บทที่ 209 คนที่ปรารถนาชิงชิงต้องตาย
“เกิดอะไรขึ้น…..”
“ระเบิดแรงมาก! มันระเบิดที่ขั้นไหนกันนะ?”
“แรงระเบิดแรงสุด ๆ ไปเลย! ไม่รู้ว่าพวกสตรีจะรอดพ้นหรือไม่ คงจะมีบางส่วนที่ไม่รอดกระมัง.….”
สีของเปลวเพลิงที่ส่องสว่างออกมาไม่ได้มีแต่ธาตุไฟเท่านั้น แต่ยังเจือด้วยสีม่วงและสีทอง อย่างน้อย ๆ รวบรวมด้วยสามธาตุ ดังนั้นแรงระเบิดรุนแรงเมื่อครู่จึงส่งผลแรงมากอยู่หลายชั่วอึดใจกว่าจะสงบลง
“ต้องเป็นชิงอวี่แน่”
ชิงเป่ยรู้สึกว่าพลังที่สัมผัสได้ดูคุ้นเคยอยู่บ้าง รู้ทันทีว่าชิงอวี่ต้องมีส่วนร่วมในการลงมือครั้งนี้แน่
เขาขมวดคิ้วมุ่น “หรือจะพบอันตรายใด!?”
โหลวจวินเหยามองเด็กหนุ่ม “วางใจเถอะ นางดูแลตนเองได้ ด้วยพลังบำเพ็ญขั้นนั้น มีไม่กี่อย่างในแดนระดับต่ำเช่นนี้ที่ทำร้ายนางได้ เว้นเสียแต่มันจะเป็นสิ่งที่มาจากดินแดนอื่น”
ถูกต้องแล้ว ดินแดนระดับต่ำนี้เหมือนจะแปลกประหลาดขึ้นทุกที กฎระหว่างแดนเหมือนจะไร้ผลไปเมื่อมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
ก็เหมือนกับเมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งมีปีศาจซากผีที่ชั่วร้ายมาปรากฏขึ้นในแดนมุกหยก
เหมือนกับว่ามีเบื้องหลังคอยชักใยอยู่หลังม่าน
“อึก…..” หลังจากเสียงอึกบางเบาแทบไม่ได้ยิน และเสียงของร่างคนล้มลงพื้นก็ดังตามมา
ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียงด้วยความฉงน พบว่าเป็นศิษย์สวมชุดสำนักละอองหมอกกำลังยืนก้มหน้าก้มตา ยกแขนขึ้นเป็นกรงเล็บ มือชุ่มโชกไปด้วยหยาดโลหิตที่ยังหยดลงพื้นไม่หยุด
ส่วนที่เท้าคือศิษย์สำนักละอองหมอกอีกคนหนึ่ง นอนหงายหน้าตาเบิกกว้าง ที่อกมีรูขนาดใหญ่ที่ยังมีเลือดไหลนองออกมาอยู่
“หลินอวี้! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!?” ศิษย์สำนักละอองหมอกอีกคนร้องลั่น มองอีกฝ่ายตกตะลึง “เจ้าทำเช่นนั้นทำไม?”
บุรุษนามหลินอวี้ยังคงก้มหน้าลงต่ำไม่ตอบความ เห็นดังนั้นศิษย์คนถามก็โกรธ เดินเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายตะโกนใส่หน้า “พูดอะไรบ้างสิ! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? ถึงได้สังหารศิษย์ร่วมสำนักเช่นนี้? เจ้า….. อ๊ากกก”
เขาพูดยังไม่ทันจบก็กรีดร้องเจ็บปวดขึ้นมาเสียก่อน
ทุกคนเห็นหลินอวี้ที่ไม่ขยับกายมานานพลันคว้าเข้าที่คอคนผู้นั้นก่อนจะฝังเขี้ยวลงอย่างแรง เสียงฟันกัดกระชากเนื้อดังขึ้นราวกับต้องการดูดเลือดอีกฝ่ายให้หมดร่าง
คนที่ก่อนหน้ายังก่นด่าเสียงดังตกใจ พยายามดิ้นให้หลุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแน่นิ่งไป ไม่ส่งเสียงอีก
เขาตายแล้ว
หลินอวี้โยนร่างศิษย์ไร้ลมหายใจคนนั้นทิ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมา ปากเปื้อนเลือดเต็มไปหมด สีหน้าราวกับคนคลั่ง “อร่อย….. อร่อยยิ่งนัก!”
