ตอนที่ 170 จิตสังหารที่หนาแน่น

*** ขอแก้ไขชื่อจาก ศาลาแปดเหลี่ยม เป็น ศาลาแปดทิศ นะครับ ***

“ตุ้ม!”

เมื่อเสียงดังเกิดขึ้นมานั้นศีรษะของถั่วชิงก็โดนฝ่ามือขนาดใหญ่ฟาดอย่างรุนแรงและแตกกระจายไปทันที คนของศาลาแปดทิศที่อยู่รอบๆต่างก็ได้เห็นด้วยตาของตัวเองและทุกคนต่างก็ตกตะลึง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ

ก่อนหน้านี้หัวหน้าของตนเองยังเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าอยู่เลย แม้ว่าเขาจะไม่อาจสังหารเจ้ายักษ์ตนนี้ได้แต่พวกเขาก็ยังเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่ไม่ใช่หรือ ทําไมสถานการณ์ถึงเปลี่ยนไปรวดเร็วเช่นนี้? ในพริบตา หัวหน้าของพวกเขาก็ถูกฟาดจนถึงแก่ความตายแล้ว?

ผู้คนที่กําลังจับตามองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่วงนอกนั้นไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถั่วชิงเป็นฝ่ายโจมตีก่อนหน้านี้แต่เขาก็หยุดชะงักไปทันทีและโดนฝ่ามือของด้าหนิวโจมตีเข้าให้

ในตอนนี้มู่อี้ที่สมควรตายไปในทะเลเพลิงก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ยังไม่ตายเท่านั้นแต่เขายังยืนอยู่ ข้างๆร้านน้ําชาโดยไม่รับบาดเจ็บใดๆ

“ล้างแค้นให้ท่านหัวหน้า!”

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่ตะโกนออกมาเช่นนี้และคนที่เหลือของศาลาแปดทิศต่างก็พุ่งเข้ามาโจมตีตาหนิวทันที สิ่งที่มองเห็นได้ในตอนนี้ก็คือพวกเขาทุกคนไม่หวาดกลัวต่อความตายอีกต่อไป

ต้าหนิวก็ดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม มันไม่ได้หลบหรือถอยหนีคมดาบจํานวนมากที่ฟันลงมาบนร่างกายของมัน เลยและฝ่ามือของมันก็ฟาดออกไปอยู่ตลอดเวลา ทําให้ร่างของชายชุดดํากระเด็นออกไปอย่างรุนแรงที่ละคน

ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่รอบนอกนั้นต่างก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่เฝ้ามองอยู่เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกๆคนต่างก็ถูกเจ้ายักษ์ตนนั้นสังหารไปอย่างโหดเหี้ยม

เมื่อคิดเช่นนี้พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น และในขณะเดียวกันหลายๆคนก็รู้ดีว่าสถานการณ์กําลังเลวร้ายลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ศาลาแปดทิศไม่ใช่คนกลุ่มเล็กๆ พวกเขาถือว่าแข็งแกร่งและมีชื่อเสียงไม่น้อยเลย แม้แต่พวกขุนนางท้องถิ่นก็ยังไม่กล้าทําอะไรพวกเขา

วันนี้ปรามาจารย์คนหนึ่งของศาลาแปดทิศและยอดฝีมืออีก 10 กว่าคนต้องมาตายลงที่นี่ ไม่ต้องเดาเลยว่า ศาลาแปดทิศจะรู้สึกโกรธแค้นมากเพียงใด

แต่หลี่เหล่าฉือที่อยู่ในกลุ่มคนนั้นกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ตั้งแต่ต้นจนจบมู่อี้เฝ้ามองตาหนิวสังหารทุกๆคนด้วยสีหน้าเฉยเมย สีหน้าของเขาสงบนิ่งราวกับแอ่งน้ําที่ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ

แม้ว่ามู่อี้จะไม่คิดว่าศาลาแปดทิศเป็นภัยคุกคามสําหรับเขา แต่เขาก็ยังตั้งใจฟังข้อมูลที่หลี่เหล่าฉือสอบถามมา

