บทที่ 212 ทั้งฝ่ามือและหลังมือต่างก็เป็นเนื้อ

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 212 ทั้งฝ่ามือและหลังมือต่างก็เป็นเนื้อ

โหลวจวินเหยาไม่แสดงสีหน้าอะไร เพียงแต่ยกยิ้มมุมปากเอ่ยคำนิ่งเท่านั้น “เจ้าพยายามทำอะไรตั้งมากมายเพื่อให้นางหันมาสนใจ แม้จะยิ่งทำให้นางเกลียดมากขึ้นก็ตามที ข้าเห็นแล้วก็ได้แต่คิดว่าเจ้านี่คงเป็นพวกจิตวิปริตหน้าไม่อายกระมัง”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” ชิงเทียนหลินนัยน์ตาทะมึนมืด สีหน้าอ่อนโยนพลันบิดเบี้ยว “ลองว่ามาอีกทีสิ! จะได้รู้กันว่าข้ากล้าสังหารเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้หรือไม่!?”

“หากสังหารข้าได้จริงแล้วจะรอมาจนถึงป่านนี้หรือ?” โหลวจวินเหยายิ้มเหยียด “หากไม่ใช้แผนชั่วตลบตะแลง มีหรือที่คนอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติเต็มไปด้วยความจองหอง เช่นคนสูงส่งที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใด นัยน์ตาสีม่วงน่าค้นหาถูกย้อมไปด้วยพลังปริศนาที่ไม่อาจหยุดยั้ง ลวงหลอกให้คนมองต้องจมลงสู่ห้วงทะเลสีม่วงนั่น

ชิงเทียนหลินจ้องมันได้เพียงสองพริบตาก็ต้องหลบสายตา พยายามระงับความรู้สึกไม่สบายใจที่เริ่มบังเกิดขึ้นในใจ

ดวงตาปีศาจจริง ๆ สามารถแผ่พลังชั่วร้ายที่ไม่อาจต้านทานได้เช่นนี้

แต่แล้วอย่างไรเล่า? ตอนนี้ก็ถูกพันธนาการไม่อาจขยับเขยื้อนได้แล้วไม่ใช่หรือไร?

คนผู้นั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา ชิงเทียนหลินไม่พบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเขาเลยแม้จะแอบสืบอยู่ลับ ๆ ก็ตาม แต่ในนัยน์ตาชั่วร้ายคู่นั้น เขากลับสัมผัสถึงบางอย่างได้ลาง ๆ

มันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่ามารทมิฬจากยุคโบราณ

แต่….. มันจะบังเอิญเช่นนี้เลยหรือ?

หากอีกฝ่ายเป็นสายเลือดเผ่ามารทมิฬจริง เขาก็ไม่อาจลงมือกับอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ

แม้ต่อไปเขาจะมีตำแหน่งสูงส่ง แต่ก็ยังมีคนที่ต้องคอยเว้นระยะห่างให้ความเคารพอยู่บ้าง ไม่อาจล่วงเกินได้โดยง่าย ยกตัวอย่างเช่นเผ่ามารทมิฬที่ถือครองอำนาจในยุคกาลก่อน ว่ากันว่าพวกเขาเป็นบรรพบุรุษและต้นกำเนิดแห่งขุมอำนาจมืดทั้งหลาย พวกคนที่เรียกตนเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะแห่งแสงสว่างในยุคนั้นยังไม่หาญกล้าชี้ปลายดาบเข้าใส่

ทว่ากาลเวลาหมุนเปลี่ยน ทุกสิ่งย่อมผกผัน จะมีใครรู้ว่าชนเผ่าทรงพลังเช่นนั้นจะยังมีตัวตนอยู่หรือไม่

“อึก…..”

เด็กหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดทั่วร่างทำเอาเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อเห็นว่าตนอยู่ในสภาพเช่นไร สีหน้าก็ประหลาดใจยิ่งนัก

เขาเหลือบมองรอบข้าง ก่อนจะเห็นคนคุ้นตาถูกแขวนห้อยอยู่กลางอากาศเช่นกัน พลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อว่า “ท่าน…..”

