บทที่ 194 นางไปเอาเบาะแสมาจากไหน?
มองดูการแสดงออกของพวกเขาสองคน หลานเยาเยายิ้มอย่างเคอะเขิน ในใจก็คิดข้ออ้างต่างๆมากมายทันที เพียงแต่ยังไม่ทันจะได้พูดออกไป ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นยะเยือกของเย่แจ๋หยิ่งดังมา
“เอาเขาโยนทิ้งออกไป”
โยนทิ้ง?
โยนทิ้งออกไป?
ถ้าคนตายไปแล้ว นางจะหาเบาะแสจากที่ไหน?
ยิ่งไปกว่านั้น ฐานะของหมอ นางไม่สามารถที่จะมองดูคนโดนยาพิษตายไปต่อหน้าต่อตาโดยอยู่เฉยๆได้
ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า : “เขาโดนยาพิษใกล้ตายแล้ว ข้าไม่สามารถให้เขาตายได้ ข้ามีข้อสงสัยมากมายอยากถามเขา ส่วนอยากถามอะไร ข้าไม่สามารถพูดได้”
ตอนนี้ก็สามารถอธิบายได้เพียงเท่านี้แล้ว
ไม่เช่นนั้นเซียวจิ่นหยูถูกโยนออกไปแล้ว ก็จะต้องตายเพียงทางเดียว
คราวนี้ เย่แจ๋หยิ่งไม่พูดแล้ว เขาเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงหน้าเตียง มองดูเซียวจิ่นหยูที่ใส่หน้ากากไว้ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เรื่องที่เจ้าอยากรู้ถามข้าตรงๆ”
หืม?
ฟังจากน้ำเสียงสุภาพเช่นนี้ ราวกับว่าเขารู้ว่านางคิดจะถามอะไร? หรือว่าเขารู้วิชาการอ่านใจจริงๆ? หรือว่าเป็นพยาธิไส้เดือนในท้องของนาง อะไรก็รู้ไปหมด?
ดังนั้น!
นางจึงได้ปริรอยยิ้มที่ดูประจบประแจงขึ้นมาทันที
“แฮร่ๆ……”
“ได้ได้ได้ ต่อไปข้าเจอข้อสงสัยปัญหายากเย็นอะไรจะถามท่านทั้งหมด เช่นนี้ก็ได้แล้วใช่หรือไม่?” พูดพร้อมดึงมือเขาแกว่งไปมาไปด้วย จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ท่านกลับมาดึกขนาดนี้ ตรงบาดแผลยังไม่ได้เปลี่ยนยาใช่ไหม? ไป ข้าจะไปเปลี่ยนให้ท่าน!”
พูดจบก็ไม่ได้สนใจว่าเย่แจ๋หยิ่งจะเห็นด้วยหรือไม่ นางก็ดึงเขาแกมหยอกล้อเขาพาไปยังห้องของตัวเอง
เมื่อเดินผ่านหานแส นางก็ไม่ลืมที่จะเตือนหานแสหนึ่งประโยค :
“เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้าก็รีบพักผ่อน”
นางไม่รู้ว่าทำไมเย่แจ๋หยิ่งถึงได้กลับมาพร้อมกับหานแส ถึงอย่างไร กลับมาหมดแล้วก็ดีแล้ว
หานแสพยักหน้าเบาเบา เมื่อพวกเขาออกไปก็ปิดประตูห้องลง แล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง
“เอี๊ยด……”
เมื่อผลักเย่แจ๋หยิ่งเข้าไปในห้องของตัวเอง นางก็หันกลับไปปิดประตู
จากนั้นก็บังคับให้เย่แจ๋หยิ่งนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็ถอดเสื้อเขาออกทันทีโดยไม่พูดอะไรมาก ปากก็ยังบ่นว่า :
“ดูดู วันทั้งวันไม่รู้จักเปลี่ยนยา เช่นนี้ไม่ดีต่อบาดแผลที่กำลังจะปิดสนิท บาดแผลของท่านอยู่ข้างๆหัวใจ ไม่เหมาะที่จะใช้เวลาขยับตัวเดินนานๆ”
เย่แจ๋หยิ่งมองดูนาง หน้าตายังคงความเฉยชา แต่เขาก็ให้นางทำทุกอย่างที่นางต้องการกับร่างกายของเขา รอจนนางพูดจบ จึงจะปริปากบางๆนั้นขึ้น
เพียงแต่คำพูดยังไม่ทันจะออกจากปาก หลานเยาเยาก็เหมือนกับจะรู้ว่าเขาจะพูดอะไร และกลัวว่าเขาจะพูดออกมา จึงรีบพูดขึ้นมาว่า :
“น่าแปลก? ทั้งๆที่ยาที่ข้าออกให้ท่านเป็นยาที่ดีที่สุด ทำไมบาดแผลถึงได้ปิดช้านัก?”
