บทที่ 192 เขตพื้นที่ควบคุมดูแลของพ่อ เป็นบ้านของลูกทั้งหมด!

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

“เสี่ยวถาง?” หันจื่ออี้เห็นว่าสีหน้าของหลานเสี่ยวถางยังคงซีดเผือดอยู่ อดถามไม่ได้ว่า “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนเธอด้วยเอาไหม?”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้าไปมา “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเองดีกว่า”

เธอลงจากรถไปแล้ว ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหันจื่ออี้ว่า “รุ่นพี่จื่ออี้ ขอบคุณนะคะที่วันนี้ช่วยฉันเอาไว้ แล้วก็รถของคุณได้รับความเสียหายประมาณเท่าไหร่ ค่อยบอกฉันมาก็แล้วกันนะคะ ฉัน……”

“เสี่ยวถาง!” หันจื่ออี้ขัดเธอ “เรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกนะ แต่ทว่า ฉันเคยบอกเธอไปแล้ว เธอควรที่จะขอโทษต่อตัวเองมากกว่า! หลังจากนี้ ไม่อนุญาตให้ไม่รับผิดชอบชีวิตของตัวเองแบบนี้อีกแล้ว เข้าใจไหม?”

หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก “ฉันทราบแล้วค่ะ แต่ว่า รถของคุณ……”

“ไปเจอคุณพ่อของเธอเถอะไป โทรศัพท์เธอก็เอาไปใช้ก่อนได้ ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไร โทรหาฉันได้ตลอดเวลาได้เลยนะ ฉันจะรอเธออยู่ที่ด้านนอก” หันจื่ออี้พูดไป จู่ ๆ ก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะยื่นมือเข้าไปกอดหลานเสี่ยวถางเอาไว้แน่น “พ่อแม่พร้อมหน้า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต ใช้ชีวิตอย่างดีล่ะ!”

หัวใจของหลานเสี่ยวถางแข็งค้างไปในทันที อดคิดไม่ได้ถึงหันจื่ออี้ในปีที่เธอจบการศึกษานั้นเอง ในขณะเดียวกันก็สูญเสียบิดามารดาทั้งสองคนไปอย่างเจ็บปวด

ในช่วงเวลานั้นเอง เธอเริ่มเข้าใจเขาแล้วว่าตอนนั้นทำไมเขาจึงไปโดยไม่ลา หัวใจนอกจากจะได้รับคำอธิบายแล้ว อีกทั้งยังมีความรู้สึกเห็นใจรวมอยู่ด้วยเช่นกัน

ทันใดนั้นเอง เธอก็เข้าใจและไม่โทษที่เขาจากไปถึงหกปีแล้ว จากไปโดยไร้การติดต่อกลับมา เพียงแต่ว่าเธอเองก็เข้าใจ เข้าใจแล้วว่าตนเองไม่ใช่หลานเสี่ยวถางในตอนแรกแล้วเหมือนกัน เธอในตอนนี้ ก็ตามหาความรู้สึกที่มีร่วมกันกับเขาเมื่อก่อนในตอนแรกไม่ได้แล้วเช่นกัน

ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็กลับไปเป็นอย่างเดิมกันไม่ได้อีกแล้ว

หลานเสี่ยวถางตบเบา ๆ เข้าที่ไหล่ทางด้านหลังของหันจื่ออี้ ยืนตัวตรง “ฉันไปแล้วนะคะ”

หันจื่ออี้พยักหน้า “ได้”

หลานเสี่ยวถางมองเข้าไปในคลับเฮาส์ที่ไม่ค่อยน่าดูนั่น ที่ด้านหน้ามีป้ายสีดำเรียบง่ายแขวนเอาไว้อยู่ป้ายหนึ่ง ที่หน้าบนเขียนเอาไว้สี่คำว่า คลับเฮาส์จินอัน