นัยน์ตาเขาแดงก่ำราวกับปีศาจกระหายเลือด
จากนั้นเขาก็เงื้อมือชุ่มเลือดขึ้นมาแลบลิ้นเลียจนหมด นัยน์ตาหื่นกระหายมองกลุ่มคนตรงหน้าราวกับกองอาหาร สีหน้าตื่นเต้นยินดีแล้วร้องโหยหวนขึ้น “เลือด….. ข้าต้องการเลือด ข้าอยากได้เลือดอีก!”
พูดจบเขาก็พุ่งเข้าใส่คนที่อยู่ใกล้ ๆ ทันที กรงเล็บที่เฉียบแหลมราวกับอาวุธแหลมคม ทะลวงเข้าที่หน้าอกสองคนตรงหน้า ก่อนจะดึงมือออกมาแล้วโจมตีคนอื่นต่อ สถานการณ์เริ่มปั่นป่วน เสียงกรีดร้องผวาดังขึ้นทั่วทันที
โหลวจวินเหยายืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีสีหน้าทะมึน นัยน์ตามืดครึ้มล้ำลึกราวกับสีหมึก ร่างสูงยืนอยู่เงียบเชียบไม่เขยื้อนกาย
ชายหนุ่มที่เสียสติไปแล้วเข้าล่าสังหารคนอย่างไม่อาจมีใครขัดขวางได้ บนพื้นเริ่มมีซากศพกองพะเนินขึ้นมามากมาย
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นไม่ห่างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่มากนัก เห็นเหตุการณ์โดยตลอด มีแต่เลือดเจิ่งนองเต็มไปหมดจนพื้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
ยังมีคนที่มีพลังบำเพ็ญสูงส่งพยายามสู้ แต่ก็ดูจะไร้ผล เพราะราวกับศัตรูได้ยาเพิ่มพลังไป ทำลายล้างทุกสิ่งอย่างที่กีดขวาง
ชิงเป่ยมองภาพนั้นแล้วก็อดตกใจไม่ได้ “เราจะทำยังไงดี? อีกเดี๋ยวเขาก็มาถึงตรงนี้แล้ว…..”
โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เพียงแค่เขา”
เด็กหนุ่มมองหน้าเขางง ๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรกันแน่
“พวกมันต่างหาก”
โหลวจวินเหยาพูดจบ ชิงเป่ยก็พลันเข้าใจความหมายในทันที
เพราะที่ขั้นบันไดด้านล่างได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ดังสนั่นทีเดียว
จะบอกว่าดังสนั่นก็ไม่นับว่าเกินควร อย่างน้อย ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกมันทั้งหมดโดยที่ไม่อาจประมาณจำนวนได้ แต่ดูท่าจะมีกันมาก ทั้งยังน่ากลัวอีกต่างหาก
“มัน….. มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…..” ทั้งตาทั้งหูของชิงเป่ยเหมือนจะกลายเป็นใช้งานไม่ได้ไปชั่วขณะ
เบื้องหน้าพลันมีร่างนับไม่ถ้วนที่เดินก้มหน้าก้มตา ร่างกายแข็งทื่อ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยดูไม่ได้ แขนทั้งสองข้างห้อยต่องแต่งอยู่ข้างตัว ปรากฏตัวขึ้น
ภายนอกนั้นดูเหมือนมนุษย์มาก แต่ท่าทางของพวกเขานั้นไม่ใช่ท่าทางที่มนุษย์ปกติจะทำได้
เช่นท่าทางการเดิน แต่ละย่างก้าวนั้นเฉื่อยชาทั้งยังไม่มั่นคง เหมือนกับจะเดินแทบไม่ได้ แต่กลับมุ่งหน้าเข้ามาพร้อม ๆ กัน
ชิงเป่ยเบิกตากว้าง “เจ้าพวกนี้…..”
“หุ่นเชิด” โหลวจวินเหยาค่อย ๆ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์ “เปลี่ยนร่างที่เพิ่งสิ้นลมหายใจ ยังไม่ทันตายดี ให้กลายเป็นหุ่นเชิด เช่นนี้จะแกร่งกว่าหุ่นเชิดที่ทำจากซากศพหลายเท่า”
ได้ยินดังนั้นชิงเป่ยก็หันไปมองชายที่ยังทำการล่าสังหารไม่หยุด “ทำไมศิษย์สำนักละอองหมอกคนนั้นถึงกลายเป็นเช่นนั้นได้?”
“อาจเพราะถูกหุ่นเชิดกัดเข้าแล้วไม่ตาย แต่ถูกกลิ่นอายชั่วร้ายของมันเข้าครอบงำจึงกลายเป็นปีศาจกระหายเลือด ไม่ใช่คนไม่ใช่ผีไป” โหลวจวินเหยาอธิบาย
สีหน้าเขาซับซ้อนอยู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปมองพวกหุ่นเชิดที่กำลังรุดหน้าเข้ามา ที่ปากทำเสียงประหลาด
เจ้าพวกนี้กลับมาปรากฏขึ้นที่ปราการเมฆาคล้อยในหุบเขาไร้กังวลได้
ครั้งนี้เป็นเพียงงานสานสัมพันธ์ระหว่างสำนักเท่านั้น พวกมันไม่ควรมาอยู่ที่นี่ และถึงจีเยี่ยนหลงจะมีพวกมันไว้ในครอบครอง แต่ก็คงไม่กล้าปล่อยพวกมันออกมาเป็นแน่
ในหมู่คนที่มาร่วมงานวันนี้ยังมีคนฐานะสูงส่งและโดดเด่นในแดนอีกหลายคน หากเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาระหว่างที่พำนักในหุบเขาไร้กังวล จีเยี่ยนหลงก็คงไม่อาจอธิบายให้คนอื่น ๆ ฟังได้
วิชาเชิดหุ่นคือวิชาที่หายสาบสูญจากใต้หล้าไปนาน ไม่ต้องกล่าวถึงในแดนระดับต่ำเช่นนี้ กระทั่งในแดนเมฆาสวรรค์ยังหาได้ยาก แต่กระนั้นก็นับเป็นครั้งที่สองที่เขาได้เห็นวิชาหุ่นเชิดในแดนระดับต่ำเช่นนี้แล้ว
ไม่รู้ว่าภาพมายาที่นัยน์ตาหายไปเมื่อไหร่ มันกลายเป็นสีม่วงล้ำลึก แต่ภายใต้สถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ ไม่มีใครมีเวลาสังเกตเห็นดวงตาเขาได้
เมื่อดวงตาทั้งสองไม่ถูกอะไรขวางกั้นไว้อีก พวกมันก็ได้รับเศษซากความทรงจำจากหุ่นเชิดตัวหนึ่งทันที
เห็นเป็นร่างชายผู้หนึ่งมองไม่ชัดเจน แต่น้ำเสียงชั่วร้ายนั้นคุ้นหูจนจำได้ชัดเจน หรือไม่ก็อาจเพราะมันเป็นเสียงที่ฝังลึกลงในใจโหลวจวินเหยาไม่น้อย
จากนั้นเงาร่างของชายคนนั้นก็เริ่มชัดเจนขึ้น เป็นชายหนุ่มหน้าตาอ่อนโยนคนหนึ่ง ใบหน้างดงามราวกับเทพเซียน ทว่าพริบตาต่อมามันกลับบิดเบี้ยวเป็นใบหน้าชั่วร้าย
“โหลวไป่เชียน? หากเจ้าต้องตายที่นี่ก็เพราะตัวเจ้าเองนั่นล่ะ”
“สิ่งที่เจ้าไม่ควรทำและห้ามทำนั่นคือการคิดเป็นอื่นกับชิงชิง! ชิงชิงเป็นของข้า! ทั้งร่างและวิญญาณของนาง ผมทุกเส้นของนาง ทั้งหมดเป็นของข้า!”
“ใครที่คิดปรารถนานางจะต้องชดใช้”
“และเจ้า เจ้าไม่เพียงปรารถนาชิงชิง แต่ยังคิดจะครอบครองนาง อภัยให้ไม่ได้! ข้าจะทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเจ็บปวดจนอยากตาย ฮ่า ๆ ๆ…..”
