ตอนที่ 171 คําสาปโลหิตสังหาร
สายตาที่กว้างไกลของมู่ก็มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขายังอยู่ห่างเกินไป ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนบทเรียนที่ยากจะลืมในชีวิตให้กับศัตรูแน่นอน ด้วยยันต์สายฟ้า และสภาพอากาศที่แปรปรวนเช่นนี้พลังของสายฟ้าที่เกิดขึ้นคงเพิ่มเป็น 2 เท่า
พื้นที่บริเวณนี้นั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลกมากมายเมื่อรวมกับพลังของยันต์สายฟ้าของมู่อี้ แม้ว่าศัตรูในตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นชวีหยาง แต่เขาก็เชื่อว่าตนเองจะสามารถเอาชนะได้ไม่ยากเลย
น่าเสียดายที่ก้อนเมฆดําแปรปรวนอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้นและหายไปทันที แต่ถึงอย่างนั้นแล้วสิ่งที่ได้เห็นก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของทุกๆคน
ม่อี้และต้าหนิวเดินเข้าไปใกล้เนินดินมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็เดินมาถึงเนินดินแล้วและคนของศาลาแปดทิศต่างก็ยังคงยืนนิ่งอยู่เป็นระเบียบ
“ฆ่ามัน!”
เมื่อเสียงตะโกนดังขึ้นปรมาจารย์ทั้งสองคนก็นําทัพบุกเข้ามาทันทีและชายชุดดําจํานวนมากที่อยู่ด้านหลังของทั้งสองคนนั้นก็เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน จนดูเหมือนกับคลื่นสีดําขนาดใหญ่ที่กําลังถาโถมเข้ามาในตอนนี้
“โฮก!”
ก่อนมู่จะได้ออกคําสั่งนั้น ต้าหนิวก็โยนกระเป๋าขนาดใหญ่ลงบนพื้นจากนั้นสายตาของมันก็จ้องมองตรงไปข้างหน้า พร้อมคํารามออกมาและกระโดดเท้าเปล่าออกไปปะทะคลื่นมนุษย์สีดํานั้นทันที
“ตู้ม!”
ในพริบตาทั้งสองฝ่ายก็ปะทะเข้าหากันเสียงที่เกิดขึ้นนั้นดังสนั่น ราวกับฟ้าร้องและมีชายชุดดําจํานวนมากที่กระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า ตาหนิวเป็นเหมือนกับรถถังที่พร้อมบดขยี้คลื่นมนุษย์สีดําที่ถาโถมเข้ามา
ปรมาจารย์ทั้งสองคนที่เป็นผู้นําร่วมมือกันเพื่อเอาชนะต้าหนิวและชายชุดดําคนอื่นๆต่างก็รีบถอยห่างออกไปทันที ศีลธรรมและความถูกต้องในใจของพวกเขาต่างก็โยนทิ้งไปแล้ว ในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายมีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นนั่นคือสังหารศัตรู
ม่อี้ไม่ได้เข้าไปร่วมด้วยเพียงแค่เฝ้ามองตาหนิวเงียบๆเท่านั้น คนเหล่านี้สามารถตรึงตาหนิวให้หยุดนิ่งได้แต่หลังจากตาหนิวระเบิดพลังของมันออกมา ก็ไม่มีใครสามารถหยุดมันได้อีก แม้แต่ปรมาจารย์ทั้งสองคนที่เป็นคนนําทัพก็ไม่สามารถทําอะไรพลังป้องกันของตาหนิวได้เลย
“ฆ่ามัน!”
มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และจากนั้นเขาก็เห็นว่าปรมาจารย์ของศาลาแปดทิศ อีก 2 คนที่เหลือต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว และคลื่นมนุษย์สีดําจํานวนมากก็กําลังตรงเข้ามาหาลู่อี้
เมื่อถึงตอนนี้มีเพียงรถม้าสีดําเท่านั้นที่ยังคงอยู่บนเนินดินและจอดอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เมื่อเห็นผู้คนจํานวนมากที่กําลังบุกเข้ามาหาเขา จิตสังหารของมู่ลี่ก็ระเบิดขึ้นมาทันทีจากนั้นเขาก็สะบัดมือ ของตนเองออกไ
ในตอนที่ม่อี้สะบัดมือออกไปนั้นแสงสีขาวทั้ง 6 เส้นก็พุ่งออกไปจากมือของเขาทันทีและตรงไปที่ชายชุดดํา 6 คนที่อยู่แถวหน้าสุด
ตั้งแต่มู่อได้ก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจนั้นพลังของยันต์ปราบปีศาจก็เพิ่มขึ้นมาสูงมาก แม้ว่าจะมีศัตรูบางคนที่เขาไม่อาจสังหารได้ในครั้งเดียวแต่อย่างน้อยก็ทําให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ
“ปัง ปัง!”
เสียงของการกระแทกอย่างรุนแรงเกิดขึ้นมาพร้อมเพรียงกันและจากนั้นชายชุดดําทั้ง 6 คนที่อยู่แถวหน้าสุดก็กระเด็นออกไปกระแทกกับคนที่อยู่ด้านหลังทําให้การบุกเข้ามานั้นเกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที
ผู้คนที่เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ต่างก็รู้สึกตกตะลึง
“ผู้บ่มเพาะพลังแห่งจิตใจ!”
นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
แม้ว่าในยุทธภพแห่งนี้จะมีผู้บ่มเพาะพลังแห่งจิตใจจํานวนไม่มากนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นด้วยตาของตนเอง
แม้ว่ามู่อี้จะแต่งกายด้วยชุดของนักพรตเต๋า แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะพลังแห่งจิตใจ เหตุผลก็คืออายุของเขาดูเหมือนจะน้อยเกินไป และส่วนใหญ่แล้วนักพรตเต๋าหรือนักบวชที่ก้าวเข้าสู่ยุทธภพ มักจะบ่มเพาะศิลปะการต่อสู้ หรือไม่ก็เคล็ดวิชาต่างๆ เพราะพวกเขาต่างก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในด้านความอดทน
นอกจากนี้แล้วมู่ลี้ยังไม่เคยแสดงพลังแห่งจิตใจของเขาออกมาให้เห็นชัดๆเลย นั่นจึงทําให้ทุกๆคนคิดว่าเขาเป็นเพียงจอมยุทธคนหนึ่งเท่านั้น จนกระทั่งตอนนี้เมื่อผู้คนได้รับรู้ว่าเขาคือผู้บ่มเพาะพลังแห่งจิตใจคนหนึ่ง จึงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
เพียงแค่มู่อี้สะบัดมือออกไปก็ทําให้คนของศาลาแปดทิศต้องกระเด็นไปอย่างรุนแรงแม้จะอยู่ระยะไกลก็ตาม พลังที่เขาแสดงออกมานั้นทําให้ทุกๆคนต้องสูดหายใจเข้าโดยไม่รู้ตัว
ปรมาจารย์ทั้งสองคนของศาลาแปดทิศนั้นก็หันมามองหน้ากัน และพุ่งเข้ามาโจมตีงูอี้ในทิศทางที่แตกต่างกัน
ม่อี้ไม่สนใจพวกเขาทั้งสองคนแต่การจะเอาชนะศัตรูจํานวนมากนั้นสิ่งแรกที่ต้องทําก็คือการสังหารหัวหน้าของศัตรูให้ได้ก่อน เมื่อปรมาจารย์ทั้งสองคนเริ่มโจมตีนั้นกลุ่มชายชุดดําก็แยกตัวออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆก่อนหน้านี้ก็มีคนที่ต้องตายไปเพราะยันต์ปราบปีศาจ 20 ถึง 30 คนแล้ว
ปรมาจารย์ทั้งสองคนมีสีหน้าที่ดูโกรธแค้นเมื่อดาบในมือของเขาฟันเข้ามา มู่อี้ก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ความเร็วของเขาไม่ได้ถือว่ารวดเร็วเลยแต่ก็สามารถหลบการโจมตีของปรมาจารย์ทั้ง 2 คนได้
ด้านหลังของเขานั้นมีชายชุดดําหลายคนที่ฉวยโอกาสนี้โจมตีเข้ามา แต่ก่อนที่อาวุธของพวกเขาจะสัมผัสกับร่างกายของมู่อี้ได้นั้นพวกเขาก็ต้องกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฟบ!”