กั่วชิงเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ทั้ง 8 คนของศาลาแปดทิศแต่ถ้าเทียบเป็นระดับแล้วก็ถือว่าเป็นชนชั้นกลางในศาลาแปดทิศเท่านั้น ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาอีกหลายคน ส่วนคนเหล่านั้นมีชื่อว่าอะไรและหน้าตาเป็นเช่นไรนั้นหลี่เหล่าฉือไม่สามารถหาข้อมูลตรงนี้มาได้ แต่เขาก็ได้ข้อมูลมาว่าผู้ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของศาลาแปดทิศนั้นปรากฏตัวให้เห็นในยุทธภพน้อยมาก

“ที่นี่ยังห่างจากเมืองไคเฟิงอีก 2 วันใช่ไหม?” มู่อี้ถามขึ้นมาหลังจากได้ฟังข้อมูลต่างๆจากหลี่เหล่าลือ

“ใช่ขอรับ พวกเรายังต้องใช้เวลาอย่างมากที่สุดก็ 2 วันเพื่อเดินทางไปยังเมืองไคเฟิงขอรับ” หลี่เหล่าฉือตอบกลับมาอย่างซื่อสัตย์

“อย่างนั้นแล้วตอนนี้เจ้าก็กลับไปที่เมืองลั่วหยางเถอะ”

“ท่านนักพรตเต๋า!” หลี่เฉียจือจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูตกตะลึงและเขาไม่คิดเลยว่ามู่อจะสั่งให้เขากลับไปเช่นนี้

“แม้ว่าศาลาแปดทิศจะไม่ใช่ศัตรูของข้า แต่ก็ยากที่จะยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่โจมตีอย่างกะทันหันและมันอาจทําให้เจ้าต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้เลย แม้ว่าข้าจะสามารถปกป้องเจ้าระหว่างที่เราเดินทางไปยังเมืองคเฟิงได้ แต่ก็ยากยิ่งนักที่เจ้าจะกลับไปยังเมืองลั่วหยางด้วยตัวคนเดียวได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือแยกทางตั้งแต่ต รงนี้เถอะ” มู่ลี่พูดออกมาตามตรง

“ท่านนักพรตเต๋า ข้าไม่กลัวขอรับ” หลี่เฉียจอพูดออกมาอย่างซื่อสัตย์ และคนที่ซื่อสัตย์อย่างเขาถือว่าหาได้ยากยิ่งนัก

“มันไม่เกี่ยวว่าเจ้าจะรู้สึกกลัวหรือไม่ เจ้าไม่คิดถึงครอบครัวของตัวเองเลยหรือไง? หากเจ้าตายไปใครจะเป็นคนดูแลพวกเขา?” มู่อี้ส่ายศีรษะทันที

“ข้า ..” เมื่อได้ยินคําพูดของมู่หลี่เหล่าลือก็เงียบไปทันที แม้ว่าเขาจะไม่หวาดกลัวต่อความตายแต่ก็เหมือนกับที่มู่อได้พูดเอาไว้ ถ้าหากเขาตายไปใครจะมาดูแลครอบครัวของเขา?

“เช่นนั้นแล้วเจ้าก็รับเงินนี้ไปเถอะ หลังจากกลับบ้านไปแล้วก็ทําธุรกิจเล็กๆขึ้นมา ไม่ต้องออกเดินทางไปไหนอีกแล้ว” มู่อี้พูดพร้อมกับยื่นตั๋วเงินให้กับหลี่เหล่าลือ

“ค่าจ้างที่ข้าได้รับมาก็มากพอแล้วขอรับ” แม้ว่าหลี่เหล่าจือจะไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี แต่เมื่อได้เห็นจํานวนเงินบนตั๋วเงินนั้นเขาก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที

“รับไปเถอะ นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ” มู่อี้วางตั๋วเงินไว้บนมือของหลี่เหล่าลือ จากนั้นก็บอกลาเขาและออกเดินทางต่อไปพร้อมกับตาหนิวทันที

