บทที่ 210 ไม่ปล่อยให้ตาย

สิ้นคำสั่ง หุ่นเชิดที่มีท่าทางลังเลและหวาดกลัว ก็กลับมาดุร้ายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

อาจเพราะอำนาจคุมร่างอยู่เหนือกว่าความกลัวโดยสัญชาตญาณ ทำให้พวกมันไม่กลัวอีกต่อไป แม้กลิ่นที่แผ่ออกมาจากขวดเล็กนั่นอาจทำลายมันได้ก็ตาม ตอนนี้มันไม่ถอยอีก ในหัวมีแต่คำว่า สังหาร!

โหลวจวินเหยาหรี่ตาลง หยดเลือดหยดหนึ่งลงที่ปลายนิ้ว เลือดหยดนั้นพลันถูกซัดออกไป แยกออกเป็นละอองเล็กนับไม่ถ้วน กระจายเข้าใส่ฝูงหุ่นเชิด ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้น

ละอองเลือดที่เล็กจนมองไม่เห็นกลับมีพลังทำลายล้างสูงนัก เมื่อถูกตัวหุ่นเชิดก็เผาร่างเป็นรูจนควันขาวพวยพุ่งออกมา

เลือดนั้นไม่ได้ทำลายเนื้อหนังภายนอกของมัน แต่ทำลายเข้าลึกถึงภายใน ทำให้เจ็บปวดมากกว่าเดิมนับร้อยเท่า จนพวกมันหยุดฝีเท้า

ทว่าโหลวจวินเหยาก็ยังไม่วางใจ เอื้อมมือไปดึงชิงเป่ยมาอยู่ข้างตัวพลางกล่าวขึ้น “เจ้ามุ่งหน้าต่อไป อย่าหันหลังกลับมา”

ชิงเป่ยชะงักไป เอ่ยเสียงตกใจ “แล้วท่านเล่า?”

“ข้ารับมือได้ เจ้าอยู่ไปก็เป็นภาระข้า” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงดุแล้วผลักเด็กหนุ่มออกไปเบา ๆ

ชิงเป่ยถูกผลักออกไปโดยไม่ทันตั้งตัวจนแทบล้มคะมำ ถูกว่าใส่เช่นนั้นทำเอาเขารู้สึกไร้ค่านัก อดรู้สึกโกรธขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้ รีบเดินจากไปด้วยความขุ่นเคืองทันที

แต่เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ คำที่ชิงอวี่ฝากไว้ก็ดังขึ้นมา ว่าไม่ให้เขาห่างจากอีกฝ่าย

ไม่รู้ทำไม แต่เขาเชื่อใจชิงอวี่มาก เขาพลันหยุดฝีเท้า ไม่รู้ว่าจะไปต่อดีหรือไม่ แต่หยุดชะงักแล้วก็รู้สึกถึงกระแสลมชั่วร้ายที่พัดผ่านแผ่นหลัง รีบหันหลังไปทันที หุ่นเชิดตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่เขา ใบหน้ามันแยกเขี้ยวยิงฟันน่าเกลียดน่ากลัว หมายจะกระโจนเข้ากัด

ชิงเป่ยเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพน่ากลัวนี้ มันเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แต่เมื่อถึงระยะกระแทกฝ่ามือ จู่ ๆ มันก็ร่วงลงไปพร้อมกับเสียงโหยหวน บิดร่างไปมาอยู่กับพื้นไม่หยุด

เขาพลันดึงสติกลับมาได้ เห็นใบหน้าชายหนุ่มในชุดสีม่วงทะมึนนัก นัยน์ตาสีม่วงมองเขาเคร่งขรึม “เจ้ายืนบื้ออยู่เช่นนั้นทำไม? ข้าบอกให้รีบไปไม่ใช่หรือ?”

หากเกิดเรื่องกับเจ้าเด็กบื้อนี่ จิ้งจอกน้อยไม่กางกรงเล็บสังหารเขาสิ้นใจตายไปเลยหรือ?