ในขณะเดียวกันก็มีชายชุดดําหลายคนที่ยกหน้าไม้ของตัวเองขึ้นมาและยิงลูกธนูเข้ามาใส่มู่ทันที
ครั้งนี้ม่อี้ฟาดต้นไผ่แห่งชีวิตในมือของเขาออกไป และก่อนที่ลูกธนูเหล่านั้นจะสัมผัสร่างกายของเขาได้นั่นมันก็ถูกฟาดกระเด็นกลับไปหาชายชุดดําคนอื่นๆที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ทันที
สีหน้าของปรมาจารย์ทั้งสองคนเต็มไปด้วยความโกรธ และพวกเขาพยายามใช้กลยุทธ์และเคล็ดวิชาของตนเองออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไรมู่ก็ยังสามารถหลบได้อย่างง่ายดาย
ม่อี้ไม่ได้ตื่นตระหนก สีหน้าที่ดูสงบนิ่งของเขาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย เขาถือต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในมือ และเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนมากนัก
“อึ้ง!”
เมื่อเสียงแหลมดังขึ้นมานั้นดาบขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือของปรมาจารย์คนหนึ่งก็กระเด็นออกไปทันที เหลือไว้เพียงสีหน้าที่ดูหวาดกลัวของเขาเท่านั้น
ข้อมือของมู่อี้สะบัดออกไปอีกครั้งและต้นไผ่แห่งชีวิตก็โจมตีไปที่ข้อมือของปรมาจารย์คนนั้นทันที จนทําให้ดาบขนาดใหญ่ของเขาก็กระเด็นไปปักอยู่บนพื้น
ในขณะเดียวกันนั้นมู่อี้ก็ยกมือซ้ายของเขาขึ้นมาและแสงสีขาวของยันต์ปราบปีศาจก็พุ่งออกไปโจมตีปรมาจารย์อีกคนหนึ่ง สายตาของปรมาจารย์คนนั้นหรี่ลง ดาบในมือของเขาเคลื่อนตัวอย่างพริ้วไหวและทําลายแสงสี ขาที่พุ่งเข้ามาหาตัวเองทันที
เมื่อแสงสีขาวหายไปนั้น เขาก็ต้องก้าวถอยหลังไป 2 ก้าวเพราะแรงกระแทกที่ได้รับมา
มู่อี้ใช้ต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือราวกับดาบเล่มหนึ่ง ที่มแทงและฟาดฟันออกไปที่หน้าอกของปรมาจารย์ที่ดาบหลุดมือผู้นั้นทันที ดวงตาของปรมาจารย์ผู้นั้นเบิกกว้างขึ้นแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความตายของเขาในตอนนี้ได้เลย
“ผู้อาวุโสห้า!”
ปรมาจารย์อีกคนก็ตะโกนออกมาพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามาหามู่อื้อย่างบ้าคลั่ง
ม่อี้สะบัดมือขวาของเขาและต้นไผ่แห่งชีวิตก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู แต่ต้นไผ่แห่งชีวิตก็ยังคงดูโปร่งแสงเหมือนดังเดิม
หลังจากนั้นต้นไผ่แห่งชีวิตก็สว่างวาบขึ้นมาในอากาศและพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
การโจมตีครั้งนี้ม่อี้ไม่ได้ลงมือใดๆเลย
แม้ว่าปรมาจารย์คนนั้นจะบ้าคลั่งแต่ก็ไม่ได้เสียจิตใจของเขาไป เมื่อเห็นว่าต้นไผ่แห่งชีวิตพุ่งเข้ามาหาตนเองนั้นเขาก็ไม่กล้ารับการโจมตีครั้งนี้ และยกดาบของตัวเองขึ้นมาป้องกันทันที
“ปัง!”
