บทที่ 161 แผนการพัฒนาของซีเว่ย

การสิ้นสุดฤดูหนาวถือเป็นข่าวดีสําหรับชาวบ้านทั่วไป เพราะนั่นหมายความว่าอากาศจะอุ่นขึ้นและไม่มีหิมะตก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีในการหว่านเมล็ด

แต่นั่นไม่ใช่กรณีของซีเว่ยและศาสนจักรแห่งเกม

ในขณะที่หิมะละลาย มันยังช่วยปลดเปลื้องพันธนาการการสื่อสารระหว่างเมืองด้วย หากพวกเขาไม่รอบคอบพอศาสนจักรแห่งเกมก็จะถูกเปิดเผยทันที และที่ ๆ เสียงที่สุดคือผู้เล่นในแลงแคสเตอร์

หากศาสนจักรแห่งเกมถูกสังเกตเห็น หรือแย่กว่านั้นคือมีข่าวการฟื้นฟูเทียร์ร่าออกสู่สาธารณะ ผู้เล่นทุกคนที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ก็จะตกเป็นเป้าหมายของศาสนจักรในจารีต ส่วนใหญ่ภายในจักรวรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย

(จารีต คือบรรทัดฐานที่กําหนดให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติตนอย่างเข้มงวด มีการควบคุมที่รุนแรงเพื่อป้องกันการฝาฝืน โดยคนในสังคมนั้นถือว่าแบบแผนการปฏิบัติดังกล่าวเป็นสิ่งดีสิ่งงามผู้ละเมิดเป็นคนผิดคนชั่ว เป็นต้น)

แม้ว่ากองกําลังทหารหลักของจักรวรรดิวัลลาจะถูกรั้งไว้โดยสงครามหนึ่งปี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะกําจัดผู้เล่นทุกคน เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องทําก็แค่จัดกําลังพลไม่กี่คนเพื่อจัดการกับผู้เล่น หรือเพียงแค่ออกคําสั่งให้ขุนนางเขตต่าง ๆ ระดมกองทัพส่วนตัวเพื่อทําลายพวกเขา

“ดูเหมือนว่าเราจะผ่อนคลายเกินไป ความสามารถของผู้เล่นยังต้องปรับปรุงอีกมาก” ซีเว่ย พึมพําอย่างครุ่นคิด โดยใช้หนวดแตะสิ่งที่น่าจะเป็นคางของเขา “แต่พูดก็พูดเถอะ มันไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ปรับปรุงอีกแล้ว…”

ท้ายที่สุดเขาก็เพียงเป็นเทพเจ้าชั้น 3 ที่ให้สวัสดิการทุกรูปแบบแก่ผู้ศรัทธาของเขาเท่าที่เขาสามารถจ่ายได้ และเนื่องจากผู้เล่นก็ทํางานกันอย่างขยันขันแข็งเช่นกัน การที่จะหวังให้พวกเขาเติบโตเร็วยิ่งกว่านี้นับว่ายากเกินไปจริง ๆ

“บางที ฉันควรพิจารณาเรื่องนี้จากมุมอื่น…”

ซีเว่ยพยายามเปลี่ยนมุมมองของเขา

หากเขาถือว่าผู้เล่นทั้งหมดเป็นสมการ และเมื่อแทนที่ด้วยสูตรก็จะเป็น (ความแข็งแกร่งโดยรวมของผู้เล่น = ความแข็งแกร่งของผู้เล่นโดยเฉลี่ยแต่ละคน x จํานวนผู้เล่น)

เนื่องจากวัตถุประสงค์ของเขาคือการปรับปรุงความสามารถโดยเฉลี่ยของผู้เล่น ซีเว่ยต้องใช้วิธีเพิ่มจํานวนผู้เล่นให้มาก ๆ หากเขาไม่มีวิธีปรับปรุงความสามารถของผู้เล่นแต่ละคนให้เร็วขึ้น

ความคิดแรกของเขาคือการรับคนจากค่ายผู้ลี้ภัยทุกแห่งนอกเมืองครอมเวลล์โดย ไม่เลือกปฏิบัติ เพราะผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่นอกครอมเวลล์ เคยเป็นพลเมืองของโรวิเนียซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเทียร์ร่าที่ล่มสลาย