ต้าหนิวแบกกระเป๋าขนาดใหญ่ของมันลงมาจากรถม้าโดยไม่ได้พูดอะไร

หลี่เหล่าฉือจ้องมองมู่อี้และต้าหนิวที่เดินห่างออกไปช้าๆ ดวงตาของเขารู้สึกเปียกชื้นขึ้นมาทันที แม้ทุกๆคนจะคิดว่ามู่อี้เป็นคนโหดเหี้ยมและชั่วร้ายราวกับปีศาจ แต่สําหรับหลี่เหล่าฉือแล้วมู่อี้มีจิตใจที่งดงามยิ่งกว่าคนที่อยู่ในเมืองเหล่านั้นเสียอีก

มู่อี้ไม่ได้ใช้รถม้าเพราะมันไม่จําเป็นอีกต่อไป หลังจากสังหารคนของศาลาแปดทิศไปแล้วเขาก็ตัดสินใจได้ทันที เขาต้องการเดินทางไปที่เมืองไคเฟิงอย่างเปิดเผย และศาลาแปดทิศก็ถือเป็นศัตรูของเขาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

ในใจของมู่อี้เต็มไปด้วยจิตสังหารมากมายที่สะสมเอาไว้ ความกระหายเลือดของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาพร้อมที่จะสังหารทุกคนที่เข้ามาขัดขวางตนเอง

ไม่ว่าจะตอนกลางวัน กลางดึก หรือแม้แต่ตอนเช้าก็เข้ามาเลย!

เมื่อมอื้ออกเดินทางอีกครั้งเขาก็ได้พบกับกลุ่มคนที่เข้ามาโจมตีระหว่างทางอีก 3 ครั้ง เป็นคนของศาลาแปดทิศที่เข้ามาโจมตี 2 ครั้ง และอีก 1 ครั้งนั้นเป็นเพียงแค่กลุ่มจอมยุทธที่รวมตัวกันมา

นี่ทําให้ศาลาแปดทิศต้องสูญเสียคนระดับปรมาจารย์ไปอีก 2 คนและมู่อี้ก็ได้สังหารลูกน้องคนอื่นไปเป็นจํานวนมากด้วยเช่นกัน

การลงมือของมู่อี้ทําให้หลายๆคนที่อยากเข้ามาช่วงชิงกุญแจนั้นรู้สึกหวาดกลัวจนต้องคิดใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่อยากลองเสี่ยงดูเพื่อความยิ่งใหญ่ของตนเอง อย่างเช่น ศาลาแปดทิศ

การที่คนระดับปรมาจารย์ของพวกเขาถูกมู่อี้สังหารก็อย่างง่ายดายนั้นเป็นเหมือนกับการตบหน้าศาลาแปดทิศอย่างรุนแรง ภายในยุทธภพแห่งนี้นั้นชื่อเสียงและศักดิ์ศรีคือสิ่งที่สําคัญมากที่สุด ถ้าหากศาลาแปดทิศปล่อยวางเรื่องนี้และไม่ตามไล่ล่าสังหารมู่อี้ต่อ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของพวกเขาคงต้องจบสิ้นแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแล้วทุกๆคนคงคิดว่าศาลาแปดทิศก็ไม่ได้มีดีสักเท่าไหร่ ใครๆก็สามารถรังแกได้ง่ายๆ

ศาลาแปดทิศไม่อาจยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลุกขึ้นทําอะไรสักอย่างและเป้าหมายในครั้งนี้ก็คือมู่อี้

ถ้าหากคนของศาลาแปดทิศสามารถสังหารมู่อี้และแย่งชิงกุญแจมาได้สําเร็จ ชื่อเสียงของพวกเขาคงเพิ่มขึ้นมาเหมือนก้าวกระโดด แต่ถ้าหากล้มเหลวเช่นนั้นชื่อของศาลาแปดทิศคงไม่อาจอยู่ในยุทธภพแห่งนี้ได้อีกต่อไป

ทุกๆคนไม่ได้โง่ มีหลายคนที่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บงําพลังของตนเองเอาไว้ก่อน และรอจนกว่าศาลาแปดทิศจะเริ่มเคลื่อนไหว