ชิงเป่ยขมวดคิ้ว จ้องชายหนุ่มนิ่ง “ท่านบาดเจ็บ”

ที่ฝ่ามือของชายหนุ่มเห็นเลือดสายหนึ่งไหลลงมา สีแดงสดตัดกับผิวสีขาวอย่างชัดเจน

โหลวจวินเหยาก้มลงมองแขน เขาประมาทจนถูกหุ่นเชิดโจมตีก่อนหน้านี้

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเปิดปาก ชิงเป่ยก็พูดด้วยเสียงมุ่งมั่น “ข้าไม่เป็นภาระท่านหรอก”

พูดจบเขาก็พุ่งเข้าใส่พวกหุ่นเชิด เหวี่ยงดาบจากพลังสายฟ้าเข้าใส่พวกมันในพริบตา ส่งกระแสสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะเข้าร่างพวกมัน ส่องแสงสีม่วงอมน้ำเงิน ก่อนที่พวกมันจะลงไปดิ้นชักกับพื้น ส่งเสียงโหยหวนดังระงม

หุ่นเชิดทั้งหลายเหมือนจะเสียเปรียบ แต่ไม่นานพวกมันก็กลับมาแข็งแกร่งดังเดิม

หุ่นเชิดเหล่านี้ฆ่าไม่ตาย หาจุดอ่อนไม่พบ ไม่ว่าจะซัดพลังใส่ตรงไหนก็ไม่ถูกจุด และแม้จะทำให้มันหยุดโจมตีได้ชั่วขณะ แต่ก็ยังไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา

พวกเขายังมีวันหมดแรง แต่เจ้าพวกนี้กลับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งยังไม่กลัวความเจ็บปวด

โหลวจวินเหยาใบหน้าทะมึนลง มองแผลบนแขนตนเองนิ่ง เลือดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำโดยมีสีดำเจืออยู่ภายในบาง ๆ

คนที่ถูกหุ่นเชิดกัดจะติดเชื้อ และกลายเป็นปีศาจไร้สติไป แต่สำหรับเขาไม่นับเป็นอะไรด้วยมีร่างกายแตกต่าง อีกทั้งยังได้ชิงอวี่ช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ นับเป็นเคราะห์ดีในเคราะห์ร้าย

ใบหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปเป็นเฉียบคม นัยน์ตาสีม่วงจ้องเลือดที่หยดลงจากแขน เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งจิ้งจอกน้อยร่างถูกแช่แข็ง เจ้าหนุ่มผมทองนั่นบอกว่าในกายเขามีเลือดนางไหลเวียนอยู่ กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่มีเลือดบริสุทธิ์ เป็นเลือดแห่งแสงสว่าง

บางทีเขาอาจมีทางแก้แล้ว

เลือดจากสายเลือดบริสุทธิ์ สายเลือดที่ความมืดและแสงสว่างผสมผสาน ขยายพลังให้สูงส่งมากมายหลายเท่า

“พรวด…”

ห่างไกลออกไป ณ แดนธาราขาว จวนตระกูลเฟิ่ง ชายหนุ่มหน้าตาอ่อนโยนพลันกระอักเลือดออกมาคำใหญ่

เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มันส่องประกายชั่วร้ายออกมา จากนั้นยกมือขึ้นเช็ดเลือดมุมปากแสยะยิ้ม “พวกนั้น….. หาทางทำลายวิชาเชิดหุ่นข้าจนได้”

เป็นไปได้ยังไงกัน?

เลือดของเจ้านั่นรวมกับเลือดของชิงชิงแล้วจะปลดวิชาเชิดหุ่นของเขาได้อย่างไรกัน!?

มันหมายความว่ายังไงกัน? หรือชิงชิงกับเจ้านั่น…..

ไม่! เป็นไปไม่ได้!

เรื่องเช่นนั้นจะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!

พลังของสายเลือดบริสุทธิ์ส่งผลให้ร่างของหุ่นเชิดเน่าเปื่อย เหลือเพียงกองของเหลวสีเลือดกองอยู่กับพื้น ส่งกลิ่นเหม็นเน่าไว้เท่านั้น

“ไปเถอะ”

โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ รีบหันตัวเดินขึ้นทางชันต่อไป พวกเขาเดินมาได้หนึ่งในสามของเส้นทางแล้ว มองเบื้องล่างไปก็เห็นแต่ความมืดมิด รู้สึกราวกับมีบางอย่างกำลังคืบคลานตามมาอย่างเงียบเชียบ