พูดไปนางก็ตรวจดูที่บาดแผลของเขาไปด้วย ตรวจไปด้วยและพูดไปด้วยอย่างไม่หยุดหย่อน
ในขณะที่นางออกแรงทำมากขึ้น มือก็ถูกเย่แจ๋หยิ่งดึงไว้ทันที
“ทำอะไร?”
“ท่าน……”
“ข้ารับรองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย คราวหน้าจะไม่พาคนกลับมาตามใจอีกเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ที่ท่านอยู่ด้านล่างของป่าแห่งความลับ ไม่ใช่ว่าตั้งใจไว้ชีวิตเขาหรอกหรือ?
ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ท่านคงไม่อยากให้เขาตาย ข้าพาเขากลับมา นี่ก็เพราะคิดเผื่อท่าน”
หลังจากสารภาพเสร็จ หลานเยาเยาก็เหลือไปมองตาเขาอย่างระมัดระวัง เห็นเขายังคงทำให้เฉยชา ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา
ดูแววตาเช่นนี้ของเขา ก็เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หรือว่าต้องใช้แผนสุดท้าย?
อุบายสาวงาม?
ภายในห้องเกิดความเงียบขึ้นมาทันใด เงียบสงบจนหลานเยาเยาสามารถได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง รอมาสักพักใหญ่ จนนางทนไม่ไหวกลืนน้ำลายตัวเอง ท่าทางดูค่อนข้างตลก
ในไม่ช้า นางจึงได้แสดงออกแบบที่ยอมเทหมดหน้าตัก เอามือไปปลดชุดคลุมของตัวเอง……
หลังจากมองดูนางปลดกระดุมเม็ดที่สามแล้ว ก็ราวกับว่าปลดไม่ออกอีกแล้ว
เย่แจ๋หยิ่งมุมปากกระตุกนิดหนึ่ง
แล้วก็ถอนหายใจออกมากะทันหัน
“เพื่อเขาแล้ว ขนาดอุบายสาวงามก็นำมาใช้เลยหรือ?”
“เหอะเหอะ ท่านกำลังคิดจะเอาเขาไปโยนทิ้งใช่หรือไม่นะ?” พูดไปก็ยักคิ้วหลิ่วตาไป
เย่แจ๋หยิ่งเอามือกุมขมับ นึกไม่ถึงว่าจะโดนนางหลอกล้อให้ยิ้มเช่นนี้ได้ ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
“เดิมทีข้าเพียงแค่จะแก้ไขคำพูดของเจ้าให้ถูกต้อง ยาที่ใส่บนบาดแผลนี่ก็เพิ่งใส่และพันไว้หลังจากที่กินอาหารเย็นเสร็จ แต่เจ้ากลับบอกว่าไม่ได้เปลี่ยนยาเลยทั้งวัน ไม่ใส่ใจข้าขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เมื่อพูดเช่นนี้ หลานเยาเยาถึงกับอึ้งไปตรงนั้น
เพิ่งเปลี่ยนเมื่อตอนกินอาหารเย็นหรือเนี๊ย? ทำไมนางจึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานมากๆแล้วนะ?
แต่ว่า!
ดูท่าแล้ว เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้คิดที่จะโยนเซียวจิ่นหยูทิ้งออกไปแล้ว
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ นางจึงรีบติดกระดุมเม็ดที่ปลดไปทันที
ใครจะรู้……
เม็ดแรกยังไม่ทันจะติดเสร็จ เย่แจ๋หยิ่งก็ยื่นมือมาหยุดการกระทำของนางเอาไว้ จากนั้นก็ปลดกระดุมที่เหลือไม่กี่เม็ดออกด้วยตัวเอง
“ท่านท่านท่าน……นี่จะทำอะไร? ไม่ใช่ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา”
“หืม?”
