ตอนที่ 239 โลกของคนตะกละ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 239 โลกของคนตะกละ

ถึงแม้คำพูดของเยียนอวิ๋นเกอจะไม่ถูกกาลเทศะ

หรืออาจบอกได้ว่าเป็นคำพูดที่ทิ่มแทงหัวใจ

โดยเฉพาะเมื่อเชื้อพระวงศ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

สีหน้าของเซียวฮูหยินดำทะมึน

นางไม่พูดเพราะพูดไม่ออก

นางต้องยอมรับว่าคำพูดของบุตรสาวมีเหตุผล

เพียงแต่นางยากที่จะสยบความโกรธ!

เชื้อพระวงศ์เป็นผู้ถูกทำร้าย เหตุใดยังต้องถูกโจมตีว่าไม่เอาไหน

แม้ฮ่องเต้จะเลวร้ายเพียงใด แต่คราวนี้พระองค์ก็ทรงยืนอยู่เคียงข้างเชื้อพระวงศ์ การประหารขุนนางตระกูลใหญ่ก็เพื่อล้างแค้นให้คนตระกูลเซียวที่ตายไปอย่างไม่เป็นธรรม

จะบอกว่าฮ่องเต้ทรงทำไม่ถูกหรือ

ในมุมมองของคนในตระกูล ฮ่องเต้ทรงทำถูกต้องอย่างมาก!

ถูกต้องอย่างแน่นอน

เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่ได้มีแต่คนในตระกูลเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงมีแผ่นดิน มีราษฎร มีขุนนาง…

ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ต้องรับผิดชอบต่อคนในตระกูลเท่านั้น แต่ยังรับผิดชอบต่อแผ่นดินต้าเว่ยด้วย

ความสมดุลของผลประโยชน์ควรเอียงไปทางใด

ควรเลือกความสมดุลของอำนาจอย่างไร

“เนื่องจากต้องการความสมดุลของอำนาจ จึงยิ่งสมควรกดขี่ตระกูลขุนนางในเวลานี้”

เซียวฮูหยินพูดอย่างหนักแน่น

เยียนอวิ๋นเกอมองไปด้านนอกหน้าต่างรถ มีบัณฑิตจำนวนมากกำลังเดินขวักไขว่

พวกเขาตะโกนเสียงดังไปทางองครักษ์จินอู่

นางชี้ไปด้านนอกหน้าต่าง “ท่านแม่โปรดดู บัณฑิตก่อการจลาจล เพียงเพราะองครักษ์จินอู่ประหารขุนนางตระกูลใหญ่ตามรับสั่ง ความจริงแล้ว เวลานี้ไม่ต้องประหารขุนนางตระกูลใหญ่ เพียงแค่ฮ่องเต้ทรงแสดงท่าทีแข็งกร้าวออกมา ขุนนางตระกูลใหญ่ก็จะยอมถอย ขุนนางเชื้อพระวงศ์ย่อมสามารถขึ้นเป็นใหญ่ เพราะเหตุใด

เพราะขุนนางตระกูลใหญ่ยังไม่กล้าทิ่มทะลุกระดาษแผ่นสุดท้าย พวกเขากำลังรู้สึกไม่มั่นใจ มิฉะนั้นก็คงไม่ใช้วิธีถ่ายทอดพระราชโองการเท็จ หากแต่เป็นวิธีที่ประหยัดเวลากว่าอย่างการแย่งชิงตราพยัคฆ์ หรือสร้างพระราชโองการที่ถูกต้องขึ้นมาแทน”

เซียวฮูหยินมองไปด้านนอกหน้าต่าง “บัณฑิตกลุ่มนี้มีแต่จะสร้างความวุ่นวาย!”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “ความรู้และตำราล้วนอยู่ในมือ หากบัณฑิตต้องการรับราชการ ย่อมต้องดิ้นรนแทนตระกูลขุนนาง องครักษ์จินอู่ทำผิดอย่างมหันต์ การทวงความยุติธรรมจากองครักษ์จินอู่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทุกคนต่างชื่นชม ไม่แน่ว่าการทวงความยุติธรรมในคราวนี้ยังสามารถได้ชื่อเสียงที่ดี ได้รับการสรรเสริญจากคนในแผ่นดิน จนทำให้พวกเขาสามารถรับราชการได้อย่างราบรื่น

อย่าโทษตระกูลขุนนางมีอำนาจมาก ต้องโทษเหล่าท่านอ๋องที่ไม่พยายาม มีที่ดิน มีส่วย มีกองกำลัง มีราษฎร แต่กลับหมางเมินบัณฑิตในพื้นที่ศักดินา จนทำให้เมื่อเกิดเรื่อง ไม่มีบัณฑิตแม้แต่คนเดียวยอมเรียกร้องความยุติธรรมให้เหล่าท่านอ๋องนี้

เพียงแค่เหล่าท่านอ๋องยอมออกเงินเพื่ออบรมบัณฑิตให้รับราชการ พวกเขาก็คงไม่ถึงกับไม่มีคนช่วยเหลือบนราชสำนัก ทำได้เพียงบอกว่าเหล่าท่านอ๋องถูกชีวิตที่ฟุ่มเฟือยบดบังดวงตา ลืมหลักการที่บรรพบุรุษเคยตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้เตรียมการล่วงหน้า!”

“อวิ๋นเกอ คราวนี้เจ้าผิดแล้ว! เหตุผลไม่มีจุดยืน แต่คนย่อมต้องมีจุดยืน เจ้าไม่สามารถแก้ตัวแทนตระกูลขุนนางได้ ความผิดที่ตระกูลขุนนางทำเอาไว้มีมากมาย เจ้าก็เห็นเองกับตา เหตุใดเจ้าจึงพูดจาเย็นชาเช่นนี้ออกมาได้ จนถึงเวลานี้ยังตำหนิเหล่าท่านอ๋อง”

เซียวฮูหยินเจ็บปวดใจอย่างมาก นางเสียใจ

เยียนอวิ๋นเกอถอนหายใจ “ขออภัย ข้าทำให้ท่านแม่เสียใจแล้ว ข้าเพียงแค่คิดว่าควรแก้ไขปัญหาอย่างไร ไม่เคยคิดถึงความผิดของตระกูลขุนนาง คำพูดของข้าอาจมีเอนเอียงไปบ้าง แต่ท่านแม่คิดว่าเวลานี้เหมาะสมที่จะแก้แค้นจริงหรือ”

“ไม่มีเรื่องใดไม่เหมาะสม แค้นย่อมต้องชำระ สามารถชำระมากน้อยเท่าใดก็เท่านั้น”

“ถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม”

เซียวฮูหยินยิมเย็น “อวิ๋นเกอ หากเมื่อคืนกองทัพเหนือบุกเข้าจวนท่านหญิง ทำร้ายข้า เจ้ายังจะถามเรื่องเวลาเหมาะสมหรือไม่ เจ้ายังจะมีเหตุผลมากมายหรือไม่ เจ้ามีความเป็นไปได้ที่จะหยิบดาบขึ้นมาฆ่าคนเสียมากกว่า

เพียงเพราะคนที่ต้องแบกรับการสูญเสียไม่ใช่เจ้า ดังนั้นเจ้าจึงสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้ เจ้าบอกว่าเจ้าคำนึงถึงวิธีการแก้ไขปัญหา แต่คราวนี้ ข้าบอกเจ้า การฆ่าคนคือวิธีที่ดีที่สุด ชีวิตย่อมต้องแลกด้วยชีวิต ดังนั้น คราวนี้ข้าสนับสนุนการกระทำของฝ่าบาท สมควรประหาร!”

เยียนอวิ๋นเกอโน้มตัวเล็กน้อย “ขอบพระคุณท่านแม่ที่สั่งสอน! ใช้การฆ่าเพื่อยับยั้งการฆ่าก็เป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผล”

เซียวฮูหยินถอนหายใจ นางลูบหัวของเยียนอวิ๋นเกอ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องใด เจ้ากำลังกังวลว่าเรื่องจะขยายกว้างขึ้น จะส่งผลต่อความปลอดภัยของพวกเรา แต่หากไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่จู่โจมขุนนางตระกูลใหญ่ที่ยโสหังกลับไป ข้าเกรงว่าแผ่นดินนี้จะถูกตระกูลขุนนางโค่นล้มไป

อวิ๋นเกอ ข้าแซ่เซียว กำเนิดในตำหนักบูรพา เป็นธิดาคนโตขององค์รัชทายาทจางอี้ ข้ามีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินต้าเว่ย ถึงแม้สุดท้ายแผ่นดินต้าเว่ยจะถูกโค่นล้ม แต่ก็ไม่ควรตกอยู่ในมือของตระกูลขุนนาง ข้ายินดีที่จะให้บุตรหลานของตระกูลเซียวแทนที่เสียมากกว่า”

หัวของเยียนอวิ๋นเกอพิงอยู่บนไหล่ของเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา “ท่านแม่อยากทำสิ่งใดก็ทำเถิด ข้าจะสนับสนุนท่านอย่างไร้เงื่อนไข นี่คือจุดยืนของข้า”

เซียวฮูหยินหัวเราะออกมา พลันพูด “อย่าลำบากตัวเอง”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่ลำบาก ข้าเป็นคนเลือกข้างอยู่แล้ว เหตุผลทั้งหมดล้วนพูดให้คนอื่นฟัง ข้าไม่เคยใช้ชีวิตตามเหตุผล”

เซียวฮูหยินหัวเราะร่า

เซียวฮูหยินหัวเราะออกมาจากใจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมื่อคืน

ด้านนอกรถม้า บนถนน บัณฑิตเดินกันขวักไขว่

“องครักษ์จินอู่ฆ่าคนแล้ว!”

บัณฑิตมาก่อกวนถึงสำนักองครักษ์จินอู่ องครักษ์จินอู่ย่อมไม่มีทางยืนอยู่เฉยๆ

พวกเขาจับบัณฑิตที่ก่อเรื่อง ใช้ไม้กระบองขับไล่…

บัณฑิตกลุ่มนี้ล้วนยังไม่รับราชการ อนาคตยังไม่แน่นอน

ย่อมไม่ยอมถูกจับเข้าคุกหลวง

ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งเมือง

เซียวฮูหยินต่อว่า “เหลวไหลสิ้นดี!”

เยียนอวิ๋นเกอพูดเสียงเบา “ไม่รู้ผู้ใดมีเจตนาร้ายเช่นนี้ บังอาจยั่วยุให้บัณฑิตก่อเรื่อง การเข้าไปศึกษาในสำนักไท่เสวียเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย คราวนี้ หนทางการศึกษาของบัณฑิตมากมายคงต้องจบสิ้นลง”

เซียวฮูหยินขุ่นเคืองอย่างมาก “ย่อมต้องเป็นตระกูลขุนนางที่ยั่วยุบัณฑิต”

เยียนอวิ๋นเกอไม่ปฏิเสธ

ถึงแม้บัณฑิตจะถูกคนยั่วยุ แต่ว่าการไปก่อเรื่องที่สำนักองครักษ์จินอู่ สมองของบัณฑิตผู้หนึ่งจะไม่รู้ว่ามันมีความเสี่ยงหรือ

เมื่อเผชิญหน้ากับความเสี่ยง แต่ยังคงมุ่งหน้าไปยังสำนักองครักษ์จินอู่ เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมพร้อมในการแบกรับความเสี่ยงแล้ว

โทษผู้อื่นไม่ได้

ทำได้เพียงโทษคนที่ยั่วยุทุกคน

นางสั่งคนบังคับม้าให้จากไปโดยเร็ว อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายนี้

คนบังคับม้าขับเคลื่อนตามคำสั่ง รถม้าเคลื่อนที่ผ่านตรอกซอยกลับไปถึงจวนท่านหญิงอย่างรวดเร็ว

“ท่านแม่ ข้าไปตกปลา!”

เพิ่งลงจากรถม้า เยียนอวิ๋นเกอก็เอ่ยว่าจะไปตกปลา

นางต้องการความสงบ

เซียวฮูหยินมองท้องฟ้า “อากาศหนาวเพียงนี้ยังไปตกปลา ไม่หนาวหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้บ่าวรับใช้ล้อมรอบศาลาเอาไว้ ไม่หนาว อีกทั้งปลาในฤดูหนาวมีรสชาติแตกต่างกัน ท่านแม่อยากกินอาหารที่ทำจากปลาทั้งหมดหรือไม่ ข้าคิดค้นอาหารใหม่ได้หนึ่งอย่าง จะได้ลองพอดี”

เซียวฮูหยินยิ้ม “ตามใจเจ้า อย่าทำให้ตัวเองต้องหนาว”

“ท่านแม่วางใจ ข้าไม่ทำให้ตัวเองต้องทนหนาว ข้าสงสารตัวเองอย่างมาก”

นางเป็นคนที่สงสารตัวเองที่สุดในโลก

นางวิ่งไปตกปลาที่ศาลาริมสระน้ำด้านหลังสวนอย่างดีใจ

บรรดาสาวรับใช้นำฉากกั้นล้อมรอบศาลาเอาไว้ เหลือไว้เพียงด้านที่หันหน้าเข้าสระน้ำ

บนโต๊ะมีชาร้อน

บนพื้นเป็นเตาไฟดินเผาที่กำลังต้มน้ำสำหรับชงชา อีกทั้งยังสามารถให้ความอบอุ่นได้

เยียนอวิ๋นเกอสวมผ้าคลุมตัวหนา บนขาวางเตาทองแดงสำหรับอุ่นมือ อบอุ่นอย่างมาก

เหยื่อและก้านตกปลาพร้อม รอเพียงปลาน้อยกินเหยื่อ

ความวุ่นวายด้านนอกถูกกำแพงขวางกั้นเอาไว้

ศาลาเงียบสงบ บางครั้งยังได้ยินเสียงนกร้อง

นางประหลาดใจอย่างมาก “อากาศหนาวเพียงนี้ นกน้อยกลับไม่รู้จักบินไปหลบหนาวทางใต้ ไม่กลัวหนาวตายหรือ”

“ย่อมมีนกน้อยที่ทนต่อความหนาวได้” อาเป่ยพูด

เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “ข้าคงความรู้น้อย คิดว่าเมื่อถึงฤดูหนาว นกน้อยทุกตัวควรอพยพไปหลบหนาวที่ทางใต้ ก็เหมือนกับปลาในบ่อนี้ ตกมันในฤดูหนาวราบรื่นกว่าฤดูร้อนเสียอีก เกรงว่าจะหิวจนเสียสติไปแล้ว”

ในขณะที่กำลังพูด ปลาตะเพียนตัวใหญ่ก็กินเหยื่อแล้ว

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “บอกข้ามา อยากกินน้ำแกงปลาตะเพียน หรือว่ากินปลาตะเพียนนึ่ง หรือว่าปลาตะเบียนผัดพิมเสน”

“พิมเสนกลิ่นแรงเกินไป เกรงว่าท่านหญิงจะไม่โปรด แต่ก่อนทำแต่น้ำแกงปลาตะเพียน คราวนี้คุณหนูตกปลาตะเพียนอีกสองตัว ทำปลาตะเพียนนึ่งจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “ปลาตะเพียนนึ่งก็ได้ เพียงแต่ขาดเครื่องปรุงไปชนิดหนึ่ง”

ขาดเต้าเจี้ยว!