“ฟื้นแล้วหรือ?” โหลวจวินเหยายกยิ้ม “ดีแล้วที่ได้สติ”

“พวกเราอยู่ที่ไหนหรือ?”

ชิงเป่ยไม่รู้ว่าทำหน้าอย่างไร ทำไมตื่นมาแล้วมาอยู่ในที่ประหลาดตาเช่นนี้ได้? อีกทั้ง….. เหมือนเขาจะไม่อาจขยับร่างกายได้อีก?

แล้ว….. ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มคนนี้ฝีมือไร้เทียมทานงั้นหรือ? แล้วทำไมถึงถูกมาจับห้อยอยู่เหมือนเขาเช่นนี้ได้เล่า!?

โหลวจวินเหยาเห็นเด็กหนุ่มนัยน์ตาตื่นตกใจแล้วก็จนใจอยู่บ้าง “ก็อย่างที่เจ้าเห็น ตอนนี้พวกเราถูกจับตัวไว้ อยู่ภายใต้การควบคุมของศัตรู ตอนนี้เราอยู่ที่ชั้นบนสุดของปราการเมฆาคล้อยแล้ว”

“ท่านเก่งกาจสามารถขั้นนั้น มีคนล้มท่านได้ด้วยหรือ?”

“ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าเป็นบุรุษมีคุณธรรมและมีเกียรติ ถูกแผนชั่วของมันเล่นงานเข้าเช่นนี้ข้าย่อมตกเป็นรอง” โหลวจวินเหยาเอ่ยหน้าเคร่ง ก้มหน้าลงน้อย ๆ เหมือนจะเสียใจอยู่บ้าง ราวกับขุ่นใจที่ไม่อาจเอาชนะกลลวงชั่วร้ายได้เพราะจิตใจตนสูงส่งเกินไป

ชิงเป่ย “…..”

จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่อยากพูดนักหรอก แต่ชายหนุ่มมีหน้าตาหล่อเหลาอย่างชั่วร้ายเช่นนั้น ล่มเมืองล่มแคว้นได้ เอาจริง ๆ ตัวท่านเองก็ดูไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก

ชิงเทียนหลินเห็นทั้งสองยังมีอารมณ์มาคุยเล่นกันก็พ่นลมหายใจเหยียดหยันออกมา ดูจากเวลาที่ผ่านไปแล้ว เวลาสองเค่อเกือบจะหมดแล้วกระมัง หากชิงชิงยังไม่มา พวกเจ้าทั้งสองก็ร้องขอสวรรค์ไปแล้วกันว่าตกจากปราการนี่ไปแล้วขอให้ร่างยังอยู่ครบส่วน

เมื่อเทียบกับคนทั้งสองที่ถูกจับห้อยออกไปนอกปราการเมฆาคล้อยแล้ว ซีจ้านเฉินกลับถูกผูกติดอยู่กับเสาภายในโซ่เหล็กดำพันธนาการรอบกายแน่นจนมือแทบผิดรูป

ก่อนหน้านี้เขาพยายามดิ้นให้หลุด แต่พบว่าไร้ความหมาย โซ่เหล็กยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายเขาต้องยอมแพ้ไป

ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าดังมา ซีจ้านเฉินจึงค่ย ๆ เงยหน้าขึ้น ร่างในชุดขาวเดินมาตรงหน้าเขา ส่งแขนเรียวมาเชยคางเขาขึ้น บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

ชิงเทียนหลินยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนที่ริมฝีปาก ทว่านิ้วมือที่จับคางซีจ้านเฉินไว้กลับบีบแน่นราวกับอยากบีบคางอีกฝ่ายให้แตก “ออกไปอยู่ข้างนอกเสียนาน ลืมไปแล้วหรือ….. ว่าตนเองเป็นใคร?”