มู่อี้ก็รู้สึกได้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ด้วยเช่นกันอย่างน้อยที่สุดในครึ่งวันที่ผ่านมานี้ไม่มีใครเข้ามาขัดขวางการเดินทางของเขาเลย แต่มู่อี้ก็รู้ดีว่าพายุลูกใหญ่กําลังจะมาถึงแล้วและมันคงจะพัดเข้ามาหาเขาก่อนที่เขาจะเข้าเมืองไคเฟิงได้อย่างแน่นอน

พายุลูกใหญ่กําลังก่อตัวมืดครึ้มแล้วจริงๆ

ในตอนเที่ยงมู่อี้และต้าหนิวทําอาหารง่ายๆทานกันก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง เขาไม่สนใจคนที่กําลังหลบซ่อนตัว และกําลังจับตามองพวกเขาอยู่ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้คือสายลับที่ศาลาแปดทิศส่งมา เพื่อคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของพวกเขา

ในช่วงบ่ายของวันนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ่มขึ้นมาทันทีและผู้คนก็รู้สึกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก

อีกประมาณ 20 ลี้ตรงหน้าของมู่อี้นั้นเป็นเนินดินลูกใหญ่ที่รกร้างว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเลย และบนพื้นดินนั้นก็เต็มไปด้วยกรวดทรายมากมาย ปกติแล้วจะไม่มีใครอยู่ที่นี่เลยแต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าความสงบสุขนั้นจะถูกทําลายลงไปแล้ว

มีธงผืนใหญ่ที่มีสีดําขอบทองปักอยู่บนเนินดินแห่งนั้นบนผืนธงนั้นมีตัวอักษร 3 ตัวที่อ่านได้ว่าศาลาแปดทิศ และกําลังพริ้วไปตามแรงลม

ด้านล่างผืนธงนั้นมีคนอย่างน้อย 100 คนรวมตัวกันอยู่ที่นั่นทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีดำ ใบหน้าของพวกเขาก็ดูเคร่งเครียด

มี 4 คนที่ดูเหมือนจะมีตําแหน่งที่สูงกว่าคนอื่นๆชุดสีดําของพวกเขานั้นมีการใช้ด้ายสีทองเข้ามาผสมด้วยการแต่งกายของพวกเขานั้นเหมือนกับปรมาจารย์ทั้ง 3 คนของศาลาแปดทิศที่ตายไปก่อนหน้า

ศาลาแปดทิศนั้นมีปรมาจารย์ทั้งหมด 8 คน มี 3 คนที่มู่ลี้ฆ่าตายไปก่อนหน้านี้บวกกับอีก 4 คนที่อยู่ตรงหน้า เขาในตอนนีก็รวมเป็น 7 คนแล้ว

แต่ตรงกลางของทุกๆคนนั้นดูเหมือนจะเป็นตําแหน่งสูงสุดของเนินดิน มีรถม้าคันนึงจอดอยู่บริเวณนั้น รถม้าทั้งคันมีสีดําและดูมันวาวราวกับสร้างมาจากโลหะ

ทั้ง 100 คนที่รวมตัวอยู่บนเนินดินในตอนนี้ไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลย พวกเขายืนนิ่งกันอย่างเป็นระเบียบ และบรรยากาศก็ดูกดดันมากยิ่งขึ้น

อีกทางด้านหนึ่งนั้นก็มีคนจํานวนมากอยู่ด้วยเช่นกันแต่คนเหล่านี้ไม่ใช่คนของศาลาแปดทิศและยังสวมเครื่องแต่งกายที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่แล้วเป็นขั้วอํานาจต่างๆที่อยู่ในเมืองไคเฟิง พวกเขามาที่นี่ในวันนี้เพื่อรอดูการต่อสู้ที่กําลังจะเกิดขึ้น

รอดูว่ามู่อี้จะสามารถเอาชนะศาลาแปดทิศได้หรือไม่

และบางครั้งคนเหล่านั้นก็จะจ้องมองไปที่ตําแหน่งสูงสุดของเนินดินที่มีรถม้าสีดําจอดอยู่และล็กๆ ในสายตาของพวกเขาก็แสดงความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

มู่อี้ก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญในตอนนี้ แต่แม้ว่าเขาจะทราบดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เขาเองก็ต้องการใช้ศาลาแปดทิศเป็นที่แสดงพลังของตนเอง รวมถึงคนของศาลาแปดทศที่ต้อ งการศีรษะของเขาเพื่อชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้น

สายลมเริ่มพัดแรงมากขึ้นเรื่อยๆ!