ความทรงจำหยุดลงเท่านี้ ไม่เห็นอะไรอีก
โหลวจวินเหยาละสายตาจากไป เป็นเจ้านั่นจริง ๆ
นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครสามารถสร้างหุ่นเชิดมากขนาดนี้ขึ้นมาได้แล้ว ดูท่าอันตรายหลายอย่างระหว่างทางก็หมายจะเล่นงานเขากระมัง
หึ! มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นัก
ใต้หล้านี้ยังมีคนที่ความคิดบิดเบี้ยววิปริตเช่นนี้อยู่จริง ๆ บังอาจมีความคิดน่าละอายกับน้องสาวตนเอง จะมีใครที่จิตใจไม่ปกติได้มากเท่าคนผู้นี้อีกหรือไม่
นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายวาบ เขาพลันนึกบางอย่างขึ้นได้
“ท่านพกเจ้านี่ไว้” เด็กสาวส่งขวดกระเบื้องสีดำให้ “เก็บติดตัวไว้ให้ดี มันจะมีประโยชน์ในช่วงเวลาสำคัญ”
“มันคืออะไร?” เขาถามพลางยกมันขึ้นเขย่าดู มีเสียงเหมือนมีของเหลวอยู่ภายใน
“เลือดข้าเอง ตอนนี้มันเป็นวิธีเดียวที่เรารู้ว่ามันต้านวิชาเชิดหุ่นได้ วิชาธรรมดาต้านวิชาเชิดหุ่นไม่ได้เลย อีกทั้งเจ้าหุ่นพวกนั้นจะฟันจะแทงก็ไม่เข้า ไม่เจ็บปวดไม่รู้จักเหนื่อย ไม่ว่าท่านจะแกร่งขนาดไหนหรือพวกมันจะไม่อาจโจมตีท่านได้ แต่มดทั้งฝูงก็ยังล้มช้างได้ เจ้าจำเอาไว้”
“พวกมันไม่เหน็ดเหนื่อย แต่ยามที่กำลังถดถอยลงก็ยังมี ท่านอย่าไปสู้กับมันตรง ๆ”
เขามองขวดน้อยในมือด้วยความฉงน “ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าเสียเลือดไปตั้งมากเพื่อหยุดพวกมัน แล้วขวดเล็กขนาดนี้…..”
เขาพูดไม่ทันจบชิงอวี่ก็รู้ว่าเขาหมายจะพูดอะไรแล้ว นางเงียบไป จากนั้นเอ่ยเสียงเบาขึ้น “เลือดนี้มาจากปลายหัวใจของข้า เลือดดวงใจจากสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด เพียงหยดหนึ่งก็มีพลังแกร่งกว่าเลือดธรรมดานับร้อยเท่า”
“นี่เจ้า…… ทำไมเจ้าโง่งมเช่นนี้ได้! ไม่รู้หรือว่ามันอันตราย? เจ้าลงมือทำเช่นนี้ได้อย่างไร!? หากเจ้าเกิดเรื่อง…..”
ชิงอวี่มองเขาด้วยนัยน์ตาจริงจัง “เขาจะต้องกลับมาล้างแค้นกับความอัปยศทุกครั้งแน่นอน ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ฉะนั้นเขากัดไม่ปล่อยแน่ ข้าไม่อยากให้ท่านต้องพบอันตรายเพราะข้า ไม่เคยต้องการให้ท่านเข้ามาพัวพันด้วย แต่มันก็เป็นไปแล้ว และเขาไม่มีทางปล่อยท่านไว้”
“ท่านจำคำข้าไว้ให้ดี หากพบเขาอย่าสู้ซึ่งหน้า ท่านอาจจะมีฝีมือสูงส่งจนน้อยคนบนแดนเมฆาสวรรค์จะสู้ไหว แต่ที่ดินแดนนี้ยังมีพลังที่ท่านไม่อาจรับมือได้อยู่ หนึ่งในนั้นก็คือวิชาเชิดหุ่นของเขา”
โหลวจวินเหยาหลุดจากภวังค์ หยิบขวดกระเบื้องสีดำออกมาช้า ๆ จากนั้นดึงจุกออก ปล่อยให้กลิ่นอายทรงพลังแผ่ออกไป หุ่นเชิดที่รุดหน้าเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดถอยออกไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัวราวกับพวกเจอสิ่งน่าผวา ไม่กล้าเข้าใกล้มาอีก
พวกมันอาจเป็นเพียงเพียงหุ่นเชิดระดับต่ำที่รับคำสั่งมา แต่ก็ยังสัมผัสถึงอันตรายได้โดยสัญชาตญาณจึงไม่กล้ารุดหน้าเข้ามา
ไม่นาน ในหัวของพวกมันก็มีน้ำเสียงชั่วร้ายที่สั่งการลงมาว่า “สังหารบุรุษผู้นั้น!”