ซีจ้านเฉินนัยน์ตาทะมึนลง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

“ทั้งตัวมีแต่ความโสมราวกับดินตม ยังกล้าหมายจะเปรียบตนกับหมู่เมฆอีกหรือ?” ชิงเทียนหลินค่อย ๆ ก้มลงเอ่ยข้างหูชายหนุ่มช้า ๆ “ข้าสร้างเจ้าขึ้นมา….. เพื่อให้เจ้าหักหลังข้างั้นหรือ? หืม? ทาสรับใช้ของข้า”

“ขออภัยด้วย….. นายท่าน” ซีจ้านเฉินตอบเสียงแผ่ว “แต่ข้าคุมจิตใจตนเองไม่ได้จริง ๆ”

“หึ ๆ ในเมื่อเจ้าคุมมันไม่ได้ จะมีไว้ทำไมกันเล่าใจที่คิดคดทรยศนายตนเช่นนี้? คว้านมันออกมาให้คนเช่นเจ้ากินยังดีเสียกว่า” ชิงเทียนหลินเอ่ยเย้ยหยัน คำพูดทารุณโหดร้าย

แล้วก็ยกมือขึ้นมาเหนืออกอีกฝ่ายเข้าจริง ๆ

ซีจ้านเฉินหลับตาลง บนใบหน้าไร้ความกลัวความตระหนกแม้สักนิด ราวกับว่าตนเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว

เขาทนมามากพอแล้ว พอกันทีกับเลือดและการฆ่าสังหารทั้งหลาย ชีวิตที่ต้องอยู่เพื่อสังหารผู้อื่น ชะตาที่ถูกลิขิตโดยผู้อื่นเช่นนี้ ก่อนตายได้พบคนที่ทำให้จิตใจและจิตวิญญาณเขาสั่นกระเพื่อมได้เช่นนี้ ตายไปก็ไม่เสียใจแล้ว

—————————————–

ชิงอวี่และคนอื่น ๆ ในอุโมงค์มิติเดินทางมาถึงยอดปราการเมฆาคล้อยอย่างรวดเร็ว

แม้หมิงอีอีและเชียนอวิ๋นจะมีพลังจิตเข้มแข็งกว่าคนทั่วไป แต่พื้นฐานร่างกายอ่อนแอกว่า ดังนั้นเมื่อออกมาจากอุโมงค์มิติจึงหน้าซีดไปเล็กน้อย

มู่ไหลที่ท่องเที่ยวไปทั่วแดนตั้งแต่เด็กไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก ด้วยนางเคยประสบพบเจอสภาพแวดล้อมอันไม่เป็นมิตรและไม่คุ้นเคยมามาก ดังนั้นนางจึงปรับตัวได้ดีกว่า

ยิ่งขึ้นสูงหนทางก็ยิ่งแคบ เมื่อเปิดอุโมงค์มิติออกมา ชิงอวี่ก็แทบทรงตัวไม่อยู่ แต่ก็พยุงร่างตนไว้ได้ทันท่วงทีไม่ล้มไป

เบื้องหน้ามีตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่คล้ายกับจะถูกสร้างมานานแล้วตั้งแต่โบราณ รอบข้างไร้สิ่งอื่นใดอีก ทำให้ตำหนักแห่งนั้นดูกว้างขวางและว่างเปล่ายิ่งนัก

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ตำหนักแห่งนั้น พวกนางกลับพบว่ามีเพียงชิงอวี่ที่สามารถเดินเข้าไปด้านในได้ มู่ไหลกับหมิงอีอีแค่เดินเข้าไปใกล้มันก็ถูกค่ายกลผลักออกมา ชิงเทียนหลินคงตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น

ชิงอวี่หรี่ตาลงมองประเมินรอบกาย ก่อนจะจับจ้องอยู่ที่ร่างมนุษย์สองคนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ที่ดูท่าหากขยับเพียงนิดก็จะตกอยู่ในอันตรายได้

นางรีบสาวเท้าเดินเข้าไปทันที เห็นเงาร่างคุ้นตาทั้งสองอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