เพียงแต่ว่า ที่ทำให้เธอตกตะลึงเลยนั้นก็คือถึงแม้ว่าด้านในมองดูแล้วจะเรียบง่ายสามัญ แต่ทว่า แม้กระทั่งหันจื่ออี้เองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะสามารถเข้าไปได้

ทั้งนี้หันจื่ออี้เองก็ทราบ ว่ากันว่า บัตรสมาชิกไม่ได้ปล่อยให้ทำกันง่าย ๆ แม้กระทั่งที่จะปล่อยบัตรสมาชิกให้ใครนั้น ก็แทบจะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมาก ๆ บนอินเทอร์เน็ต ก็ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคลับเฮาส์นี้ใด ๆ ไม่พบเลย

หลานเสี่ยวถางเข้าไปในคลับเฮาส์ พนักงานหน้าประตูเห็นเธอ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “คุณครับ ขออนุญาตเรียนถามนะครับว่ามีบัตรสมาชิกไหมครับ?”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่เย่เหลียนอีบอกมาก่อนหน้านี้ว่า “ฉันเข้ามาหาคุณหลานค่ะ”

อันที่จริงแล้ว เมื่อเช้าได้ฟังเย่เหลียนอีบอกมาแล้ว บิดาของตนเองนั้นนามสนุกหลานเช่นกัน เพียงแต่ว่าวิธีเขียนนั้นไม่เหมือนกันกับเธอ เธอจึงรู้สึกว่ามันบังเอิญเป็นอย่างมากเลย

พนักงานได้ยินคำพูดของหลานเสี่ยวถางแล้ว ทันใดนั้นก็พยักหน้าในทันที “ครับผม เชิญคุณตามผมมาได้เลยครับ!”

พูดไป เขาก็พาหลานเสี่ยวถางเดินไปตามทางเดินยาวทางด้านหลังของคลับเฮาส์ หลังจากนั้น มาถึงที่หน้าประตูโค้งบานหนึ่ง

ในนี้เป็นลักษณะที่เป็นลานทั้งสองข้างขนาบเข้าหากัน เป็นเพราะว่าไม่มีใคร ดังนั้นแล้ว จึงเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเงียบสงบเป็นอย่างมาก เพียงแต่หลังจากที่เดินลอดผ่านประตูโค้งไปนั้นเอง หลานเสี่ยวถางกลับมองเห็นคนในชุดทหารทั้งสองข้างยืนขนาบไปด้วยกันอยู่ที่ถนนทั้งสองฝั่ง

พนักงานเอ่ยว่า “คุณครับ ตามกฎแล้วนะครับ ผมสามารถพาคุณมาได้ถึงตรงนี้เท่านั้น คุณเดินตรงเข้าไปด้านในก็จะพบคุณหลานแล้วละครับ”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้าหงึกหงัก หัวใจอดไม่ได้ที่จะบีบตัวเข้าหากันเล็กน้อย เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าก้าวเข้าไปด้านหน้า

ในตอนที่เธอเดินเข้าไปแล้วเห็นทหารทั้งสองฝั่งนั้นเอง ทุก ๆ คน ยืนตัวตรงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะทำความเคารพแบบทหารให้กับเธอกันอย่างพร้อมเพรียง

ทหารทั้งสองฝั่งมีความสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบกันทั้งนั้น เมื่อทำความเคารพเช่นนี้แล้ว หลานเสี่ยวถางแทบจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นของเลือดชายชาติทหารได้ขึ้นมาในทันที

ในตอนนั้นเอง มีเงารูปร่างสูงใหญ่ปะทะเข้ามาในสายตา ฝีเท้าของหลานเสี่ยวถาง ก็หยุดลงอย่างนี้ในทันที

ปลายแถวของเหล่านายทหาร มีชายวัยกลางคนกำลังยืนย้อนแสงอยู่ที่ไกล ๆ เขายังคงสวมใส่เครื่องแบบของทหารอยู่ เพียงแต่ บนหัวไหล่นั้นกลับมีป้ายที่ส่องสว่างมากที่สุดอยู่ ภายใต้แสงอาทิตย์ มันเปล่งประกายแสงออกมาจนแยงตา