ต้นไผ่แห่งชีวิตปะทะเข้ากับดาบขนาดใหญ่ แม้ว่าดาบเล่มนี้จะสร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้าแต่มันก็ไม่สามารถหยุดความเร็วของต้นไผ่แห่งชีวิตที่พุ่งเข้ามาได้เลย
“ฉีก!”
ต้นไผ่แห่งชีวิตพุ่งทะลุดาบเหล็กกล้าไปและปักเข้าไปยังศีรษะของปรมาจารย์คนนั้นจนศีรษะของเขาระเบิดออกมาทันที สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทําให้ชายชุดดําคนอื่นๆที่กําลังบุกเข้ามาต่างก็รู้สึกตกตะลึงและความเร็วของพวกเขาก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ความจริงแล้วจะโทษความหวาดกลัวของพวกเขาก็ไม่ได้ นั่นเป็นเพราะมู่อื่น่าสะพรึงกลัวมากเกินไป ในช่วงเวลาสั้นๆเขาสามารถสังหารปรมาจารย์ทั้งสองคนและชายชุดดําไม่น้อยกว่า 20 ถึง 30 คนโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย
สนามรบอีกทางด้านหนึ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก แม้ว่าในตอนแรกตาหนิวจะดูเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนั้นร่างกายที่คงกระพันของมันก็ทําให้ศัตรูรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที โดยเฉพาะพลังอันมหาศลของ ต้าหนิว ผู้ที่โดนมันโจมตีเข้าไปนั้นถ้าหากไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ทุกๆคนที่ล้อมรอบมันเอาไว้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ หนึ่งในสองปรมาจารย์ของ ศาลาแปดทิศที่บุกเข้ามาสังหารมันนั้นได้ตายไปแล้วและจํานวนชายชุดดําก็ลดลงไปมากกว่าครึ่ง แต่วิธีการต่อสู้ อย่างตรงไปตรงมาด้วยพละกําลังอันมหาศาลของมันนั้นไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องรู้สึกชื่นชมกับความกล้าหาญ ของมันและรู้สึกตกตะลึงกับร่างกายที่คงกระพันของมัน
ดังนั้นไม่ว่าตาหนิวจะเชื่องช้ามากเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าขวางทางมันได้แน่นอน
ทันทีที่ปรมาจารย์ทั้งสองคนเสียชีวิตไปนั้นกลุ่มคนที่เหลือก็เหมือนกับมังกรไร้หัว นอกจากนี้จิตวิญญาณของพวกเขาดูเหมือนะแตกสลายไปแล้วและความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาครอบคุมจิตใจ เดิมทีพวกเขาก็ไม่ใช่ศัต รูของมู่อื้อยู่แล้ว ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจชายชุดดําคนสุดท้ายที่พยายามหลบหนีก็ถูกสังหารไปอย่งรวดเร็วด้วย ยันต์ปราบปีศาจของมู่ลี้
มาถึงตอนนี้กลุ่มชายชุดดําที่พุ่งเข้ามาสังหารมู่อี้ก่อนหน้านี้ถือว่าพ่ายแพ้ราบคาบ
ผู้คนที่เฝ้ามองจากระยะไกลๆนั้นต่างก็เงียบอยู่เป็นเวลานาน ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะสูดหายใจแรงๆ สีหน้าของพวกเขาซีดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และสายตาก็แสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน
แม้ว่าจะมีหลายคนที่คิดไว้แล้วว่าม่อี้จะต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน เพราะถ้าหากเขาไม่มีพลังคงไม่สามารถสังหารปรมาจารย์ทั้ง 3 คนของศาลาแปดทิศไปก่อนหน้านี้ได้ แต่ในตอนนั้นพวกเขาไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และคิดว่าแม้มู่จะเอาชนะมาได้แต่ก็คงเป็นชัยชนะที่ยากลําบาก
แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้พวกเขาก็รู้ทันทีว่าตนเองคิดผิดมาโดยตลอด มีหลายคนที่รู้สึกดีใจมาก ที่ตนเองไม่ไปเข้าร่วมกับศาลาแปดทิศ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงต้องเป็นหนึ่งในคนที่ตายไปแน่นอน
ไม่นานหลังจากนั้นสนามรบในฝั่งตาหนิวก็จบลงด้วยเช่นกัน ทุกๆคนตายด้วยมือของตาหนิวไม่มีใครรอดไปได้
ก้อนเมฆเหนือศีรษะเริ่มคล้อยต่ําลงมา และบรรยากาศที่อยู่รอบๆก็มืดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ศพมนุษย์จํานวนมากที่เกลื่อนกลาดอยู่บนเนินดินแห่งนี้ทําให้ผู้ที่ได้เห็นต้องรู้สึกหวาดกลัว
ศาลาแปดทิศคงกลายเป็นเพียงชื่อในประวัติศาสตร์ไปแล้ว
นี่คือความคิดที่อยู่ในใจของทุกๆคน แม้ว่าประมุขของศาลาแปดทิศจะไม่ได้อยู่ต่อหน้าทุกๆคนแต่ปรมาจารย์ทั้ง 7 คนของศาลาแปดทิศต่างก็เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้ศาลาแปดทิศเหลืออยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
ไม่สิ ไม่มีใครเหลืออยู่เลยต่างหาก!
