บทที่ 237 ไพ่ใบสุดท้าย

บทที่ 237 ไพ่ใบสุดท้าย

พยัคฆ์ทะยานเมฆในเวลานี้ทั้งดุร้ายและรุนแรง เมื่อเผชิญอันตรายจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มันก็สับสนอย่างไม่อาจควบคุม ขณะที่สนใจเรื่องด้านหน้า ก็จะพบว่าถูกโจมตีจากทางด้านหลัง ตอนที่หันมองว่าใครเป็นคนลงมือโจมตี ก็กลับไม่พบร่องรอยของผู้ที่เล่นงานมัน ขณะที่อีกฝั่งด้านหน้าก็ฉวยโอกาสตอนนั้นเล่นงานมันอย่างหนัก

ดังนั้นหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พยัคฆ์ทะยานเมฆจึงตัดสินใจเมินเฉยต่อการมองหาผู้ลงมือทางด้านหลัง แต่เลือกที่จะมุ่งเน้นกำลังกับการกำจัดนักรบอสูรทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้า

และมันถือเป็นโอกาสอันดีให้อู๋ฝานได้ลงมือ!

อู๋ฝานสามารถใช้วิชาดำดินอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังหลอกล่อพยัคฆ์ทะยานเมฆ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้แก่นักรบอสูรทั้งห้าตน

ทว่าตอนนี้พยัคฆ์ทะยานเมฆกลับไม่คิดสนใจทางด้านหลัง ทำให้อู๋ฝานสบโอกาสลงมือโจมตีรุนแรงมากยิ่งขึ้น นักรบอสูรทั้งห้าโจมตีทางด้านหน้า ชายหนุ่มฉวยโอกาสลักลอบโจมตีจากทางด้านหลัง เพราะนักรบอสูรทั้งห้าเหล่านั้นเชื่อฟังคำสั่งของเขาอย่างสมบูรณ์ การประสานงานโจมตีทั้งสองฝั่งจึงได้ผลดีเยี่ยม

สถานการณ์ตอนนี้เป็นเหตุให้พยัคฆ์ทะยานเมฆไม่สบายเลยแม้แต่น้อย

ขณะที่สนใจแต่นักรบอสูรทั้งห้าทางด้านหน้า การโจมตีทางด้านหลังก็จะหนักหน่วงรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่หากมันหันกลับมามองหาผู้ลักลอบโจมตีจากทางด้านหลัง เช่นนั้นก็จะถูกนักรบอสูรเล่นงานอย่างหนักหนา

หากเทียบเปรียบกับกลุ่มคนทางด้านหลัง ก็เห็นได้ชัดว่านักรบอสูรทั้งห้าตรงหน้าเป็นเป้าหมายที่เห็นชัดและจัดการได้ง่ายกว่า ทว่านักรบอสูรทั้งห้าเหล่านี้ไม่มีแนวคิดเรื่องความเจ็บปวดและความหวาดกลัว แม้ว่าพวกมันจะถูกส่งร่างกระเด็นกลางอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า พวกมันก็พร้อมที่จะลุกขึ้นในเวลาอันแสนนั้น ประหนึ่งไม่เจ็บไม่คันเลยแม้แต่น้อยนิด

เรื่องนี้ทำให้พยัคฆ์ทะยานเมฆยิ่งหงุดหงิด ทว่ามันไม่อาจทำอะไรได้ เห็นได้ชัดว่าการเล่นงานนักรบอสูรทั้งห้า ไม่อาจถ่วงเวลาให้พวกมันเว้นระยะการโจมตีได้ นักรบอสูรทั้งห้ายังคงปิดล้อมลงมืออย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้พยัคฆ์ทะยานเมฆหมดแรงที่จะรับมือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะถูกโจมตีจากไม่ด้านหลังก็ด้านหน้า

อู๋ฝานค่อนข้างพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้ ภายใต้การบัญชาการของตัวเขา นักรบอสูรทั้งห้าร่วมมือได้ด้วยดีทั้งยังไร้ข้อบกพร่อง ชายหนุ่มฉวยโอกาสโจมตีตอนที่พวกมันจะเล่นงานพยัคฆ์ทะยานเมฆจนหมดเรี่ยวแรง และยังคงทำเช่นนั้นวนซ้ำไปเรื่อย ๆ

ทว่าสถานการณ์ดังกล่าวดำเนินอยู่ได้ไม่นาน หลังผ่านพ้นห้านาที นักรบอสูรทั้งห้าก็กลายเป็นควันสีเขียวเลือนหาย เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งอู๋ฝานและพยัคฆ์ทะยานเมฆต่างชะงักงัน เพียงแต่เป็นการชะงักงันด้วยความรู้สึกที่ต่างกันออกไป

