บทที่ 211 เล่นลวงตาย

เทียบกับอีกทางหนึ่งที่เจอแต่ภัยต่าง ๆ นานา แล้ว ชิงอวี่กับคนอีกฝั่งนั้นราบรื่นกว่ามาก อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามพวกนางก็น่าจะเดินถึงยอดแล้ว

“ไม่รู้ว่าทางท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” หมิงอีอีกับชิงอวี่เดินข้างกัน อีกฝ่ายก็พลันเอ่ยขึ้นมา

ชิงอวี่เลิกคิ้วมองนาง “เป็นอะไรไปหรือ?”

“ข้าสังหรณ์ไม่ดีเลย” ใบหน้างามของหมิงอีอีขมวดคิ้ว “ตามหลักแล้ว ทางขึ้นทั้งสองฝั่งของปราการเมฆาคล้อยก็ควรจะเหมือนกัน อันตรายและกับดักต่าง ๆ ที่วางไว้ควรจะไม่ต่างกันมาก แต่ดูฝั่งพวกเราไม่ราบรื่นไปหน่อยหรือ? เทียบความเร็วและความสงบสุขของฝั่งเราแล้ว รู้สึกยังกับพวกสิ่งอันตรายทั้งหลายจะเบนไปทางฝั่งโน้นเสียมากกว่านะ?”

“ที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล” ชิงอวี่พยักหน้า

นางหรี่ตาลงครุ่นคิด จากนั้นพลิกฝ่ามือดู ลูกแก้วสื่อสารสีม่วงพลันปรากฏ เมื่อลองใส่พลังวิญญาณลงไปกลับไร้การตอบกลับอยู่นาน

ชิงอวี่ประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เรื่องพวกนี้ไม่ควรเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่?

เขาบอกไว้เองว่าหากพบอันตรายอะไรให้ติดต่อไป ไม่มีทางที่เขาจะขาดการติดต่อไปก่อนเองแน่ มันเกิดอะไรขึ้นกัน?

“โหลวจวินเหยา” นางลองใส่พลังวิญญาณเข้าไปอีกครั้ง เรียกชื่อคนอีกฝั่งดู แต่ก็ยังไร้ผล

ใจนางเริ่มไม่สงบ หรือทางฝั่งนั้นจะเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ?

แต่เขาก็เป็นคนจากแดนเมฆาสวรรค์ จะมีอะไรในดินแดนต้อยแห่งนี้มากล้ำกรายเขาได้เล่า? เว้นเสียแต่…..

นางยังคิดไม่ทันจบ ลูกแก้วในมือก็เต้นตุบ ๆ อยู่ในมือ ภายในมีสีแดงคล้ำแผ่ออกมา

“วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายอยู่ที่นี่”

น้ำเสียงที่นางไม่มีวันลืมพลันดังเข้าหู นางเบิกตากว้างทันที

กลิ่นอายชั่วร้ายถึงกับแผ่ออกมาจากตัวลูกแก้วได้

ยามได้ยินเสียงนั้น คนอื่น ๆ นอกจากชิงอวี่ก็ตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด หมิงอีอีเอ่ยถามเสียงเป็นกังวลทันที “ใครกัน? ทางฝั่งพวกบุรุษเกิดเรื่องขึ้นจริงหรือ!?”

ชิงอวี่กำลูกแก้วไว้แน่น น้ำเสียงเยียบเย็นพลันเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ชิงเทียนหลิน เจ้าคิดจะทำอะไร!?”

แม้นางจะไม่เห็นอีกฝั่ง แต่ก็รู้ว่าคนคนนั้นต้องนั่งดูเหตุการณ์อยู่เบื้องหลังเป็นแน่ รับรู้ทุกย่าวก้าวของนาง

เป็นไปดังคาด พริบตาที่นางลั่นวาจา น้ำเสียงชายหนุ่มก็ดังออกมาจากลูกแก้ว แทนที่จะเป็นเสียงชั่วร้ายเช่นคราก่อน กลับเป็นน้ำเสียงเสียงอ่อนโยนราวกับกระซิบให้หญิงอันเป็นที่รัก “คิดจะครอบครองเจ้าอย่างไรเล่า…. ชิงชิง”

ชิงอวี่สีหน้าทะมึนมืด ดวงหน้างามราวกับห่อหุ้มไว้ด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง “เจ้าทำอะไรพวกเขา?”