“นั่น แผลของท่านยังปิดไม่สนิท ไม่สามารถขยับตัวรุนแรงได้ อ่า ไม่ถูก ความหมายข้าก็คือ อารมณ์ความรู้สึกของท่านไม่ควรที่จะตื่นเต้นเกินไป การกระทำที่ค่อนข้างดุเดือด ไม่เป็นผลดีต่อบาดแผลของท่าน……”
หลานเยาเยาพูดจาเป็นตุเป็นตะ โดยรวมคือ ในคำพูดของนางไม่มีสาระ
หากรู้แบบนี้ก็จะไม่ใช้อุบายสาวงามตั้งแต่แรก ตอนนี้จะทำเช่นไรดี? จะจบก็จบไม่ได้
“ขณะที่ใช่อุบายสาวงามเมื่อครู่ ทำไมจึงไม่คิดถึงปัญหานี้?”
การลงมือปลดกระดุมของเขายังไม่หยุดลง แต่กลับเพิ่มความเร็วขึ้น
“นั่นไม่ใช่เพราะว่า……” เพราะว่าเขาจะเอาเซียวจิ่นหยูไปโยนทิ้ง นางใช้อุบายสาวงาม เพียงแค่อยากหักเหความสนใจของเขา
ใครจะรู้……
ตัวเองจะต้องเสียเปรียบซะแล้ว
“เพราะว่าอะไร?”
“ไม่ ไม่อะไร!”
ตอนนี้ดีที่สุดต้องไม่พูดถึงเรื่องของเซียวจิ่นหยู ไม่งั้นเกรงว่าเขาจะกลับคำขึ้นมา ถึงเวลานั้นคงไม่ใช่เอาคนออกไปโยนทิ้ง แต่จะกลายเป็นเอาคนไปฆ่าทิ้งแทน
กระดุมโดนปลดแล้ว จากนั้นมือใหญ่ๆของเย่แจ๋หยิ่งก็วางไว้บนไหล่ของนาง
เห็นได้ชัดว่ากำลังเอาเปรียบนางอยู่ แต่ว่าดูจากดวงตาของเขาแล้วกลับมองไม่ออกเลย เหมือนเพียงว่าเขากำลังชื่นชมอยู่
ชื่นชม?
ชื่นชมกับผีอะไรหล่ะ!
ลงมือขนาดนี้แล้ว เช่นคนอย่างเย่แจ๋หยิ่งที่มีความอดทนอดกลั้นเหลือคณาเช่นนี้ ถ้ารอให้นางมีความรู้สึกอะไรขึ้นมา คาดว่าคงต้องรอให้หุงข้าวจนสุกซะก่อนละมั้ง!
“อ้า……เจ็บเจ็บเจ็บอ้า!”
ในขณะที่นางไม่รู้ตัวนั้น คิดไม่ถึงว่าจะโดนกัดเข้าให้หนึ่งที
หลานเยาเยามองดูที่ไหล่ของตัวเอง ปรากฏรอยฟันสองแถว จึงรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที
“ท่านกัดข้า?”
เกิดปีหมารึไง? เจ็บชะมัด
นางรีบจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ สุดท้ายก็จ้องเขาด้วยสีหน้าคับแค้นใจ
ใครจะรู้ เย่แจ๋หยิ่งกลับไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะมีอะไรผิดไป อีกทั้งยังถามกลับแกมสั่งสอนว่า :
“เจ็บหรือ?” เขาถามเบาๆอย่างอ่อนโยน
“ท่านว่าไงล่ะ?”
“เจ็บ ก็ถูกแล้ว” สีหน้าเขาเปลี่ยนไปกะทันหัน เปลี่ยนเป็นพูดอย่างเผด็จการว่า : “นี่จะทำให้เจ้ารู้ คราวหน้าไม่ควรจะเอาใจข้าเพื่อผู้ชายคนอื่น เช่นนี้จะทำให้ข้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก”
ฟังเขาพูดเช่นนี้ หลานเยาเยาไม่พอใจขึ้นมาทันที นางทำปากจู๋ บ่นพรึมพรำว่า :
“ชิ! ข้าทำเพื่อคนอื่นที่ไหนกัน ทำเพียงเพื่อตัวเองโดยเฉพาะต่างหาก…..