“โหลวจวินเหยา เสี่ยวเป่ย เป็นอะไรมากหรือไม่?” ชิงอวี่ถามเสียงเป็นกังวล

“ชิงอวี่ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นอะไร” ชิงเป่ยเอ่ยเสียงสงบนิ่งพร้อมกับยิ้มปลอบนาง

โหลวจวินเหยาหรี่ตาลง น้ำเสียงติดจะไม่พอใจอยู่บ้าง “เจ้ามาจริง ๆ หรือนี่”

ชิงอวี่เลิกคิ้วมองชายหนุ่ม “ท่านยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าอะไร? เยี่ยมไปเลย! เมื่อไหร่ที่ไป๋จือเยี่ยนกับคนอื่น ๆ มารู้ว่าท่านถูกหลอกจับมาเป็นตัวประกันเช่นนี้เข้า ข้าอยากจะรู้นักว่าท่านยังจะรักษาหน้าตาไว้ได้ไหม พวกเขายังจะอยู่ในโอวาทเชื่อฟังคำท่านหรือไม่!”

น่าโมโหนัก! นางคิดว่าให้เสี่ยวเป่ยมากับเขา เขาจะได้คอยดูแลเจ้าหนูให้ได้ แต่สุดท้ายกลับถูกศัตรูจับตัวเอาไว้เสียนี่

โหลวจวินเหยาได้ยินน้ำเสียงตำหนินางก็เลิกคิ้วไม่เอ่ยคำ เป็นชิงเป่ยที่ร้องปกป้องอีกฝ่ายออกมา “ชิงอวี่ ท่านจะโทษเขาไม่ได้นะ ข้าโชคดีได้เขาคอยปกป้องมาตลอดทาง หากไม่ใช่ว่าคนน่ารังเกียจคนนั้นใช้ท่านข่มขู่เขา มีหรือที่เขาจะตกหลุมพรางแล้วถูกจับตัวเอาไว้ได้”

“เจ้าหนู พูดมากไปแล้วนะ” โหลวจวินเหยาส่งสายตามองเด็กหนุ่ม

ชิงอวี่สับสนอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถามเสียงลังเลขึ้น “ใช้ข้า….. ข่มขู่เขาหรือ?”

หมายความว่าอย่างไร?

ชิงเป่ยไม่สนใจสายตาของชายหนุ่มที่ส่งสัญญาณว่าให้เขาเงียบปากไป ยังพูดต่อว่า “เจ้านั่นหลอกพวกเรา ลวงเราเข้าโลกมายา ในนั้นมีท่านที่กำลังจะถูกสังหารอยู่ แล้วเขาก็คิดว่าเป็นท่านจริง ๆ จึงใช้ร่างรับกระบวนท่าสังหารไว้แทนท่าน”

ชิงเป่ยไม่ได้เล่าเรื่องหลังจากนั้น ทว่าชิงอวี่ก็รู้ดีโดยที่เด็กหนุ่มไม่ต้องพูดอะไร

การจะเอาชนะการโจมตีด้วยภาพมายาเช่นนี้ได้ต้องเอาชนะความกลัวที่ถูกฉายไว้ในโลกมายา มีแต่ทำลายความกลัวนั้นทิ้งจึงจะหลุดจากโลกมายาได้

แต่โหลวจวินเหยาไม่กล้าทำเช่นนั้น เพราะคนคนนั้นคือชิงอวี่

เขาไม่เคยมีจุดอ่อนใดมาก่อน จนกระทั่งนางปรากฏตัวขึ้นในโลกของเขาโดยที่เขาไม่อาจต่อต้านนางได้เลย

หากเขาปล่อยให้นางในโลกมายาถูกสังหารไปก็คงหลุดจากโลกมายามาได้โดยง่าย แต่เขากลับทำไม่ได้

เพราะนั่นคือชิงอวี่ แม่นางน้อยที่เขาใส่ใจที่สุด เขาไม่มีทางปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตรายใด ๆ แม้จะรู้ว่ามันเป็นภาพมายาก็ตามที

ชิงอวี่หรี่ตาลง ภายในรู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง

ในตอนนั้นนางไม่อาจรู้ได้ว่าอารมณ์ที่พลุ่งพล่านภายในจิตใจนางคืออะไรกันแน่

ซาบซึ้งหรือ?