มู่อี้มองออกไปด้วยสีหน้าเย็นชาและเมฆดําที่อยู่เหนือศีรษะก็เริ่มลอยต่ําลงมา อีกไม่นานหลังจากนี้ พายุฝนจะต้องโหมกระหน่ําลงมาแน่นอน

นี่คือสภาพอากาศที่มู่อี้รู้สึกชื่นชอบมากที่สุด อย่างน้อยในสภาพอากาศเช่นนี้พลังของยันต์สายฟ้าก็จะทรงพลังมากยิ่งขึ้น ไม่ว่ามู่อี้จะมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหนแต่เขาก็ไม่เคยประมาท อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็พกยันต์ สายฟ้าติดตัวไว้ตลอดรวมถึงยันต์ปราบปีศาจที่มีอยู่เป็นจํานวนมาก

ส่วนตาหนิวนั้นแม้ว่ามันจะต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่ท่าทีของมันก็ดูดุดันมากยิ่งขึ้น ถ้าหากไม่ใช่ยอดฝีมือจริงๆ ก็ไม่มีทางทําให้มันบาดเจ็บได้เลย ดังนั้นมันจึงไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจอมตะที่เข้าไปบดขยี้ศัตรู

มู่อี้รู้สึกสงสัยเรื่องปรมาจารย์ของศาลาแปดทิศ เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสังหารปรมาจารย์ทั้งสองคนของศาลาแปดทิศไปนั้นทั้งสองคนต่างก็พูดเหมือนกันว่าปรมาจารย์ใหญ่ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน เห็นได้ชัดว่าในความคิดของพวกเขานั้นปรมาจารย์ใหญ่ย่อมสามารถแก้แค้นให้พวกเขาได้

ท้ายที่สุดนั้นเขาก็ก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆ มู่อี้มองเห็นผู้คนจํานวนมากที่ยืนอยู่บนเนินดินได้อย่างชัดเจน ในตอนนี้ระยะห่างของเขากับคนกลุ่มนั้นเหลืออยู่เพียง 1-2 ลี้เท่านั้นและเขาก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น

ไม่ต้องเดาเลยว่าจิตสังหารเหล่านั้นพุ่งตรงมาที่เขา

เมื่อเห็นคนจํานวนมากรวมตัวกันอยู่ที่นี่ มุมปากของมู่อี้ก็ยกขึ้นมาเล็กน้อยและสายตาของเขาก็แสดงความเย็นชาออกมา

“ดูเหมือนวันนี้จะเป็นสงครามครั้งใหญ่ แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าโลหิตจะไหลรินออกมามากเพียงใด” มู่อี้พูดกับตัวเองเบาๆ แต่เขาก็ยังคงก้าวเท้าออกไปโดยไม่มีความลังเลใดๆ

หลังจากมู่อี้ปรากฏตัวออกมาแล้ว ศาลาแปดทิศและกลุ่มคนที่เฝ้ามองดูอยู่นั้นก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในตอนนี้รู้สึกกดดันขึ้นมาทันที ลมหายใจของคนนับร้อยหลอมรวมเข้าด้วยกันและลอยขึ้นไปบนเมฆดําที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ทุกๆคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าก้อนเมฆดํานั้นมีการเคลื่อนไหวที่แปรปรวนราวกับกระแสน้ำวน

และผู้ที่อยู่ใต้ก้อนเมฆดํานั้นก็คือคนของศาลาแปดทิศ!

มีหลายๆคนที่จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง และการเคลื่อนไหวของก้อนเมฆดําที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นมันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว