ตอนที่ 201 โจรสาวผู้ใสซื่อ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 201 โจรสาวผู้ใสซื่อ

ในห้องทำงานไม่เงียบ มีอาจารย์เข้าๆออกๆ หรือคุยกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่กระทบหลินม่ายสักนิด

วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ เคมี และฟิสิกส์ ทั้งสี่วิชานี้หลินม่ายทำข้อสอบเสร็จในครึ่งวันเช้า

ด้วยความเร็วระดับนี้ มันก็ทำให้อาจารย์ประหลาดใจแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้อาจารย์ประทับใจยิ่งกว่าคือกระดาษทุกแผ่นที่เธอทำเสร็จ แม้เธอจะได้คะแนนไม่เต็ม​ แต่ทั้งหมดได้เก้าสิบห้าคะแนนขึ้น ซึ่งนับว่าน่ากลัวมาก

ต้องรู้ว่าข้อสอบชุดนี้ ไม่มีนักเรียนคนไหนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามของโรงเรียนสอบได้เก้าสิบห้าคะแนนขึ้นเลยสักคน

ถ้าหลินม่ายได้เก้าสิบห้าคะแนนในข้อสอบภาษาอังกฤษฉบับล่าสุด เธอจะอยู่เหนือนักเรียนทุกคนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม

แม้จะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว แต่ครูสอนภาษาอังกฤษก็ต้องการเห็นคะแนนสอบภาษาอังกฤษของหลินม่ายเร็วกว่านี้

ดังนั้นแทนที่จะรีบเลิกงาน เขากลับนั่งที่โต๊ะทำงานและตรวจข้อสอบของหลินม่าย

ไม่ใช่แค่ครูสอนภาษาอังกฤษที่ไม่รีบร้อนที่จะออกไป แต่ครูชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามคนอื่นๆ ก็ไม่รีบร้อนที่จะออกไปเช่นกัน

ทุกคนอยากรู้ว่าหลินม่ายนักเรียนจากชนบทเก่งแค่ไหน

เมื่อฟางจั๋วหรานรีบไปโรงเรียนเพื่อรับหลินม่ายและกลับไปที่ร้านขายอาหารด้วยกัน สิ่งที่เขาเห็นคือทุกคนรวมถึงหลินม่ายรวมตัวกันรอบโต๊ะของครูสอนภาษาอังกฤษและจ้องมองเขาตรวจข้อสอบ

สายตาทุกคู่ร้อนแรงแผดเผา ราวกับว่ากำลังควบคุมครูสอนภาษาอังกฤษไม่ให้เขาโกง

การตรวจข้อสอบภาษาอังกฤษนั้นง่ายมาก หลังจากนั้นไม่นาน อาจารย์ประจำวิชาภาษาอังกฤษก็ตรวจข้อสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หลินม่ายได้คะแนนเต็มในชุดข้อสอบนี้

บรรดาครูที่เฝ้าดูต่างจ้องมองเธอด้วยความชื่นชม

เนื่องจากยังไม่มีการสอบภาษาจีนและการเมือง ดังนั้นก่อนจะจากไปหลินม่ายจึงถามครูประจำชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามว่า “ขอโทษนะคะ ตอนบ่ายสอบภาษาจีนและการเมืองกี่โมง”

ครูคนหนึ่งโบกมือให้เธอ “ภาษาจีนและการเมืองล้วนเป็นวิชาท่องจำ ไม่ต้องสอบ เธอแค่อยู่บ้านท่องจำให้มาก”

หลินม่ายถามอีกครั้ง “โรงเรียนจะยอมรับคะแนนของฉันไหมคะ”

ครูคนนั้นตอบว่า “เธอเก่งมาก โรงเรียนรับเธอแน่นอน แต่ต้องรอประกาศอีกที”

หลินม่ายจึงวางใจแล้วเดินไปกับฟางจั๋วหราน

เสื้อผ้าชุดแรกผ่านการฆ่าเชื้อและตกแต่งใหม่เสร็จแล้ว

หลินม่ายตรวจสอบเสื้อผ้าแต่ละชิ้นอย่างถี่ถ้วนและทุกชิ้นล้วนได้มาตรฐาน มองแวบเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับเสื้อผ้าใหม่

หลินม่ายไปที่สถานที่ผลิตเพื่อหานายช่างจางอีกครั้ง

นายช่างจางเพิ่งทำราวแขวนผ้ากับไม้แขวนเสื้อเสร็จ แค่รอให้เธอมารับของ

คนงานคนหนึ่งมาแจ้งว่าหลินม่ายมาหาเขา จากนั้นเขาก็เดินถือราวแขวนผ้าสองสามอันและไม้แขวนเสื้ออีกจำนวนมากมาทันที

หลินม่ายสังเกตมอง ราวแขวนผ้าและไม้แขวนเสื้อมีความปราณีตเหนือกว่าที่เธอคิดไว้จนดูเหมือนงานศิลปะ เธอจึงมอบเงินสิบหยวนให้นายช่างจางทันที

นายช่างจางตื่นตระหนก “ให้เงินทำไมเยอะแยะ แค่ห้าหยวนก็เพียงพอแล้ว”