แต่มันซับซ้อนกว่าความซาบซึ้งนัก นางไม่เข้าใจมันเลยจริง ๆ

นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่มีใบหน้าเรียบเฉย ไม่รู้ว่าตนควรรู้สึกอย่างไร ทว่าในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ท่านมันโง่งม ครั้งหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก หากเอาชีวิตมาทิ้งกับเดิมพันงี่เง่าเช่นนี้ก็นับว่าน่าเสียดายนัก”

โหลวจวินเหยาใบหน้าจริงจัง “มันไม่ใช่การเดิมพัน”

เขาหยุดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสริม “หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีก ข้าก็จะเลือกทำแบบเดิม”

ชิงอวี่หัวเราะหึ “ท่านพูดราวกับว่าข้าเป็นคนที่สำคัญต่อท่านมาก”

“อืม สำคัญมาก” เขาตอบกลับนางทันใด

ชิงเป่ยเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันดูแปลก ๆ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคนทั้งคู่….. เหมือนจะกำลังเกี้ยวพากันอยู่เลยเล่า?

เขาอาจจะคิดไปเองก็ได้กระมัง

แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือต้องพาพวกเขาออกจากจากขอบปราการเสียก่อน ไม่รู้ว่าชิงเทียนหลินใช้วิชาอะไรถึงกักพวกเขาไว้เช่นนั้นได้ ทำให้พวกเขาไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้

“ท่านขยับได้บ้างหรือไม่?” ชิงอวี่หันมาถามโหลวจวินเหยา “คงจะเป็นวิชาพันธนาการสักอย่าง ท่านพอจะทำลายมันได้ไหม?”

โหลวจวินเหยายิ้มพลางส่ายหน้า “เขาสลักวิชาเชิดหุ่นใส่ร่างข้า ข้าจึงทำลายวิชาไม่ได้”

ตัวกลางของวิชาเชิดหุ่นคือเลือดของผู้ใช้วิชา ชิงอวี่จึงมองดูร่างกายเขา พบสิ่งที่ต้องการ เห็นเป็นรูเล็ก ๆ หลายรูบนชุดคลุมหรูหรา เนื้อผ้าตรงจุดนั้นสีเข้มขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังเห็นเลือดแห้งที่หลังมือเขาด้วย

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว กำลังจะลงมือช่วยคนทั้งสอง พลันร่างของทั้งสองคนที่ลอยอยู่กลับแยกออกจากกันไกล ก่อนจะร่วงลงไปในพริบตา

ด้วยความเร็วขนาดนั้น อีกทั้งยังถูกแยกห่างกันไกล ชิงอวี่สามารถเลือกช่วยได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น ไม่อาจแบ่งความสนใจไปให้คนทั้งสองในเวลาเดียวกันได้

ชิงเทียนหลินให้เวลานางเพียงสองเค่อ คงไม่คิดจะปล่อยให้นางรีบรุดมาถึงแล้วช่วยทั้งสองคนได้ทันเวลาเป็นแน่ แต่หมายจะให้นางเลือกช่วยระหว่างสองคนต่างหาก

เขาบีบให้นางต้องเลือก ดังนั้นนางจึงเลือกได้เพียงหนึ่งคน ส่วนอีกคนก็จะร่วงลงสู่เบื้องล่างโดยไร้การป้องกันใด ผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียวคือความตายเท่านั้น

เชิงอรรถ

ทั้งฝ่ามือและหลังมือต่างก็เป็นเนื้อ เป็นสำนวน มีความหมายว่า ไม่อาจเลือกระหว่างสองสิ่งได้เพราะเป็นสิ่งสำคัญทั้งคู่