บทที่ 195 อิ่มตายแล้วจะคิดบัญชีที่ใคร

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 195 อิ่มตายจะคิดบัญชีที่ใคร?

“ข้าบอกว่าเจ้าทำเพื่อผู้อื่น ก็คือทำเพื่อผู้อื่น”

“ได้ได้ได้ ท่านว่าใช่ก็ใช่” หลานเยาเยาแอบทำปากจู๋ พูดจาเผด็จการอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ คาดว่าคงจะมีเพียงเย่แจ๋หยิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้ผู้เดียว

ไม่ว่ายังไงก็โดนกัดแล้ว จะอธิบายให้มากมายไปทำไม?

เสียแรงเปล่าตั้งแต่แรก

แต่ทว่า!

นางนี้เป็นคนที่ใจแคบมาก ดังนั้น ใช้ช่วงที่เย่แจ๋หยิ่งไม่ทันระวังกัดไปที่แขนของเขาอย่างแรง

หลังจบเรื่อง ก็ยังปัดๆที่แขนของเขา

“ถือว่าเสมอกันแล้ว!”

พูดจบก็ยิ้มอย่างตลก ก่อนที่เย่แจ๋หยิ่งจะเปลี่ยนสีหน้า ก็วิ่งหนีออกไปก่อนแล้ว

เพียงแต่ว่าทางที่นางวิ่งไปเดิมทีควรจะเป็นประตูห้อง ทว่าทำไมที่นางเห็นอยู่ด้านหน้าเป็นหน้าต่างไปได้นะ?

หากแต่ว่าช้าไปแล้ว ดังนั้นนางจึงได้ตกลงไปทางหน้าต่างอย่างน่าสงสาร……

เย่แจ๋หยิ่ง : “…..”

ห้องพักของพวกเขาอยู่ชั้นสาม แม้ว่าตกลงไปแบบเช่นนี้จะไม่ถึงกับตาย แต่ว่าเรื่องแขนขากระดูกกระเดี้ยวหักพวกนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้

หลานเยาเยาหลับตาลง สีหน้ารอคอยยอมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง

แต่กลับตกลงมาอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นอย่างเหนือความคาดหมาย เมื่อนางลืมตาขึ้น ก็ได้ยินเสียงของเย่แจ๋หยิ่งดังมา

“เดินยังไงให้ตกไปทางหน้าต่างได้ เจ้ากินข้าวจะสามารถกินจนตัวเองสำลักตายหรือไม่?”

“……”

ทีแรกหลานเยาเยายังมีความซาบซึ้งใจอยู่บ้างเล็กน้อย ที่สำคัญร่างกายของเย่แจ๋หยิ่งก็ยังมีบาดแผลอยู่ ไม่เหมาะที่จะใช้วิชาตัวเบา แต่เขาเพื่อที่จะไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่สนใจนึกถึงร่างกายของตัวเลย

แต่ทว่า!

ฟังคำพูดเช่นนี้ของเขา ความซาบซึ้งใจได้มลายหายไปสิ้น

“ท่านวางข้าลง”

เดิมทีนางอยากดิ้นอยู่ในอ้อมกอดสักครู่ แต่เพื่อเลี่ยงการกระแทกเข้ากับแผลที่หน้าอกเขา ดังนั้นจึงทำได้เพียงเปลี่ยนคำพูด

“ดี!”

เย่แจ๋หยิ่งปล่อยนางลงอย่างระมัดระวัง

“หึ!” หลานเยาเยาหึออกมาเบาๆ จากนั้นก็เดินจากไป

นางเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินน้ำเสียงเหนื่อยๆของเย่แจ๋หยิ่งแว่วมา : “คำถามที่เจ้าอยากถามเขาจะไม่ถามข้าแล้วหรือ?”