ซีจ้านเฉินกับคนของเขามุ่งหน้าออกมาก่อนแล้ว รุดหน้าเหนือโหลวจวินเหยา พวกเขาเดินทางมาเร็วขนาดนี้จึงค่อนข้างแปลกใจที่มีคนตามพวกเขาทัน

เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านหน้า โหลวจวินเหยาก็ประหลาดใจในตอนแรก นัยน์ตาสีม่วงคมปลาบ ก่อนเอ่ยปากขึ้น “รีบไปเถอะ มีบางอย่างไล่ตามพวกข้ามา อีกไม่นานก็คงตามทัน”

“อะไรนะ?” ซีจ้านเฉินเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนสีก็ตกใจ แต่เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายว่ามาก็อดถามเรื่องนั้นก่อนไม่ได้

“พวกเจ้าจะหนี….. ก็สายไปแล้ว” สิ้นเสียงชั่วร้ายนั่น หมอกดำหนาแน่นก็แผ่ลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมพื้นที่โดยรอบไว้ ปิดบังทัศนียภาพทั้งหลายในพริบตา

หมอกดำนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นรูปร่างคน มันลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองกลุ่มคนจากด้านบน กระแสหมอกหมุนวนด้วยสายตาดูถูก

“แกเป็นตัวอะไรกันแน่?”

ชายร่างสูงใหญ่นามอี้หานถามด้วยใบหน้าทะมึน ก่อนจะส่งหมัดหนักออกไปหมัดหนึ่ง กระแสลมรุนแรงส่งออกไปพร้อมกับแรงหมัดราวกับจะฉีกอากาศออกได้ หากมันปะทะเข้าร่างคนก็คงแหลกเป็นชิ้น

ทว่าการโจมตีนี้กลับไร้ผล หมอกดำหัวเราะหยัน ระงับหมัดของอี้หานไว้กลางอากาศ พริบตาต่อมาใบหน้าบึ้งตึงเครียดขึ้งของเขาก็บิดเบี้ยว ปากอ้ากว้างส่งเสียงร้องดังลั่น

“แมลงน่ารำคาญที่ไม่รู้จักประมาณตน” หมอกดำเอ่ยเสียงเหยียด

“อี้หาน!”

ร่างสูงใหญ่ล้มลงกับพื้น เฟิงฉีกับเหยียนเจวี๋ยพุ่งเข้าไปดูถึงกับน้ำตารื้นขอบเมื่อเห็นภาพโชกเลือดตรงหน้า

อี้หานร่างกระตุกบิดไปมาควบคุมไม่ได้ ใบหน้าซีดขาว ลมหายใจแผ่วเบา แขนเสื้อขาดหายไป ที่แขนเหลือกระดูกเพียงครึ่งท่อนที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด หมอกดำยังเวียนวนอยู่ที่บาดแผลราวกับอยากจะฝังลงในร่างเขาให้ได้

“ออกห่างจากเขาเสีย!” เหยียนเจวี๋ยตะโกนลั่นตาแดงก่ำ ลุกขึ้นยืนเตรียมสู้กับหมอกดำให้ตายกันไปข้าง ทว่าซีจ้านเฉินยกแขนห้ามไว้

“หัวหน้า!” เหยียนเจวี๋ยตะโกนลั่น “ท่านอย่าห้ามข้าไม่ให้สังหารมัน!”

ซีจ้านเฉินมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หากเจ้าไปก็เท่ากับไปตาย”

พวกเขายังไม่รู้ว่าหมอกดำนั่นคืออะไรกันแน่ กระทั่งเขาเองยังไม่มั่นใจว่าจะสู้มันได้ แล้วคนอื่น ๆ ที่พลังบำเพ็ญต่ำกว่าเขาจะรอดหรือ

“ฮ่า ๆ ๆ….. ไอ้พวกหนอนแมลงไร้ค่าเอ๋ย ไม่ต้องพยายามดิ้นรนไปหรอก ยืนรอความตายเสียดี ๆ นั่นล่ะ!” หมอกดำหังเราะเสียงหยิ่งหยอง

“ทำยังไงดีเล่า?” ชิงเป่ยมองภาพตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วมุ่น