เป็นเพราะว่าย้อนแสง หลานเสี่ยวถางจึงเห็นใบหน้าของเขาไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ทว่า เธอกลับรู้สึกว่าหัวใจจองตนเองในตอนนั้นเอง กลับเริ่มเต้นขึ้นมาอย่างระรัว

เธอไม่รู้ว่าควรจะวางมือวางเท้าเอาไว้ตรงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรที่จะเดินต่อไปหรือว่าควรที่จะยืนรออยู่ตรงนี้ แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ชายคนนั้นเดินเข้ามาทางเธอเสียแล้ว

ในทุกย่างก้าวของเขานั้นหนักแน่นมั่นคง ทีละก้าวทีละก้าว ค่อย ๆ ร่นระยะห่างระหว่างกันเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้ว ก็มาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้าของหลานเสี่ยวถาง

ใกล้กันมากเลย ในที่สุดหลานเสี่ยวถางก็มองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนแล้ว ทันใดนั้นเอง รู้สึกเพียงแค่ว่าเลือดในกายในตอนนี้แทบจะพลุ่งพล่านทันที

ถ้าหากจะเอ่ยว่าเธอกับเย่เหลียนอีมีความคล้ายกันอยู่เจ็ดส่วน ถ้าอย่างนั้นแล้ว เธอกับชายตรงหน้านี้ก็มีความคล้ายคลึงกันสามถึงสี่ส่วนด้วย

ถึงแม้ว่าเค้าโครงของใบหน้าของเขาจะดูเย็นยะเยือกและเฉยชา แต่ทว่า องค์ประกอบโดยรวมแล้วกลับดูดีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าออกรบอยู่นานหลายปี เดิมนิสัยแต่เดิมจึงปกคลุมไปด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ร่างทั้งร่างแทบจะคล้ายราวกับว่าดาบเล่มหนึ่งเลย ผ่านอะไรมากมายจนนิ่งสงบ กลับรู้สึกเหมือนกำลังบีบบังคับคนอยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน

คิ้วและดวงตาของเธอคล้ายกับเย่เหลียนอี แต่ทว่า ริมฝีปากและคางของเธอกลับคล้ายกับชายตรงคนนี้เป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่ริมฝีปากของเธอเม้มเข้าหากันเช่นนี้ รูปร่างของริมฝีปากของทั้งสองคนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกันเลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ หลานเสี่ยวถางเคยนึกภาพถึงการพบหน้าบิดามารดาของตนเองอยู่หลายครั้งมาก แต่ทว่า หลับไม่มีครั้งไหนเลยที่สะเทือนใจไปได้เหมือนครั้งที่ได้มาพบเจอหน้ากันจริง ๆ เช่นนี้

เป็นเพราะว่าตื่นเต้น ริมฝีปากของเธอจึงสั่นระริกเล็กน้อย แม้กระทั่ง เดิมก็ไม่รู้เลยว่าควรที่จะเอ่ยอะไรออกมาถึงจะดี

ชายคนนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่า “ถางถางหรือ?”

น้ำเสียงของเขาเพราะมาก ทุ่มต่ำระเรื่อหู เมื่อได้ฟังแล้วก็ดูเด็กมากกว่าอายุเดิมลงไปเยอะมากเลย

หลานเสี่ยวถางหยักหน้าขึ้นลงอย่างตื่นตระหนก “ค่ะ”

“พ่อเป็นพ่อของลูก หลานเซี่ยวเฉิง” เขาพูดไป ก่อนจะมองไปทางหลานเสี่ยวถาง นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายอบอุ่น “ถางถาง พ่อตามหาลูกมาหลายปีเหลือเกิน”