แต่ถึงอย่างนั้นนั่นมันก็ไม่ได้ผล หากลองพิจารณาอย่างรอบคอบดูแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกขอบคุณ (หรือยอมรับได้ง่าย ๆ ) และนั่นก็เหมือนกับอดีตผู้ศรัทธาที่แท้จริงของเทพเจ้าแห่งเกม ที่ยอมรับศรัทธาของเทพเจ้านอกรีตอื่น ๆ เพียงเพื่อที่จะได้รับอาหาร

และมันก็ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะให้ผู้เล่นออกไปเผยแพร่ศาสนาแบบตัวต่อตัวเช่นกัน นอกจากปัจจัยอื่น ๆ แล้ว แม้แต่เด็กสามคนที่มูฟาซาพาเข้ามา ก็ยังเป็นเพียงผู้ศรัทธาที่ตื้นเขิน และ ไม่ได้กลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ ยังมีชีวิตรอดมาได้โดยการหาประโยชน์จากผู้ลี้ภัยที่อ่อนแอ เมื่อพวกเขาได้สัมผัสกับความหอมหวานของการรังแกผู้อ่อนแอคนเหล่านี้ก็จะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารผู้หญิงและเด็กเพียงเพื่อรับ EXP เมื่อพวกเขาเข้าร่วมศาสนจักรแห่งเกม

แม้ว่าเขาจะสั่งห้ามหรือมีบทลงโทษในการทําเช่นนั้น ซีเว่ยก็คิดว่ามันไม่ต่างอะไรกับการหยิบก้อนหินขึ้นมากระแทกนิ้วเท้าตัวเอง

เมื่อเทียบกันแล้วการเสี่ยงโชคในหมู่บ้านที่ผู้คนมีความสามัคคีกันก็ยังดีกว่าและสะดวกกว่ามาก หากเขาสามารถหาวิธีแก้ปัญหาและวางรากฐานที่นั่นได้ ก็มีแนวโน้มว่าพวกชาวบ้านจะเปลี่ยนใจมาเลื่อมใสศรัทธาเขาได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นชาวบ้านที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเชื่อฟังกฎ มากกว่าเมื่อเทียบกับอันธพาลที่ไม่ถูกควบคุมในหมู่ผู้ลี้ภัย

น่าเสียดายที่หมู่บ้านแบบนี้หายากมากแถบชายแดน…บางที่พวกเขาอาจมีโชคมากกว่านี้ในทุนย่าที่เป็นอาณาเขตของดัชชีอินทรีเงิน

ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ฝั่งตรงข้ามของทวีปตะวันออกก็น่าสนใจเช่นกัน

ผู้เล่นได้สํารวจพื้นที่รอบนอกของหุบเขาแห่งความตายไปแล้วกว่าครึ่ง และในไม่ช้าพวกเขาก็จะไปถึงพื้นที่หลัก หากยังคงรักษาอัตราการความเร็วการสํารวจเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ และผู้เล่นสามารถค้นพบความเป็นพระเจ้าที่ไม่มีเจ้าของที่นั่น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวมันก็คุ้มค่าให้เฉลิมฉลองแล้ว

แต่พูดตามตรง สิ่งนั้นสามารถพบได้แต่หาไม่ได้ และซีเว่ยก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถพบเจอมันได้ง่าย ๆ ด้วยโชคของเขา

แต่แน่นอนว่า พวกเขาจะสามารถได้รับร่างเทพมากมายที่นั่น

ในขณะที่เทพเจ้าองค์อื่นจะไม่แตะต้องสิ่งนี้ด้วยความกังวลต่าง ๆ นา ๆ ซีเว่ยกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย และหวังว่าผู้เล่นจะได้รับมากขึ้น

นอกจากนี้ผู้เล่นก็ควรทํางานอย่างหนักเพื่อเคลียร์หุบเขาแห่งความตาย พวกเขาสามารถใช้คบเพลิงที่พวกเขาปักเป็นสัญญาณไฟ เพื่อปูเส้นทางทางบกที่จะเชื่อมระหว่างทวีปตะวันออกและตะวันตก!

