เรื่องที่สะพานเชือกขาดกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา จนถึงขั้นว่าปิดข่าวไว้ไม่อยู่ พอตกกลางคืนข่าวก็ลอยเข้าวังหลวงมา
คนที่ปิดถนนคนนั้นก็ถูกจับมาเช่นกัน นั่นคือไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยปล่อยข่าวว่าจะไปจุดธูปที่วัดผู่จี้ รองผู้บัญชาการจึงปิดสะพานและถนนให้นาง
เรื่องนี้หากคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างไรเสียราชวงศ์ออกจากวังไม่มีทางไม่เอิกเกริกใหญ่โตอยู่แล้ว
ขอแค่ไม่เกิดเรื่องก็พูดกันง่ายทั้งนั้น
แต่มันดันเกิดเรื่องขึ้นนี่สิ ซ้ำยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องถึงชีวิตคนด้วย!
ทางไท่จื่อเฟยมีฮองเฮาเป็นผู้ซักถามตำหนิ ส่วนฝ่าบาทเรียกไท่จื่อมาต่อว่าที่ห้องหนังสือยกใหญ่ “ดูเจ้าทำเรื่องงามหน้าสิ! วันแรกของปีใหม่ เริ่มต้นปีอันเป็นมงคล พวกเจ้าสองคนก็หาเรื่องใหญ่โตมาให้แล้ว! เจ้ากลัวว่าบัลลังก์ของเรามันจะมั่นคงเกินไปรึ จึงได้หาเรื่องหาราวมาให้น่ะ”
ไท่จื่อก็ได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นกัน การออกจากวังของราชวงศ์คนใดบ้างที่ไม่เอิกเกริกใหญ่โต ยิ่งไปกว่านั้นไท่จื่อเฟยว่าที่มารดาแห่งแผ่นดินนั่นอย่าว่าแต่นางปิดแค่เส้นทางช่วงหนึ่งหรือว่าจะปิดไปและสะพานทั้งสะพานเลย หรือต่อให้วันนี้นางปิดทั้งวัด ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปจุดธูปไม่ให้ใครเข้าก็ไม่นับว่าผิดอะไร
นี่ไม่ใช่ว่าไท่จื่อเข้าข้างไท่จื่อเฟย แต่ราชวงศ์เป็นแบบนี้กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
นี่เป็นทั้งความเอิกเกริกใหญ่โตของราชวงศ์ และเป็นธรรมเนียมของราชวงศ์เช่นกัน
เว้นเสียแต่ว่าไท่จื่อเฟยจะปลอมตัวออกนอกวัง
แต่แบบนั้นความปลอดภัยของนางก็จะไม่มี
ทว่ายามนี้ฝ่าบาทกำลังมีโทสะ ไท่จื่อจึงไม่กล้าเถียงคืนสักคำ
ฝ่าบาทด่าทอต่อว่า “เจ้าไม่เอาอย่างเจ้าสามเสียบ้าง ภรรยาคนเขาทำการอย่างไร ภรรยาเจ้าทำการอย่างไร”
เนื่องจากองค์หญิงสามได้ยินข้อเสนอของกู้เจียว เลือกคนที่ว่ายน้ำเป็นจากบรรดาองครักษ์ของตัวเองกับองครักษ์ที่เฝ้าอยู่จำนวนมากไปที่ประตูหลังของวัด ทันทีที่สะพานขาดลง นางก็ชี้สั่งการพวกเขาให้ลงน้ำไปช่วยคนเลย
กระแสน้ำไม่เชี่ยวกราด แถมทุกคนก็คว้าไม้ของสะพานเอาไว้ ขอแค่ช่วยได้ทันก็ไม่มีทางจมน้ำตายอยู่ในน้ำแน่นอน
คนตกน้ำส่วนใหญ่ล้วนถูกช่วยขึ้นมาได้ ผู้ที่บาดเจ็บล้มตายมีน้อยมาก
ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นผู้เข้าสอบฤดูใบไม้ผลิของปีหน้ากันทั้งนั้น
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหากช่วยขึ้นมาไม่ได้จะนำความเสียหายในด้านผู้มีความสามารถให้แก่ราชสำนักเป็นอย่างมาก!