หลานเสี่ยวถางได้ยินประโยคนี้ของเขาแล้ว หัวใจจึงรู้สึกเพียงแค่ราวกับว่าเริ่มหลอมละลาย เลือดในกายนั้นราวกับว่าคล้ายกับกำลังสั่นสะเทือนอย่างไร้เสียง เธอรู้สึกว่าหัวใจมีความรู้สึกยุบยิบขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเอง ลำคอถูกอะไรติดเอาไว้อยู่ กลับไม่สามารถที่จะส่งเสียงออกมาได้

หลานเซี่ยวเฉิงก้มหน้ามองเท้าของหลานเสี่ยวถาง เมื่อเห็นว่าในฤดูใบไม้ร่วงแล้วเธอกลับยังสวมใส่รองเท้าแตะอยู่ สีหน้าจึงอดที่จะแปรเปลี่ยนไปไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ถางถาง เท้าเป็นอะไรน่ะ?”

ในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นเสียแล้ว!

หัวใจของหลานเสี่ยวถางราวกับถูกสัมผัส ริมฝีปากของเธอเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถควบคุมน้ำเสียงของตนเองได้ “ส้นเท้าเป็นแผลนิดหน่อยน่ะค่ะ”

หลานเซี่ยวเฉิงได้ยินแล้ว ดังนั้นจึงรีบหมุนตัวกลับไปในทันที ก่อนจะย่อตัวลง “ขึ้นมาสิ พ่อจะแบกลูกเอง”

ดวงตาของหลานเสี่ยวถางเบิกกว้าง เธอสบตามองแผ่นหลังกว้างของหลานเซี่ยวเฉิง รู้สึกเพียงแค่ว่าใบหูนั้นระเบิดเป็นเสียงวิ้ง ๆ

เขาบอกว่าเขาจะแบกเธอ!

นี่คือสิ่งที่เธอจำได้มาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ริษยาเด็กคนอื่น ๆ มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทว่ากลับไม่เคยคาดหวังมาก่อนเลย ว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนเองจะได้เป็นเช่นนั้นบ้างแล้ว!

รู้สึกเพียงแค่ว่าดวงตาเห่อร้อนขึ้นแล้วเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นอย่างสุดกำลัง เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลรินลงมา

แต่ทว่าหลานเซี่ยวเฉิงเห็นว่าหลานเสี่ยวถางนิ่งเงียบไม่ขยับ น้ำเสียงของเขาจึงเพิ่มความอบอุ่นขึ้นไปอีกเล็กน้อยแล้ว “ถางถาง ไม่ต้องกลัว พ่อมีแรงเยอะแยะเลยนะ!”

หลานเสี่ยวถางสูดจมูก ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หยุดยืนอยู่ทางด้านหลังของหลานเซี่ยวเฉิง หลังจากนั้น ก็ค่อย ๆ ปีนขึ้นไปอย่างเชื่องช้า

หลานเซี่ยวเฉิงเอื้อมมือมาอุ้มเธอเอาไว้ทางด้านหลัง ก่อนจะยืนตั้งตัวตรง แล้วสาวเท้าเดินไปด้านหน้า

เขาก็เคยจินตนาการถึงภาพเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วยเลยเช่นกัน อุ้มลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักเอาไว้บนหลัง แล้วเดินชมดอกไม้ในหุบเขา

เฝ้ารอมายี่สิบกว่าปี ความเห็นจริงกลับทำให้หัวใจแห่งความหวัง ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังเล็กน้อย

แต่ทว่า เขากลับนึกไม่ถึงเลย วันนี้หลังจากที่กลับมาจากภารกิจลับของประเทศเป็นครั้งแรกแล้ว กลับได้รับข้อความจากทางเย่เหลียนอีทางฝั่งนั้น

ลูกสาวของเขา ยังคงมีชีวิตอยู่!