“พวกเขา? ที่ชิงชิงว่า….. ‘พวกเขา’ น่ะหมายถึงใครหรือ?” น้ำเสียงเขาประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เหมือนจะไม่เข้าใจที่นางถาม

“อย่ามาทำไขสือกับข้า ทำไมของของเขาถึงตกไปอยู่ในมือเจ้าได้?!”

“หึ เจ้าปีศาจตาม่วงนั่นน่ะหรือ? จะว่าไป ตาเจ้านั่นนี่สวยจริง ๆ เลยนะว่าไหม? เหมือนกับหินสวย ๆ ก็มิปาน หากควักออกมาทำเป็นของตกแต่งคงจะล้ำค่านัก…..”

“เจ้าบ้า! ห้ามแตะต้องเขานะ!” ชิงอวี่สูญเสียความเยือกเย็นไป “หากเจ้ากล้าทำอะไรเขา ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่!”

“โอ้? งั้นหากลงมือกับคนพวกนี้ก็คงได้สินะ?”

พูดจบ สีแดงคล้ำในลูกแก้วก็จางลง เผยให้เห็นภาพชิงเป่ยขึ้นมา ใบหน้าเขาขาวซีด มุมปากมีรอยเลือด

จากนั้นภาพในลูกแก้วก็เปลี่ยนเป็นซีจ้านเฉิน ร่างเขาถูกโซ่จากหมอกดำตรวนไว้กับแผ่นหิน ยิ่งดิ้นรนโซ่ตรวนก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น เขากระอักเลือดออกมาเล็กน้อย

ยังมีศิษย์ที่มาเข้าร่วมงานสานสัมพันธ์คนอื่น ๆ อีก พวกเขาทั้งตัวมีแต่บาดแผล สภาพดูไม่ได้ ราวกับเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย

ชิงอวี่กำมือแน่นจนมือไร้สีเลือด “เจ้าทำร้ายคนไปมากมาย ไม่คิดกลัวบทลงทัณฑ์สวรรค์บ้างหรือไร?”

“บทลงทัณฑ์สวรรค์?” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “มันก็แค่คำลวงคน ชิงชิงเชื่อเรื่องเหล่านั้น ช่างน่ารักเสียจริง หากมันมีอยู่จริง เช่นนั้นข้าที่บาปหนาก็คงตายไปนับครั้งไม่ถ้วนได้แล้วกระมัง”

“ชิงชิง ยังมีเจ้าเด็กนี่อีกคนหนึ่ง เขาเป็นน้องชายเจ้าในชาตินี้หรือ? ได้ยินว่าเจ้าดูแลเขาเสียยิ่งกว่าอะไร กับเจ้าคนตาม่วงนั่นก็ดูเจ้าจะสนิทสนมกันดีไม่น้อยกระมัง?”

“เรามาเล่นอะไรกันหน่อยดีกว่า ข้าจะให้เวลาเจ้าสองเค่อ หาพวกเขาให้เจอ แล้วเลือกระหว่างสองคนนี้ว่าอยากให้ใครรอด หากหมดเวลาแล้วข้าจะโยนพวกเขาทั้งคู่ลงจากปราการเมฆาคล้อย”

“อ้อ แล้วอย่าคิดว่าครั้งนี้จะโชคดีเล่า เจ้านั่นมีพลังบำเพ็ญลึกล้ำไม่น้อย รับมือไม่ง่ายเลย จริง ๆ ข้าอาจสู้เขาไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่ข้ามีวิชาเชิดหุ่นที่แกร่งที่สุดในใต้หล้า อีกทั้งในในใจเขาห่วงแต่เจ้า ใช้ภาพมายาหลอกล่อสักหน่อยก็ติดกับข้าเข้าโดยง่าย…..”

“ห้ามทำอะไรเขา!” ชิงอวี่กัดฟันขู่เสียงเบา

“ไม่ต้องห่วง ยังไม่พ้นสองเค่อข้าไม่แตะเขาแน่ แค่จะทรมานเขาเล่นสักหน่อยเท่านั้น…..”

“ชิงเทียนหลิน!”

“ข้าจะรอเจ้านะชิงชิง เจ้ารีบมาเล่า…..”