แล้วเขาก็ทำท่าจะคืนเงินให้ห้าหยวน

หลินม่ายไม่ตอบ “คุณใช้เวลามากมายกับราวแขวนผ้าและไม้แขวนเสื้อ มันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปค่ะ”

ขณะพูด ก็นำราวแขวนผ้าและไม้แขวนเสื้อขึ้นรถสามล้อ

เป็นเวลาสองสามวันแล้วที่เธอไม่ได้ติดต่อกับนายช่างจาง เธอรู้ว่าลูกๆของเขาหลายคนกำลังเรียนหนังสือ ภรรยาของเขากำลังปลูกที่ดินสิบกว่าหมู่(หน่วยวัดพื้นที่ของจีน)ในชนบท และมีคนชราสี่คนที่ต้องเลี้ยงดู ซึ่งเป็นภาระที่หนักอึ้ง

หลินม่ายต้องการช่วยเขา แต่นายช่างจางดื้อรั้นและปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือ ดังนั้นเธอจึงช่วยเขาได้เพียงเพิ่มค่าจ้างเล็กน้อยเท่านั้น

หลังอาหารค่ำวันนั้น หลินม่ายนำเสื้อผ้าสามร้อยชิ้น พร้อมด้วยหลี่หมิงเฉิงและอาหวงไปที่ถนนเจียงฮั่นเพื่อตั้งแผงขายในตลาดกลางคืน

เป็นเพราะราวแขวนผ้าและไม้แขวนเสื้อที่สวยงามในครั้งนี้ หลินม่ายจึงนำเสื้อผ้าแขวนบนไม้แขวนเสื้อ แล้วแขวนไว้บนราวแขวนผ้าที่ดูสูงเป็นพิเศษ

อีกทั้งเสื้อผ้าเหล่านั้นล้วนมาจากประเทศในเอเชียตะวันออกที่พัฒนาแล้ว รูปแบบสวยหวานและเนื้อผ้ามีคุณภาพสูง

หลังจากที่เสื้อผ้าได้รับการตกแต่งใหม่ มันก็ดูเหมือนเสื้อผ้าใหม่ ทันทีที่แผงร้านของหลินม่ายถูกตั้งขึ้น มันก็ดึงดูดสาวๆหลายคนที่กำลังซื้อของที่ตลาดกลางคืน

ทุกคนเลือกเสื้อผ้าของตนและถามไถ่หลินม่ายว่าขายอย่างไร

ต้นทุนของเสื้อผ้าเหล่านี้ต่ำมาก แม้จะรวมค่าแรงเช่น ค่าขนส่งทางรถไฟ การคัดแยก การฆ่าเชื้อโรค และการตกแต่งใหม่ ราคาเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งก็ไม่เกินสามหยวน

แต่หลินม่ายตั้งราคาไว้ที่สิบถึงสิบแปดหยวน

เธอทำธุรกิจ เธอมาที่นี่เพื่อหาเงิน ไม่ใช่เพื่อการกุศล

หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ ดวงตาหญิงสาวเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ราวกับมีตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวเขียนอยู่บนใบหน้าของเธอ – ถูกจริงๆ!

ผู้หญิงบางคนเห็นว่าราคาถูก ก็ซื้อหลายชิ้นในคราวเดียว และจากไปอย่างมีความสุข

ส่วนคนที่ฉลาดก็ถามว่า “ทำไมคุณขายเสื้อผ้าถูกจัง? ”

หลินม่ายยืนยันเสมอว่า ไม่อยากเอาเปรียบผู้บริโภค

คุณสามารถปฏิบัติต่อผู้บริโภคเหมือนกุยช่ายได้ แต่อย่าหลอกลวงผู้บริโภค

เธอพูดอย่างเชี่ยวชาญ “เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นเสื้อผ้ามือสองจากประเทศที่เป็นเกาะซึ่งนำเข้ามาโดยศุลกากร ดังนั้นจึงขายในราคาถูก”

ลูกค้าหลายคนตระหนักได้ทันทีว่า “ฉันถึงว่าสิว่าทำไมเสื้อผ้าเหล่านี้ถึงดูทันสมัยมาก เนื้อผ้าดีมาก และขายถูกมาก!”

หลินม่ายยิ้มและเอ่ยเสริม “แต่เสื้อผ้าเหล่านี้ผ่านการฆ่าเชื้อและตกแต่งใหม่ทั้งหมด มันมีกลิ่นหอมของสบู่และมองไม่ออกเลยว่าเป็นของมือสองเลยใช่ไหมคะ”

ลูกค้าที่ซื่อสัตย์หลายคนพยักหน้า

แม้ว่าจะเป็นของมือสอง แต่ก็เป็นของนำเข้าและดูเหมือนของใหม่

คนสมัยนี้นิยมของนำเข้า และคิดเสมอว่าตราบใดที่เป็นของต่างประเทศก็ล้วนมีคุณภาพดี

ยิ่งกว่านั้น การสวมเสื้อผ้าเก่าจากต่างประเทศยังสามารถแสร้งทำต่อหน้าคนที่ไม่รู้จัก โดยบอกว่าสิ่งที่คุณใส่อยู่นั้นเป็นของนำเข้า