เขาได้เห็นข้อความที่ถูกสแกนมาของเย่เหลียนอี ในตอนนั้นเอง คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพมาหลายปีเช่นเขา ผ่านความเป็นความตายมามากมาย ก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาเช่นกัน

ในตอนนั้นเอง หลานเซี่ยวเฉิงรู้สึกว่าหลังคอของตนเองเปียกชื้นอะไรบางอย่าง ทีละหยดทีละหยด ร่างทั้งร่างของเขาอดที่จะแข็งค้างไม่ได้เลยในทันที หลังจากนั้นก็สาวเท้าเดินต่อไปทางด้านหน้าอย่างมั่นคง แล้วเดินไปทางลานกว้างนั่น

หลานเสี่ยวถางอยู่บนหลังของหลานเซี่ยวเฉิง สุดท้ายแล้วก็ระบายความรู้สึกที่แทบจะไร้หนทางควบคุมเมื่อครู่นี้ออกมาแล้ว

หยาดน้ำตาของเธอไหลออกมาไม่ขาดสาย ทำให้ชุดทหารของหลานเซี่ยวเฉิงเปียกชื้นเป็นวงกลมเล็ก ๆ หมดแล้ว

มองผ่านสายตาเลือนรางไป เธอมองเห็น ว่าราวกับว่าเธอหลุดออกไปอยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว

รอบบริเวณมีต้นมะเดื่อต้นใหญ่ ตอนนี้ใบไม้ร่วมลงมาครึ่งหนึ่งแล้ว เพียงแต่ ที่พื้นนี้กลับสะอาดสะอ้านเป็นอย่างมาก กลับไม่มีเศษใบไม้เลยแม้แต่เศษเดียว

หลานเซี่ยวเฉิงแบกเธอเอาไว้บนหลัง ก่อนจะผ่านลานมะเดื่อไป สุดท้ายแล้ว ก็หยุดฝีเท้าลงตรงหน้าตึกเล็ก ๆ สามชั้นตึกหนึ่ง

“ถางถาง นี่เป็นที่ที่พ่อกับแม่ของลูกเคยมากันเมื่อก่อน” หลานเซี่ยวเฉิงชี้ไปยังจักรยานเก่า ๆ คันหนึ่งที่จอดอยู่ตรงหน้าประตูตึกเล็ก ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนน่ะ พ่อยังเคยขี่เจ้าลานั่นกับแม่เขาด้วยนะ”

หลานเสี่ยวถางได้ฟังเขาบรรยาย นัยน์ตาราวกับปรากฏภาพนั้นขึ้นมาเลย

ชายหนุ่มในชุดทหาร พาหญิงสาวที่มีสายเลือดของอเมริกาไหลเวียนอยู่ในร่างราวสี่ส่วน ขี่จักรยานเก่า ๆ คันนั้น แล้วขี่วนไปรอบ ๆ ต้นมะเดื่อใหญ่ในเมืองหนิงเฉิง

แทบจะ ในตอนนั้นเอง ความรู้สึกห่างเหินแทบจะมลายหายไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างบิดากับบุตรสาว แต่ทว่า หลานเสี่ยวถางกลับรู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์อันเข้มข้นทางสายเลือดได้

หัวใจของเธอท้ายที่สุดแล้วก็ถูกหลอมละลาย ริมฝีปากเปิดออก ก่อนจะเอ่ยเรียกชายที่กำลังแบกตนเองด้วยเสียงเบาออกมาครั้งหนึ่งว่า “คุณพ่อ”

ร่างทั้งร่างของหลานเซี่ยวเฉิงแข็งค้างในทันที หลานเสี่ยงถางรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่แผ่นหลังของเขาที่มันบีบเกร็งขึ้นมาเป็นอย่างมากได้อย่างชัดเจน

เพียงแต่ การยับยั้งและการฝึกในกองทัพในช่วงหลายปีมานี้ทำให้เขากลับคืนสู่ความสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็วแล้ว เขาเพียงแค่พยักหน้าขึ้นลงเท่านั้น “ถางถาง”

หลานเซี่ยวเฉิงอุ้มหลานเสี่ยวถางเข้าไปในตัวตึก ที่ประตูตึกเล็กนั่น มีนายทหารอยู่สองข้างกำลังทำความเคารพแบบทหารอยู่อย่างพร้อมเรียง “ท่านพลโท!”