ภาพในลูกแก้วหายไปทันที กลับเป็นลูกแก้วธรรมดาดังเดิม

มู่ไหลกับหมิงอีอีเข้าใจความรู้สึกชิงอวี่ดีจึงไม่คิดเข้ามายุ่ง ปล่อยให้นางยืนสงบสติอารมณ์ไปก่อน

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้น “เวลาใกล้หมดแล้ว พวกเจ้าเขยิบเข้ามาใกล้กันหน่อย เราจะใช้อุโมงค์มิติเดินทางไปในคราวเดียว”

อุโมงค์มิติเป็นวิชาระดับสูงที่มีแต่บนแดนระดับสูงเท่านั้น สามารถเดินทางไกลได้ในพริบตา เป็นวิชาย่นระยะทางเพื่อประหยัดเวลาที่ดียิ่ง

คนทั้งหลายพยายามซ่อนความรู้สึกประหลาดใจ ในนัยน์ตาพลางเดินเข้าหาชิงอวี่ จากนั้นเห็นเด็กสาวร่ายคาถาบางอย่างด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนจะค่อย ๆ วาดมือออกไป เงาร่างหลายคนพลันหายไปทันที หายเข้าไปในมิติสีขาวโพลน

พื้นที่ใต้สองเท้าของพวกนางคือจุดแสงนับล้านที่ลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกนางหลายคนไม่เคยใช้อุโมงค์มิติมาก่อนจึงประหลาดใจนัก

“จุดแสงนี่คืออะไรหรือ?” มู่ไหลอดถามขึ้นด้วยความประหลาดใจไม่ได้

ชิงอวี่อธิบาย “เพื่อประหยัดเวลา ตอนนี้เราจึงอยู่ในห่วงมิติเวลา ในเมื่อหยุดการไหลเวลาไม่ได้จึงเปลี่ยนทุกอย่างรอบกายให้กลายเป็นจุดแสงเหล่านี้แทน”

“ในเมื่อมีหนทางย่นระยะเวลา แล้วหากข้ามีเรื่องที่อยากย้อนกลับไปทำ ข้าจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้หรือไม่?” หมิงอีอีลองถามดู

“ย่อมมีหนทาง แต่การทำเช่นนั้นขัดต่อกฎสวรรค์ ดังนั้นคนร่ายคาถาจะต้องชดใช้อย่างใหญ่หลวง” ชิงอวี่นัยน์ตาคมปลาบ วิชาเช่นนั้นไม่ควรให้ใครใช้ เพราะสิ่งที่ต้องชดใช้ไปมันมากมายเหลือเกิน

“เจ้าบ้านี่! ปล่อยข้านะ!”

เหยียนเจวี๋ยที่ถูกผูกติดกับก้อนหินไม่อาจดิ้นหลุดเอ่ยสบถด่าออกมาเสียงโกรธ

กว่ายี่สิบปีที่ข้ามีชีวิตอยู่มา มีด้วยหรือที่เขาต้องมาเจอเรื่องน่าแค้นใจเช่นนี้?

เขาเป็นคนในตำหนักนักฆ่า คนทั้งหลายจากหุบเขาไร้กังวลมีแต่จะโค้งคำนับเขาด้วยความเคารพ แม้จะอยู่นอกหุบเขาก็ตามแต่ ได้ยินชื่อพญายมยิ้มของเขาแล้วจะมีใครไม่สั่นกลัวบ้าง? แต่วันนี้กลับต้องพบเรื่องเช่นนี้ นับเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!

แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ เรื่องที่ถูกพันธนาการอยู่กับหินในปราการเมฆาคล้อยนี่ต่างหาก ถูกผูกติดทั้ง ๆ ที่อยู่ในเขตแดนหุบเขาไร้กังวล!

“หยุดร้องโหยหวนแล้วเก็บแรงไว้เถอะ ไม่เช่นนั้นอีกเดี๋ยวจะไม่สนุกนะ” ร่างมนุษย์จากหมอกดำปรามาส

ในตอนนั้น มีเพียงเหยียนเจวี๋ยและอี้หานที่เสียแขนไปข้างหนึ่งและไม่อาจเคลื่อนไหวได้เท่านั้น คนอื่น ๆ ล้วนหายไปจนหมด

เหยียนเจวี๋ยกัดฟันแน่น “เจ้าเอาหัวหน้าไปไว้ที่ไหน?”

“ตัวเองยังเอาไม่รอดยังห่วงคนอื่นอีก” หมอกดำเอ่ยเสียดสี

“พวกปีศาจอย่างเจ้ามาจากไหนกันแน่? คนในแดนมุกหยกไม่มีทางมีพลังบำเพ็ญสูงส่งเช่นนั้นได้ อีกทั้งเจ้ายังใช้วิชาที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเจ้ามาจากแดนสูงกว่างั้นหรือ?” เหยียนเจวี๋ยลองคาดเดา จากนั้นพลันนึกขึ้นได้ “หากมีคนจากแดนสูงกว่าทำร้ายคนแดนต่ำกว่า เช่นนั้นก็จะถูกสวรรค์ลงโทษ!”