เมื่อพิจารณาถึงวิธีที่ชุมนุมลับดวงตาคิดจะสังหารทั้งหมู่บ้าน เพียงเพื่อเส้นทางการลักลอบขนส่งสินค้าทางทะเลเท่านั้น เมื่อผู้เล่นสายธุรกิจมีเส้นทางขนส่งทางบก หนทางแห่งความรวยจะไปไหนเสีย

ยิ่งไปกว่านั้นสิงโตตัวใหญ่ยังเคยบอกกับซีเว่ยว่า มีเผ่าอมนุษย์หรือครึ่งมนุษย์อาศัยอยู่ในทวีปตะวันตก

ในขณะที่นิยายบางเรื่องในโลกเดิมของซีเว่ย มีเผ่าพันธุ์อมนุษย์ที่เรียกกันว่าออร์ค แต่ออร์คของโลกนี้คือสิ่งมีชีวิตผิวเขียวและเขี้ยวโค้งยาว ที่ชอบพุ่งเข้าใส่ศัตรูในขณะที่ตะโกนว่า ‘ว้ากกกก’ ในทางกลับกันเคทซิธ*และเซนทอร์ ถือเป็นครึ่งมนุษย์ ในขณะที่มนุษย์เผ่าอื่น ๆ ที่มีลักษณะของสัตว์บางส่วนจะเรียกว่ามนุษย์สัตว์

(เคทซิธ เป็นชื่อของภูติตามตํานานสก็อต รูปร่างเหมือนแมวดําตัวใหญ่มีจุดสีขาวบนหน้าอกใครนึกภาพไม่ออก มันเหมือนแมวในเกม Final Fantasy VII)

ท่ามกลางความทรงจําที่ถูกบันทึกไว้ของเจ้าแห่งน้ําซึ่งซีเว่ยได้ดูดซับมา พวกอมนุษย์ดูเหมือนจะเป็นลูกหลานของสิ่งมีชีวิตที่รอดชีวิตจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ 2 และ เนื่องจากพวกเขา เป็นพันธมิตรกับเทพเจ้าที่ไม่ได้อยู่ฝั่งมนุษย์ในสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ 3 มนุษย์จึงไล่พวกเขาไปยังทวีปตะวันตกหลังจากแพ้สงคราม

ต่อมาเทพเจ้าของทั้งสองฝ่าย ได้ต่อสู้กันเป็นการส่วนตัวในสงครามเทพเจ้าและปีศาจ ทําลายอารยธรรมก่อนหน้านี้และทําลายไหล่ทวีปจนแตกกลายเป็นรูปแบบทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบัน หลังจากสงครามครั้งนั้น สนามรบก็กลายเป็นหุบเขาแห่งความตาย และในปัจจุบันมันเป็นทั้ง‘ขอบ’ และ ‘ใจกลาง’ ของโลก

เผ่าอมนุษย์แตกต่างจากมนุษย์ที่มักจะก่อสงครามกลางเมือง แต่ก็มีจํานวนผู้เสียชีวิตในสงครามไม่มาก พวกอมนุษย์มักจะรวมกลุ่มกันตามลักษณะทางชาติพันธุ์ แม้ว่าจะมีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่พวกเขาก็เลือกที่จะต่อสู้และดูหมิ่นเผ่าอื่นเกือบตลอดเวลา พวกเขาแยกตัวออกเป็นชนเผ่าย่อยนับร้อย ๆ เผ่าที่ซับซ้อนกว่าสังคมของมนุษย์

ทําให้เผ่าอมนุษย์ที่มีลักษณะทางชาติพันธุ์แบบเดียวกันเท่านั้น ที่จะรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ นั่นทําให้ซีเว่ยคิดวิธีที่เหมาะสมได้! ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครไว้ใจพวกต่างเผ่าได้มากกว่าคนของตัวเอง

“แต่นั่นยังเร็วเกินไป ผู้เล่นยังไม่ได้เคลียร์หุบเขาแห่งความตาย….หืม? เดี๋ยวก่อนนะ…”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซีเว่ยก็นึกถึงใครบางคน เขาเปิดใช้งานดวงตาศักดิ์สิทธิ์และมองลงไปที่แดนมรรตัย