หลานเซี่ยวเฉิงพยักหน้า ก่อนจะอุ้มหลานเสี่ยวถางเข้ามาในห้องโถงใหญ่

ห้องโถงใหญ่ตกแต่งด้วยสไตล์คลาสสิกโบราณ บางทีอาจเป็นเพราะว่าจงใจทิ้งให้มันเป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้ว เฟอร์นิเจอร์นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพียงแค่ปัดกวาดให้สะอาดก็เท่านั้น

หลานเซี่ยวเฉิงวางหลานเสี่ยวถางให้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย หลังจากนั้น ก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วตรวจสอบบริเวณที่เธอได้รับบาดเจ็บ

เท้าของหลานเสี่ยวถางถูกมือใหญ่ของเขาบีบเข้าเบา ๆ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วบริเวณที่สัมผัส ความอุ่นนั้นแล่นไปทั่วทั้งร่างแล้ว

เธอสูดลมหายใจเข้าไปมาเป็นเพราะว่าเมื่อครู่นี้ร้องไห้ อีกทั้งรู้สึกว่าจมูกตันขึ้นนิดหน่อย ทันใดนั้นเองก็อดที่จะเบิกตากว้างแล้วมองไปทางชายตรงหน้าที่คุกเข่าต่อหน้าตนเองไม่ได้

เมื่อครู่นี้ลูกน้องของเขาเรียกเขาว่าอะไรเธอได้ยินหมดแล้ว

เธอนึกไม่ถึงเลยในทันที ว่าบิดาแท้ ๆ ของตนเองจะเป็นพลทหาร อีกทั้งยังมียศทหารเป็นนายพลโทอีกด้วย!

เมื่อก่อนที่ผ่านมา เธอคลุกคลีกลับทหารน้อยมาก เพียงแค่เห็นแต่ในโทรทัศน์เท่านั้น รู้สึกว่ามันดูขลังเล็กน้อย ที่มากไปกว่านั้นเลยก็คือรู้สึกว่ามันมีระยะห่างกันมาก ๆ

แต่ทว่า คนที่มียศทหารเป็นพลโทสวมอยู่บนศีรษะกลับมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของตนเอง และเป็นคนใส่ยาให้ตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นชายคนเดียวกับที่ในโทรทัศน์ได้อธิบายบรรยายเอาไว้เกี่ยวกับชายชาติทหารเหล่านั้นจริง ๆ หรือ?

เมื่อรอให้หลานเซี่ยวเฉิงจัดการกับบาดแผลของหลานเสี่ยวถางเสร็จแล้ว เขาถึงลุกขึ้นยืนตัวตรงที่ด้านหน้าของเธอ

บางทีอาจจะเป็นเพราะความเคยชินในหลายปีมานี้ ร่างกายของเขาตั้งตรงราวกับต้นสนต้นหนึ่งเลย นัยน์ตาเป็นประกายชัดเจนส่องสว่าง แต่ทว่า ที่เค้าโครงบนใบหน้าของเขากลับยังคงความสงบเย็นยะเยือกและเรียบนิ่งเอาไว้อยู่

เขาประเมินหลานเสี่ยวถางอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากจะเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา ภายในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความถอนหายใจและความคล้ายกับเบาใจ แม้กระทั่ง น้ำเสียงราวกับกำลังหัวเราะอยู่ ทั้งกำลังสั่นเบา ๆ อยู่ด้วย “ถางถาง หลังจากนี้ลูกเป็นลูกสาวของพ่อหลานเซี่ยวเฉิงแล้วนะ! พื้นที่ควบคุมดูแลของพ่อ เป็นบ้านของลูกทั้งหมด!”