อครู่ก่อน แล้วถอนหายใจเมื่อนึกถึงไวลด์ที่ยังไม่รู้ตำแหน่ง…

เจ้าของร้านหลินอำพรางที่อยู่ของเจ้าฆาตกรสังหารหมู่นี่แล้วแอบช่วยเขาภายใต้รอยยิ้มนี้หรือเปล่า?

ในตอนนี้โจเซฟรู้สึกเหมือนกับว่าหลินเจี๋ยเป็นคนเลี้ยงแกะที่ทอดสายตามองเหล่าลูกแกะในโลกนี้ด้วยรอยยิ้ม เขาจะช่วยให้เหล่าลูกแกะสามารถยืนขึ้นได้อย่างนุ่มนวลเมื่อพวกมันล้มโดยไม่สนว่าแกะจะเป็นสีขาวหรือดำ ในขณะที่เขาดูมีเมตตา แต่ตัวตนเช่นนี้ที่จริงแล้วเฉยเมยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง

เขาบอกลาหลินเจี๋ยแล้วกลับไปยังคาเฟ่หนังสือที่อยู่ติดกันซึ่งการประชุมยังคงดำเนินต่ออย่างเต็มรูปแบบ

การประชุมส่วนตัวของสภาผู้อาวุโสน่าจะได้ข้อสรุปแล้ว หลังจากจัดการเรื่องของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้ บางทีนั่นอาจจะถึงเวลาแล้วที่หอพิธีกรรมต้องห้ามจะติดต่อกับร้านหนังสือตรง ๆ

ณ ที่แห่งหนึ่งไกลออกไป ชายหนุ่มผมทองรูปหล่อในชุดขาวเดินช้า ๆ ไปตามยอดเขาที่ดูเหมือนสันหลังมังกรแห่งหนึ่ง ในมือของเขามีไม้กางเขนสีแดงอยู่อันหนึ่ง

จู่ ๆ ก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้น ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้เปลี่ยนสีหน้าแล้วแบมือของเขาออก

แสงนั้นพุ่งเข้ามาในฝ่ามือแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา

สีหน้าขบขันปรากฏบนใบหน้าเมื่อความทรงจำที่หลอมรวมกับเขาปรากฏขึ้นอย่างสดใหม่ในใจ ฉากสุดท้ายของมันจบลงหลังจากหลินเจี๋ยออกจากร้านไป แล้ว ‘ศพ’ ที่กองอยู่ของมิคาเอลก็เปลี่ยนเป็นจุดแสงสลายหายไปในอากาศ

ในขณะเดียวกันก็มีภาพที่การ์กอยล์หินตัวหนึ่งฉวยโอกาสเลียเลือดเนื้อและกระดูกที่หลงเหลืออยู่บนผนังจนเกลี้ยง

“หลินเจี๋ย…ตัวตนไร้เทียมทานที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อน เขามาจากที่ไหนกันแน่นะ? แต่มันก็น่าสนใจจริง ๆ!”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างรู้แจ้ง “การ์กอยล์ตัวนี้ดูจะมีเครื่องหมายของออกัสทัสอยู่ บางทีเขาอาจจะรู้อะไรก็ได้”