อู๋ฝานกำลังคิดว่าหากไร้ผู้สนับสนุนช่วยเหลือ ลำพังแค่ตนเองคิดจัดการศัตรูก็คงเป็นเรื่องยาก

ส่วนทางด้านพยัคฆ์ทะยานเมฆ มันคิดว่าในที่สุดศัตรูที่น่ารำคาญก็เลือนหายไปได้เสียที ขณะนี้จึงเกิดรู้สึกสบายใจมากขึ้น ที่ไม่ได้โดนสองฝ่ายกระหนาบโจมตีทั้งจากด้านหน้าและด้านหลังอยู่ตลอดเวลา

แน่นอนว่าในช่วงห้านาทีที่ได้รับมานั้น อู๋ฝานและนักรบอสูรทั้งห้าก็ไม่ได้ทำอะไรให้สูญเปล่า แท้จริงแล้วด้วยความร่วมมือที่สอดประสาทกันของพวกเขา ได้สร้างความเสียหายใหญ่ให้แก่พยัคฆ์ทะยานเมฆ พยัคฆ์ทะยานเมฆนั้นเดิมก็ถูกสัตว์ทรายสีชาดที่เพิ่งตกตายไปเล่นงานจนบาดเจ็บมาระดับหนึ่งแล้ว ขณะนี้อาการบาดเจ็บระดับหนึ่งเดิมของมัน ได้กลับกลายเป็นอาการบาดเจ็บที่ค่อนข้างหนักหนารุนแรงแล้ว

เผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจึงเกิดรู้สึกมีเรี่ยวแรงกันขึ้นมา

พยัคฆ์ทะยานเมฆรู้สึกว่าเมื่อศัตรูที่น่ารำคาญห้าตัวเลือนหายไป มันก็จะสามารถจัดการกับผู้ลักลอบโจมตีทางด้านหลังได้โดยสงบใจ ต่อให้ต้องบาดเจ็บอีกสักระดับหนึ่งตอนนี้ มันก็ยังมีโอกาสได้จัดการกับผู้ลักลอบลงมือ

แต่อู๋ฝานมองว่าอาการบาดเจ็บสาหัสของพยัคฆ์ทะยานเมฆนี้ หากว่าตนพยายามอีกสักหน่อย ก็สมควรสังหารมันจนตายได้

ทั้งสองฝ่ายต่างเล็งเห็นความหวังในตัวเอง ความคิดไม่ยอมแพ้ย่อมผุดปรากฏขึ้น โดยเฉพาะกับอู๋ฝาน หากตอนนี้เขายอมแพ้ถอนตัวขึ้นมา พวกหนิวเอ้อจะไม่มีทางหนีรอดพ้นไปจากการไล่ล่าของพยัคฆ์ทะยานเมฆได้

ดังนั้นเขาจึงมีแต่ต้องสู้จนสุดทาง

อู๋ฝานในเวลานี้ก็เหมือนตัวตุ่น ที่คอยปรากฏจากทั่วทิศทางรอบด้านของพยัคฆ์ทะยานเมฆ เพื่อลงมือโจมตีมัน

ขณะที่พยัคฆ์ทะยานเมฆก็สมกับเป็นมอนสเตอร์เลเวลห้าสิบ สติปัญญาของมันเฉียบแหลมกว่ามอนสเตอร์ทั่วไป ดังนั้นจึงทราบว่าอู๋ฝานจะต้องปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้มันยืนนิ่งที่ใจกลาง เพื่อคอยตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ตอนที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมา ฉับพลันนั้นมันก็พร้อมที่จะลงมือโจมตีเล่นงานอีกฝ่ายแล้ว

ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังขันแข่งประชันความสามารถกัน

ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าอู๋ฝานที่เลเวลเพียงแค่ห้า ย่อมตอบสนองเชื่องช้ากว่าเป็นธรรมดา

ถ้าอู๋ฝานเลเวลสูงกว่านี้สักหน่อย เขาอาจจะสามารถประชันกับพยัคฆ์ทะยานเมฆได้ ทว่าตัวเขาที่เลเวลเพียงแค่ห้า เรียกได้ว่าเป็นเลเวลอันต่ำเตี้ย มันทำให้ค่าสถานะโดยรวมของตัวเขาด้อยกว่าพยัคฆ์ทะยานเมฆ

อีกทั้งที่นี่คือโลกแห่งเกม เพราะเผชิญการสะกดทางเลเวล เลเวลสูงกว่าที่เผชิญหน้าเลเวลต่ำกว่าย่อมสามารถสะกดกำลังอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างไร้ข้อกังขา เป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถที่จะรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดทุ่มไปกับการโจมตีได้ ส่วนว่าจะสะกดไว้ได้เพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับระยะห่างความต่างระหว่างทั้งสองฝ่าย

ความต่างทางเลเวลระหว่างอู๋ฝานและพยัคฆ์ทะยานเมฆมีมากจนเกินไป ดังนั้นความแข็งแกร่งของชายหนุ่มจึงถูกสยบเอาไว้พอสมควร ทำให้การตอบสนองเคลื่อนไหวช้ากว่าที่ควรเป็น

“ตึง!”