“โอ้ สวรรค์ลงโทษหรือ น่ากลัวจัง ฮ่า ๆ…..”

หมอกดำว่าพลางหัวเราะผยอง “นายท่านของข้าเป็นคนที่แม้แต่สวรรค์ยังไม่กล้าลงทัณฑ์ แล้วข้าต้องกลัวเรื่องนั้นด้วยหรือ? น่าขันนัก! แต่พวกแมลงอ่อนแอเช่นพวกเจ้าจะได้ขึ้นไปอยู่บนนั้นในอีกไม่นานหรอก ไม่ต้องมานั่งกังวลวางแผนสู้กับคนอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบอีกต่อไปแล้ว…..”

ที่จุดสูงสุดของปราการเมฆาคล้อย มองลงมาจะเห็นเพียงท้องฟ้ายามราตรีไร้ที่สิ้นสุด มันสูงเหนือหมู่เมฆ เอื้อมแขนไปก็แตะเมฆได้แล้ว ได้ยืนอยู่สูงเช่นนี้เป็นสัมผัสที่ไม่เหมือนใครจริง ๆ

“อีกไม่กี่ชั่วยามก็รุ่งสางแล้ว” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนโยนว่าพลางยิ้มบาง รอยยิ้มนั้นเหมือนจะไล่ความหนาวเหน็บจากพระจันทร์เหน็บหนาวไปได้ มองแล้วอบอุ่นใจราวกับลมใบไม้ผลิพัดผ่านร่าง

เขาอยู่ในชุดขาวไร้รอยเปรอะเปื้อนใด มองดูสูงส่งราวกับเทพเซียน

ชายคนหนึ่งยืนก้มหัวท่าทางอ่อนน้อมอยู่ตรงหน้าเขา นั่นมันเจ้าหุบเขาไร้กังวล จีเยี่ยนหลงไม่ใช่หรือ?

เขายืนห่างจากอีกฝ่ายราวสองสามเก้า ส่งสายตามองประเมินไปยังคนสองคนที่อยู่ตรงมุมนั้น ร่างของทั้งคู่ลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้รู้สึกราวกับว่าหากขยับเพียงนิดก็จะร่วงหล่นสู่หุบเหวไร้ก้นเบื้องล่าง

คนสองคนนี้….. เป็นใครกันแน่? ถึงทำให้นายท่านต้องพาพวกเขากลับมาด้วยตนเองเช่นนี้

“อะไร? เจ้าสงสัยหรือ?” น้ำเสียงชายหนุ่มปนแววขัน เอ่ยถามเขาเสียงเบา

จีเยี่ยนหลงเหงื่อแตกทันที ก้มหัวลงต่ำกว่าเดิมแล้วเอ่ยเสียงสั่น “ข้าน้อยไม่กล้า”

บุคคลที่มีชื่อเสียงดังทั่วแดน กุมหนึ่งในขุมอำนาจแห่งสามสำนักใหญ่ กลับมีท่าทางเคารพนบน้อมกับชายหนุ่มผู้นี้ได้ ดูแล้วน่าตกใจไม่น้อย

“ไม่ต้องกลัวหรอก” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบาแล้วตบไหล่จีเยี่ยนหลง “อีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้เอง เจ้ารอดูเรื่องสนุกเถอะ”

จีเยี่ยนหลงรีบก้มหัวรับคำทันที

ร่างสูงในชุดขาวค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามา จับคางชายหนุ่มอีกคนที่สีหน้าไร้อารมณ์เงยขึ้นมา แล้วก็ยิ้มมุมปาก “ไม่รู้ว่าชิงชิงจะรุดมาช่วยในสองเค่อทันหรือไม่! หากพลาดมาไม่ทัน เช่นนั้นก็คงหมดสนุกกันพอดี”

ใบหน้าโหลวจวินเหยาไร้อารมณ์ใดราวกับไม่ใส่ใจกับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ได้แต่มองเด็กหนุ่มที่หมดสติไปแล้ว เจ้าเด็กนี่บาดเจ็บ ไม่รู้ว่าจะทนได้นานแค่ไหนกัน

เห็นดังนั้น เขาก็ไม่โกรธอะไร หากแต่เผยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา “เจ้าว่าชิงชิงจะเลือกให้เด็กนี้ตายหรือจะเลือกเจ้ากัน?”