เขาเชื่อว่าตนเองมีพลังไม่ต่ำต้อย นับเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์เก่งกาจในแดน แต่กับเจ้าปีศาจเหนือธรรมชาติตรงหน้าเขานี้ เขากลับไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะประมือมันอย่างไร

แต่ไม่รู้ทำไม ชายหนุ่มข้าง ๆ จึงทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด เป็นความรู้สึกเดียวกับที่ชิงอวี่แผ่ออกมา

โหลวจวินเหยาคล้ายกับจะจับสัมผัสจากเด็กหนุ่มได้จึงก้มหน้าลงเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าวางใจ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายหรอก”

พูดจบก็เหลือบมองหมอกดำที่ลอยคว้างอยู่หน้านิ่ง หมอกดำที่หัวเราะหยิ่งผยองพลันชะงักไปชั่วครู่ด้วยรู้สึกถึงลางอันตราย และเมื่อหันมามองต้นตอก็สบตาเข้ากับนัยน์ตาสีม่วงดูชั่วร้ายนั่นที่ภายในมีคลื่นพลังซัดโถม หมอกดำร่างมนุษย์พลันหดตัวลงเล็กน้อยเพื่อคุมเชิง

เป็นเขาหรือ? คนที่นายท่านหมายสังหาร!

เขาเป็นใครกันแน่? แค่สายตายังน่ากลัวขนาดนี้ได้ กระทั่งหมอกดำที่ไร้ร่างยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่พวยพุ่งเข้าไปในหัวใจ

หมอกดำต่อสู้กับจิตใจตนเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟันก้าวข้ามความกลัว สุดท้ายจากร่างมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นหมอกดำหลายกลุ่มเข้าล้อมรอบคนทั้งหมดไว้ทันที

เป็นตอนนั้นเองที่นัยน์ตาโหลวจวินเหยาเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มมาจากภายใน

ต้นไม้และพืชพันธุ์โดยรอบ พร้อมทั้งหินกรวดบนพื้นพลันถูกลมคลั่งพัดจนลอยขึ้น รวมกันเป็นพายุหมุนทรงพลัง พริบตาต่อมาก็ราวกับพวกมันมีสตินึกรู้ขึ้นมา งอกแขนงอกขาขึ้นเดินบนพื้นเข้าล้อมกลุ่มคนไว้อีกอย่างหนาแน่น

โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าพวกนี้รั้งไว้ได้ไม่นาน เราต้องรีบไปแล้ว ทั่วทั้งปราการเมฆาคล้อยคงเต็มไปด้วยอันตราย มีแต่ชั้นบนสุดจึงจะปลอดภัย”

เขารู้แล้วว่าของพวกนี้ไม่ควรมาปรากฏขึ้นในงานสานสัมพันธ์เช่นนี้ เจ้าหุบเขาคงจะร่วมมือกับตัวการหลังม่านเป็นแน่

ซีจ้านเฉินได้ยินแล้วก็เห็นด้วย พลันหันไปหาอี้หานที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่กับพื้น “เจ้าเล่า? เดินไหวหรือไม่?”

ใบหน้าซีดราวกระดาษขาว อี้หานได้เฟิงฉีและเหยียนเจวี๋ยช่วยพยุงร่างลุกขึ้น “ข้า….. เดินไหว”

ข้าจะมาตายอย่างไร้ค่าที่นี่ไม่ได้ ข้าจะไม่… ทำให้ตำหนักนักฆ่าเสื่อมเสียเกียรติ

ที่ขั้นนับพันของปราการเมฆาคล้อย เมื่อขึ้นสูงทางเดินยิ่งแคบลง แรกเริ่มสามารถเดินขนานกันยาวได้สิบคน หากแต่พอขึ้นมาได้หลายพันขั้นเข้าความกว้างก็เหลือได้แค่สองคนเดินข้างกันเท่านั้น และหากเป็นคนร่างใหญ่สักหน่อยก็จะต้องเดินเอียงไปเท่านั้น

คนขี้กลัวนั้นไม่กล้าแม้แต่จะมองลงไปด้านล่างเนื่องจากมันสูงมาก หากเกิดกลัวแล้วร่วงลงไปก็คงเป็นความตายที่น่าละอายและไร้ความยุติธรรมเป็นที่สุด