ตอนที่อู๋ฝานปรากฏตัวขึ้นจากพื้น พยัคฆ์ทะยานเมฆที่ยืนเฉยรออยู่ก่อนแล้ว พลันตวัดหางของมันเป็นแนวนอน ฟาดเข้าใส่อู๋ฝานอย่างแม่นยำ ทำให้ร่างของเขาต้องกระเด็นลิ่วออกไป

ตอนนี้พยัคฆ์ทะยานเมฆได้เห็นแล้วว่าใครกันที่โจมตีเล่นงานมัน ดังนั้นมันย่อมไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายรอดพ้นไปโดยง่าย ก่อนที่อู๋ฝานจะตกกระแทกพื้น มันพุ่งทะยานเข้าหา หมายสังหารเขาให้ตายขณะยังลอยลิ่วกลางอากาศ มันคือโอกาสที่สัตว์ร้ายจะโจมตีที่อู๋ฝานที่ยังไม่ได้ตั้งตัวได้ เพราะมันทราบดีว่า ถ้าชายหนุ่มสามารถเท้าแตะพื้นได้อีกครั้ง เขาจะมุดดำหนีหายไป ประหนึ่งหนูมุดรูได้อีกครั้ง หากเป็นเช่นที่ว่า การที่มันจะสังหารอีกฝ่ายได้นั้นจะยิ่งเสียเวลามากขึ้น

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว อู๋ฝานก็แตกตื่นตกใจ ตนในเวลานี้ยังคงลอยลิ่วอยู่กลางอากาศ เมื่อครู่ก็เพิ่งถูกพยัคฆ์ทะยานเมฆฟาดจนตัวกระเด็น ตอนนี้ร่างยังไม่ทันได้แตะพื้น ขณะนี้เขาอยู่ในตำแหน่งและสถานการณ์ที่แทบจะไม่สามารถหลบเลี่ยงได้

หากโดนพยัคฆ์ทะยานเมฆเล่นงาน อาการบาดเจ็บของอู๋ฝานจะยิ่งหนักหนารุนแรง ถึงเวลานั้นต่อให้เขาสามารถมุดดินได้อีกครั้ง ก็อาจไม่สามารถลงมือโจมตีพยัคฆ์ทะยานเมฆได้ เพราะมันทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น มันจึงไม่คิดเปิดโอกาสให้เขาลงมือ

ดังนั้นแล้ว ครั้งนี้อู๋ฝานจึงมีแต่ต้องใช้ไพ่ใบสุดท้าย

อู๋ฝานที่ร่างลอยลิ่วในอากาศ ในตอนนั้นเองเขาก็นำป้ายไม้อีกอันหนึ่งออกมา ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเรียกนักรบอสูร แต่เป็นการเรียกรถหุ้มเกราะ

รถหุ้มเกราะนั้นเป็นวัตถุที่ไม่มีทางปรากฏขึ้นในยุคสมัยของโลกฝั่งนี้ ทว่ามันสามารถปรากฏขึ้นผ่านป้ายพาหนะของอู๋ฝานได้ เพราะคำอธิบายของป้ายพาหนะได้ระบุเอาไว้ว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นพาหนะอะไรก็ได้ เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตหรือว่ารถหุ้มเกราะ ทั้งหมดก็ยังคงถูกจำกัดความอยู่ในหมวดหมู่พาหนะทั้งสิ้น อย่างไรแล้วมันก็เป็นสิ่งที่คนสามารถใช้ควบคุมขับขี่ เพียงแต่อาจจะมีความแตกต่างทางสภาพแวดล้อมไปบ้าง

การปรากฏอย่างกะทันหันของรถหุ้มเกราะ เห็นได้ชัดว่ามากเกินกว่าที่พยัคฆ์ทะยานเมฆจะนึกถึง วัตถุชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศ แม้แบบนั้นมันก็ไม่คิดใส่ใจ ยังคงมุ่งตรงหมายเล่นงานอู๋ฝานให้ตกตาย อู๋ฝานใช้โอกาสที่มีขณะร่วงหล่นจากอากาศ เข้าไปโดยสารด้านในรถหุ้มเกราะอย่างราบรื่น

“คงต้องแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของอาวุธยุคใหม่กันหน่อยแล้ว” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเองขณะบังคับควบคุมรถหุ้มเกราะ