คราวนี้ ร่างกายของหลานเยาเยาชะงักไปครู่หนึ่ง โบกมือให้ แล้วก็เดินหน้าต่อไป

“ไม่ล่ะ ข้าชอบท่าทางของท่านในตอนนี้”

แม้จะรู้ว่าสัญญาสามปีของพวกเขาในตอนแรกนั้น เป็นเพราะเย่แจ๋หยิ่งจะใช้นางเป็นเครื่องมือกีดกันหญิงอื่นที่จะเข้ามาหาเขาในจวน

แต่ว่าตอนนี้เรื่องราวกับพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ นางเกิดความอาลัยอาวรณ์ต่อเย่แจ๋หยิ่ง

อีกทั้ง เซียวจิ่นหยูที่อาจจะมีความสัมพันธิ์กับราชวงส์เก่า เคยคิดจะฆ่านาง จากนั้นมาอาจจะเป็นเพราะรู้ความลับบางอย่างของนาง จึงเริ่มเข้าใกล้นาง ตอนนี้นางก็ได้รู้ตัวตนของเขาอีกตัวตนหนึ่งแล้ว

งั้นก็……

ตอนที่อยู่ด้านล่างของป่าแห่งความลับที่ซ่อนทรัพย์สมบัติ เย่แจ๋หยิ่งทำไมจึงต้องจงใจไว้ชีวิตเขานะ?

นางไม่อยากไปคิดถึงปัญญาเหล่านี้ และก็ไม่อยากสาวถึงรากถึงโคน

แต่นางก็ไม่ได้โง่

ในวันนี้เย่แจ๋หยิ่งพูดว่า เบาะแสที่นางอยากได้จากเซียวจิ่นหยู เขาสามารถบอกนางได้ทั้งหมด เขากำลังคิดที่จะเปิดไพ่ในมือกับนางงั้นหรือ?

แต่นางไม่อยากทำลายสถานการณ์ในตอนนี้ที่มีกับเขา ดังนั้น นางจึงยอมหาเบาะแสจากปากผู้อื่น แต่จะไม่ยอมฟังความจริงจากปากของเขา

เย่แจ๋หยิ่งมองดูเงาร่างของหลานเยาเยาหายไปจากสายตา ข้างหูยังคงคิดย้อนคิดถึงคำที่นางพูดเมื่อสักครู่ พึมพรำออกมาเบาๆคำหนึ่ง

“ชอบ?”

จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

แต่ทว่า เมื่อเขายื่นมือออกมาดูก็เห็นบาดแผลบนฝ่ามือของเขา นั้นถูกขีดข่วนโดยไม่ได้ระวังตัว เพียงแต่เมื่อครู่เพื่อรองรับหลานเยาเยาไว้ จึงได้ปริออกอีก

เลือดไหลออกจากฝ่ามือไม่หยุด หยดลงบนต้นหญ้าเล็กๆบนพื้นดิน ต้นหญ้าเล็กที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา กลับสูญเสียความมันวาวไปทันที จากนั้นก็ค่อยๆแห้งเหลืองตายไป……

เช้าวันที่สอง หลานเยาเยายังคงตกอยู่ในความฝัน ถูกห่อหุ้มไปด้วยความเย็นยะเยือกที่ทะลุไปถึงกระดูก เมื่อนางลืมตาขึ้น ก็ถูกคนอุ้มขึ้นมาแล้ว

“เช้าตรู่ขนาดนี้ท่านทำอะไร?”

เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นคนที่อุ้มนางไว้คือเย่แจ๋หยิ่ง หลานเยาเยาไม่ได้ตอบโต้ แต่กลับแอบเอาเข็มเงินในมือเก็บเข้าไว้ในระบบ

“พาเจ้าไปพบคนบางคน”

พบคน?

พบใครนะ?

คงไม่ได้คิดจะเปิดไพ่ในมือกับนางหรอกนะ?