ผู้คนจํานวนมากอดนึกถึงประมุขผู้ลึกลับของศาลาแปดทิศขึ้นมาไม่ได้ เพราะจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
ในตอนนี้สายตาของทุกๆคนต่างก็จ้องมองไปที่รถม้าสีดําที่จอดอยู่บนจุดสูงสุดของเนินดิน
การที่ประมุขของศาลาแปดทิศยังไม่ปรากฏตัวออกมานั้นหลายๆคนก็เริ่มคิดหาสาเหตุแล้ว เขาสามารถเฝ้ามองพี่น้องของตนเองตายไปทีละคนจนหมด ถ้าหากไม่ใช่คนใจหินก็ต้องเป็นคนที่มั่นใจในพลังของตนเองมากแน่นอน
“หรือว่าเขาจะหนีไปแล้ว?”
ความคิดเช่นนี้เริ่มปรากฏขึ้นในใจของทุกๆคน
แต่มู่อี้ก็รู้ดีว่าประมุขของศาลาแปดทิศนั้นยังคงอยู่ภายในรถม้าสีดําคันนั้น
ส่วนเหตุผลที่ทําให้อีกฝ่ายยังไม่ออกมานั้นมู่อี้ก็ไม่อาจรับรู้ได้ หรือว่าอีกฝ่ายต้องการประลองกับเขาแบบตัวต่อตัวอย่างยุติธรรม?
ม่อี้ส่ายศีรษะ เหตุผลคงไม่ได้เป็นเช่นนี้แน่นอน
ทันใดนั้นหัวใจของมู่อี้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที เขามองไปที่ศพจํานวนมากที่อยู่บนพื้น เพราะเขากําลังต่อสู้อยู่ก่อนหน้านี้จึงไม่ได้สนใจศพพวกนี้เลย แต่ในตอนนี้ความรู้สึกที่เลวร้ายก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของศพเหล่านี้ผอมบางลงไปเรื่อยๆและแม้แต่เลือดที่ไหลออกมาบนพื้นนั้นก็ไม่มากเหมือนที่เขาคิดเอาไว้ ในตอนแรกม่อี้ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีความลับอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่
พลังแห่งจิตใจของมู่กระจายออกไปทันที ทันใดนั้นเขาก็ได้ “เห็น” คราบเลือดสีแดงฉานที่ส่องประกายไป ทั่วบริเวณนี้จนทําให้หัวใจของเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทีและความมั่นใจของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ม่อี้ตกตะลึงอยู่เพียงครู่เดียวจากนั้นก็รีบหันไปหาตาหนิวและตะโกนออกมาว่า “ถอย!”
“สายไปแล้ว!”
ในขณะที่มู่อี้ตะโกนออกมานั้น เขาก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาดังก้องขึ้นมาในจิตใจของเขาเห็นได้ชัดว่ามันคือพลังแห่งจิตใจของศัตรู
“คําสาปโลหิตสังหาร!”