เมื่อรวมกับสิ่งจูงใจจำนวนมากทั้งในด้านคุณภาพสูงและราคาถูก ผู้คนจึงแห่กันไปซื้อ

แผงขายเสื้อผ้าเล็กๆ ของหลินม่ายถูกล้อมไว้อย่างสมบูรณ์

ร้านของหลินม่ายไม่ใช่ร้านเดียวที่ขายเสื้อผ้าในตลาดกลางคืนถนนเจียงฮั่น แต่เธอเป็นคนเดียวที่ขายเสื้อผ้ามือสองเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครขายสู้เธอได้

พ่อค้าแม่ค้าทุกคนต่างเฝ้ามองเธอทำเงินได้มากมายด้วยความอิจฉา

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายยังเด็ก แม้ค้าเสื้อผ้าบางคนที่อ้างว่าฉลาดและมีความสามารถจึงมาคุยกับเธอ

ถามเธอว่าเธอได้เสื้อผ้ามาจากไหนและราคาเท่าไร

หลินม่ายจะบอกวิธีรวยให้คนอื่นได้อย่างไร?

ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไร เธอก็แค่หัวเราะและไม่เปิดเผยสักคำ

แม่ค้าเหล่านั้นจึงต้องจากไปด้วยความโกรธ

หลี่หมิงเฉิงผู้รับผิดชอบการดูสถานที่ เห็นหลินม่ายเก็บเงินจากการขายเสื้อผ้ากำลังยุ่งหัวหมุน เขากำลังจะช่วยเหลือเธอ แต่กลับเห็นหญิงสาวหน้าตาใสซื่อแอบยัดชุดสีเหลืองขนห่านลงในกระเป๋าของหล่อน

ก่อนที่มันจะถูกยัดเข้าไปจนสุด หลี่หมิงเฉิงก็จับหล่อนไว้และพูดว่า “คุณเก็บชุดนี้ลงกระเป๋าทั้งที่ยังไม่ได้จ่ายเงินหรอ?”

สายตาเหยียดหยามจำนวนมากมองไปที่เด็กสาวผู้ไร้เดียงสาทันที

ลูกค้าบางคนกระซิบกระซาบ “ท่าทางก็ออกจะไร้เดียงสา แต่ดันเป็นหัวขโมยเสียนี่!”

“ใช้ท่าทางใสซื่อมาหลอกคนอื่น และหลอกสำเร็จเสียด้วย!”

ใบหน้าของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที น้ำตาเปล่งประกายในดวงตาของหล่อนขณะพูดอย่างเสียใจว่า “ฉันจ่ายเงินแล้ว!”

พ่อค้าแม่ค้าทุกคนวางท่าทาง ดูการแสดงและมองไปที่หลินม่ายอย่างประชดประชัน

แม่ค้าเร่แผงลอยที่ถามหลินม่ายเกี่ยวกับช่องทางการซื้อในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ดีใจเท่านั้น แต่ยังโหมไฟให้ลุกโชนอีกด้วย

พวกเขาโห่ร้องว่า “หาว่าเขาไม่ได้จ่ายเงินก็แสดงหลักฐานมาสิ ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าไปปรักปรำเขา!”

เมื่อเห็นว่ามีคนสนับสนุนตน หญิงสาวใสซื่อคนนั้นก็วางท่าแข็งกระด้างพูดกับหลี่หมิงเฉิง “ในเมื่อคุณบอกว่าฉันไม่ได้จ่ายเงิน งั้นคุณก็เอาหลักฐานมาสิ!”

หลี่หมิงเฉิงพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “ผมนี่แหละหลักฐาน! ผมมีหน้าที่ดูแลสถานที่ เพราะกลัวว่าจะมีใครตกปลาในน้ำเน่าและขโมยเสื้อผ้า ผมรู้ว่าใครให้เงิน ใครยังไม่ให้ ผมมั่นใจ ไม่อย่างนั้นทำไมผมไม่จับคนอื่นแต่มาจับคุณ? “

แม่ค้าริมถนนพูดแปลกๆว่า “หล่อนเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ถูกกลั่นแกล้งได้ง่าย ถึงได้จับหล่อนไง!”

หลินม่ายเบียดเข้ามาและพูดกับหญิงสาวผู้ใสซื่อ “คุณต้องการให้เราแสดงหลักฐานว่าคุณไม่ได้ชำระเงิน แล้วทำไมคุณไม่แสดงหลักฐานว่าคุณจ่ายเงินแล้วล่ะ?”

หญิงสาวผู้ใสซื่อกล่าวว่า “คุณต่างหากที่สงสัยว่าฉันไม่ได้จ่ายเงิน ใครสงสัยคนนั้นก็ต้องแสดงหลักฐาน”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ลองนับยอดดูก็น่าจะรู้นะคะ ถ้าเทียบรายรับที่ขายได้ขณะนั้นกับรายรับทั้งหมดที่ควรได้แล้วเจอว่ายอดน้อยกว่าปกติก็คือโดนขโมยล่ะ

ไหหม่า(海馬)