เมื่อไม่มีเต้าเจี้ยวก็ทำเต้าเจี้ยวปลาตะเพียนไม่ได้ ปลาตะเพียนนึ่งก็ขาดรสชาติไป

บางทีอาจลองหาเครื่องปรุงอื่นมาทดแทนได้

นางตบหัวของตนเอง เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่คิดทำเต้าเจี้ยว

เพียงเพราะนางไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวันจึงลืมไป

ไม่สมควร ไม่สมควร

ต้องให้คนไปหาเมล็ดถั่วเหลืองกลับมาเพื่อทดลองปรับปรุงเมล็ดพันธุ์มาปลูกในเรือนพัก

นางตัดสินใจ หากวันนี้ตกปลาตะเพียนได้สามตัว นางจะทำปลาตะเพียนนึ่ง

แม้จะมีก้างมาก

แต่รสชาติอร่อย!

เมื่อพูดถึงเรื่องกิน เยียนอวิ๋นเกอก็น้ำลายไหล

อยากกิน!

จะกำจัดความเครียดได้อย่างไร

มีเพียงอาหารเลิศรส!

นี่คือโลกของคนตะกละ

นางตกได้ปลาเฉาขึ้นมา ตัวละสองถึงสามจิน

ปลาตะเพียนหนึ่งตัวก็หนักราวหนึ่งจิน

ปลาตะเพียนอยู่ที่ใด

รีบมากินเหยื่อ

นางสั่งบ่าวรับใช้ อาสี่ “ร้องเพลงให้ฟังหน่อย”

สาวรับใช้ทั้งหลายได้ยินจึงกลอกตาอย่างพร้อมเพรียง

อาเป่ยพูดขึ้นก่อน “คุณหนู ท่านกำลังตกปลา ฟังเพลงระวังปลาไม่กินเหยื่อ ให้บ่าวนำตำราสองเล่มมาให้คุณหนูอ่านฆ่าเวลาดีกว่าหรือไม่เจ้าคะ”

เยียนอวิ๋นเกอแสร้งทำท่าโกรธ “เจ้าชอบคัดค้านข้า หักเงิน!”

“หักไม่ได้เจ้าค่ะ! ใกล้จะปีใหม่แล้ว หากหักเงิน ปีใหม่นี้ข้าก็ทำได้เพียงตัวติดกับคุณหนู กินของคุณหนู ใส่ของคุณหนู ยังต้องขอเงินแต๊ะเอียจากคุณหนูอีก”

ฮ่าๆๆ …

ทุกคนหัวเราะร่า

ผิวน้ำมีการเคลื่อนไหว

เยียนอวิ๋นเกอรีบพูด “ดู ทันทีที่พวกเจ้าหัวเราะ ในน้ำก็มีการเคลื่อนไหว อาสี่ รีบร้องเพลงเร็วเข้า ไม่แน่ว่าปลาโง่ก็ชอบฟัง”

อาสี่ทำหน้าซื่อ “ปลาน้อยชอบฟังเพลงที่ข้าร้องจริงหรือเจ้าคะ”

นางพยายามอ้าปากร้องออกมาประโยคหนึ่ง คนอื่นล้วนหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

“คุณหนูหยอกเจ้าเล่น! เจ้ายังคิดจริงอีก!”

อาสี่จับหัว เอาเถิด ไม่ร้องแล้ว

เยียนอวิ๋นเกอตกปลาตะเพียนตัวใหญ่สามนิ้วได้ตามความต้องการ

ปลาตะเพียนที่เล็กขนาดนี้ พอกินหรือ

เอาเถิด เอาเถิด กินแก้ขัดไปก่อน

อย่างน้อยก็ยังมีปลาเฉาและปลาตะเพียน

นอกจากนี้ยังมีผักสดที่ไม่งดงามนักจากเรือนพัก เยียนอวิ๋นเกอจึงได้ทำอาหารที่ทำจากปลาทั้งโต๊ะ

หลังจากกินอาหารเสร็จ นางก็ฟื้นคืนชีพ

มีสิ่งใดสามารถปลอบประโลมหัวใจที่ถูกทำลายได้

มีเพียงอาหารเลิศรส!