“ข้าไม่ไป” สีหน้านางเต็มไปด้วยการแสดงออกถึงการปฏิเสธ

“วางใจเถอะ เจ้ารู้จักทั้งหมด เอาของกินมากมายมาให้เจ้า”

“จริงหรือ? งั้นรีบไปเถอะ”

แค่ได้ยินคำว่าของอร่อย ดวงตาของหลานเยาเยาก็เปล่งประกายวับวาว เบิกตากว้างขึ้นมาทันที ในแววตาเต็มไปด้วยความโลภ

ของอร่อย รอข้าไปลิ้มรสของพวกเจ้าเถอะ!

หลังจากนั้น ที่น่าเศร้าก็คือ

หลานเยาเยาตามเย่แจ๋หยิ่งไปอย่างดีอกดีใจ สุดท้ายตามเย่แจ๋หยิ่งกลับมาด้วยสีหน้าเบื่อชีวิตเป็นที่สุด

เหตุผลหนึ่งในนั้นคือ คนที่เย่แจ๋หยิ่งพานางไปพบเป็นคุณชายเหลียงเฉินและจื่อซีพวกเขาได้มาถึงที่นี่ก่อนพวกเขานานแล้ว แม้แต่ฮัวหยู่อันก็อยู่ด้วย

เดิมทีก็ไม่มีอะไร เพราะว่าเย่แจ๋หยิ่งพูดกับนางว่า ฮ่องเต้รู้ข่าวที่ตราลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่าปรากฏอยู่ที่ชนเผ่าหยินไห่แล้ว จึงได้ออกราชโองการ ให้เขามาตามหาที่ชนเผ่าหยินไห่

มีอีกจุดประสงค์เบื้องหลังที่ชัดเจน

หากว่าเย่แจ๋หยิ่งหาตราลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่าพบแล้ว งั้นก็เป็นไปตามความต้องการของฮ่องเต้พอดี หากว่าหาไม่พบ ก็จะได้ยัดเยียดโทษให้ได้ตามใจนึก

แต่เย่แจ๋หยิ่งที่มีอำนาจล้นฟ้านั้นสามารถที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้โดยสิ้นเชิง ส่วนที่ว่าทำไมเขาเลือกมาที่นี่ หลานเยาเยาไม่อยากไปถามเจาะลึก

แต่ว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นที่สำคัญคือฮัวหยู่อันเอาของอร่อยมามากมาย ใส่มาจนแทบจะเต็มตู้รถม้า

ใครจะรู้……

เมื่อถึงที่นี่ ของอร่อยที่อยู่ในรถม้า ถูกกินไปเกลี้ยงแล้ว

ของกินทั้งรถ!

ฮัวหยู่อันเป็นหมูหรือไง?

คนเดียวกินไปได้ตั้งเยอะ อีกทั้งนางก็ได้เสาะหาอาหารรสเลิศมาตลอดทาง จะกินได้รวดเร็วเช่นนั้นได้ยังไง?

ฮัวหยู่อันแสดงถึงความหมดอาลัยตายอยาก นางเสาะหาอาหารรสเลิศมาตลอดทางจริงๆ เตรียมไว้เอามาให้หลานเยาเยา แต่ว่าก็ถูกกินหมดเกลี้ยงไปอย่างน่าประหลาดใจ

ขณะที่พาหลานเยาเยาไปดู เหลือเพียงอาหารรสเลิศใส่กล่องกระดาษไม่กี่กล่อง

หลานเยาเยาเดินไปเดินมาในห้อง แต่ในสมองกลับรู้สึกว่าเหมือนเห็นกับตาตัวเองว่า ของอร่อยทั้งรถมีปีกงอกออกมาแล้วบินไป

“ปั่ง…..”

ความโกรธของหลานเยาเยาที่ยากจะสงบลง มือตบลงไปบนโต๊ะ

ของอร่อยที่กำลังจะถึงปากอยู่แล้วกลับบินไป หลานเยาเยาแสดงความฉุนเฉียว เฉกเช่นกับสุนัขตัวผู้ที่ไม่มีที่ระบายอารมณ์ติดสัตว์

ฮัวหยู่อันที่กลับมาพร้อมกับพวกเขา โม่เหลียงเฉินและจื่อซี ทั้งหมดยืนอยู่ห่างจากนางออกไป เกรงว่านางจะไม่พอใจ แล้วพวกเขาจะซวย

เย่แจ๋หยิ่งที่เดินเข้ามาทางประตู เห็นท่าทางของหลานเยาเยา ก็ซ่อนแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มไว้ไม่อยู่

“ลองอันนี้สิ?”

เขาหยิบของเป็นห่อกระดาษชิ้นหนึ่งมาไว้ที่หน้าของหลานเยาเยา ยังไม่ได้เปิดออกก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นแล้ว จึงทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวของหลานเยาเยาสงบลงได้ในทันที

“ไก่ขอทาน?”

นี่เรียกว่า แค่ดมก็รู้ว่าคืออะไร ในฐานะที่เป็นสุดยอดนักกินผู้หนึ่งที่จะพบได้เพียงคนหนึ่งในหนึ่งพันปี หลานเยาเยาคุ้นเคยกับกลิ่นพวกนี้ถึงขั้นหาคนเปรียบเสมือนยาก

“อืม ในที่สุดก็มีอาหารรสเลิศรอให้ข้าลิ้มลองแล้ว”

หลานเยาเยากอดไก่ขอทานไว้ จากนั้นก็แทะกินอย่างเมามัน สุดท้ายเมื่อเหลือเพียงน่องไก่ นางเหลือบมองฮัวหยู่อันที่มีแววตาตะกละแวบหนึ่ง ก็ยกน่องไก่ขึ้นมาแล้ววิ่งหายไปอย่างไร้ร่อยรอยด้วยความรวดเร็ว

เย่แจ๋หยิ่ง : “……”

เหล่าคนที่หลบอยู้ข้างหน้าต่าง : “……” โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่อาหาร

หลานเยาเยาออกไปครั้งนี้ จนถึงตอนบ่ายก็ยังไม่พบเงาร่างคน

“เจ้านาย พระชายายังไม่กลับมา พวกเราต้องออกไปตามไหมพะยะค่ะ?”

จื่อซีค่อนข้างเป็นห่วง

เกรงว่าหลานเยาเยาจะตะกละจนถึงขั้นแทะเปลือกต้นไม้กิน

“ไม่ต้อง!” นอกจากบนถนนที่มีของกินเหล่านั้น นางก็คงไม่ไปที่ไหนอีก

หลานเยาเยาที่โดนเย่แจ๋หยิ่งคาดเดาไว้อย่างแน่วแน่นั้น ในเวลานี้กำลังนั่งกินนั่งดื่มอาหารรสเลิศอยู่ที่โรงเหล้าแห่งหนึ่งอย่างสำราญ ท่าทางการกินของนางทำให้พนักงานที่ดูแลอยู่ข้างๆ ตกใจจนตัวสั่นไปหมด

เคยเห็นคนขอทานที่หิวจนสามารถกินคนได้ แต่ยังไม่เคยเห็น คุณชายหนุ่มที่หิวมากจนคิดจะแทะโต๊ะ โดยเฉพาะคุณชายที่มีรูปโฉมท่าทางที่สง่าผ่าเผยที่อยู่ต่อหน้านี้

“เออะ เออะ เออะ……”

หลานเยาเยาที่กินจนเรอแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างยังคงเหมือนดั่งหมาป่าหิวโหยที่จับจ้องอาหารบนโต๊ะอยู่ตลอด

“คุณ คุณชาย ยังกินอีกหรือ?” พนักงานร้านถามด้วยความระมัดระวัง

อิ่มตายแล้วจะคิดบัญชีที่ใคร?