เมื่อก่อนฝ่าบาทมีภาพจำที่ดีมากต่อไท่จื่อเฟย อย่างไรเสียก็เคยเป็นคนที่หมั้นหมายกับจี้จิ่วหนุ่ม ทั้งสองคนเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เด็กคนนั้นยอดเยี่ยมเช่นนี้ นางจะด้อยไปกว่ากันสักเท่าใดกันเชียว
เรื่องการแต่งงานครานั้นจะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างไม่เหมาะสม
ไท่จื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องของเซียวเหิง
เขาจะขอแต่งงานกับว่าที่คู่หมั้นของลูกพี่ลูกน้องชายได้อย่างไร
แต่เวินหลินหลังยอดเยี่ยมจริงๆ ซ้ำเซียวเหิงก็จากโลกนี้ไปนานเพียงนี้แล้ว ผนวกกับไท่จื่อก็ชอบนางจริงๆ ภายใต้การไตร่ตรองหลายด้านนี้ ฝ่าบาทจึงเห็นด้วยกันการแต่งงานครานี้
เวินหลินหลังก็ไม่ได้ทำให้ราชวงศ์ต้องผิดหวัง อย่าคิดว่าภูมิหลังของนางไม่โดดเด่นในบรรดาชายาขององค์ชายแล้วความสามารถของนางจะแย่ไปด้วย ความรู้ความสามารถ ปณิธานและวิสัยทัศน์ของนางดีกว่าสะใภ้คนอื่นๆ ของฝ่าบาทมากนัก
วันนี้เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทไม่ได้คาดคิดไว้
ฝ่าบาทก่นด่าต่อว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าความขุ่นเคืองของปวงชนในยามนี้มันมากมายเท่าใด หากวันนี้ไม่ได้ภรรยาเจ้าสามยื่นมือช่วยคนขึ้นมาทันเวลา เสด็จพ่อเจ้าอย่างข้าต้องออกราชโองการวิจารณ์ตัวเองในวันพรุ่งนี้แล้ว!”
กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่จะต้องเขียนราชโองการวิจารณ์ตัวเองให้แก่แผ่นดิน นี่เป็นการตบหน้าราชวงศ์โดยไม่ต้องสงสัย
ไม่มีฮ่องเต้พระองค์ไหนได้เขียนราชโองการวิจารณ์ตัวเองกันสักคน
เรื่องนี้จะถูกบันทึกลงในตำราประวัติศาสตร์ ฉาวโฉ่ไปนับหมื่นปี!
ไท่จื่อโดนตำหนิใส่หน้าโครมๆ
หนึ่งชั่วยามเต็มๆ จึงได้พยุงเข่าเมื่อยขบของตัวเองกลับไปตำหนักบูรพา
องค์หญิงสามสร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ ฝ่าบาทประทานรางวัลให้ทองคำสองพันตำลึง แล้วอัญเชิญราชโองการแต่งตั้งให้องค์ชายสามเป็นรุ่ยอ๋อง องค์หญิงสามเป็นรุ่ยหวังเฟย
นี่เป็นองค์ชายคนแรกที่หลังจากแต่งตั้งไท่จื่อแล้วได้มีการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง
ตามหลักการแล้ว หากจะแต่งตั้งก็ควรเริ่มจากองค์ชายใหญ่ก่อนจึงจะถูก
แต่ขุนนางทั้งบู๊บุ๋นนับร้อยไม่มีใครเอ่ยปากคัดค้านสักคน ช่วยไม่ได้ ชีวิตผู้คนมากมายเพียงนั้น ผู้มีความสามารถที่เป็นเสาหลักแก่ราชสำนักมากมายถึงเพียงนั้นเชียวนะ!
แม้แต่ผู้ตรวจการที่ปากร้ายที่สุดยังเงียบกริบ
องค์ชายสาม…ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกรุ่ยอ๋องแล้ว
รุ่ยอ๋องพาภรรยาของตัวเองเข้าวังมาโขกศีรษะคำนับขอบคุณแก่ฝ่าบาท
ฝ่าบาททรงปรีดายิ่ง เมื่อก่อนรู้สึกว่าโอรสคนนี้ไม่โดดเด่นเอาเสียเลย แต่ความสามารถอย่างสะใภ้เขานั้น อย่างน้อยๆ สายตามองคนเขากับอวี๋เฟยก็ยังไม่แย่
ฝ่าบาทรั้งรุ่ยอ๋องให้อยู่เล่นหมากรุกด้วยสองตา
ส่วนรุ่ยหวังเฟยไปถวายพระพรแก่ฮองเฮา แล้วก็ไปถวายพระพรให้จวงกุ้ยเฟยกับอวี้เฟย จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่สวนหลวง
เดินเล่นไปเล่นมาก็มาถึงหน้าตำหนักบูรพาเสียแล้ว
“เจ้า…” นางชี้นางกำนัลสวี่ “เข้าไปทูลหน่อยว่าข้าขอเข้าเฝ้าไท่จื่อเฟย”
“…เพคะ” นางกำนัลสวี่กัดฟันทำตาม
เพียงไม่นาน นางกำนัลสวี่ก็เดินออกมา ด้านหลังนางมีนางกำนัลวัยกลางคนประดับรอยยิ้มเต็มใบหน้าเดินตามมาด้วย
นางกำนัลวัยกลางคนบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นรุ่ยหวังเฟยมาหานี่เอง ไม่ได้มาต้อนรับตั้งแต่แรก แต่ยามนี้ไท่จื่อเฟยไม่สะดวกรับแขกเพคะ”
รุ่ยหวังเฟยยิ้มเอ่ยว่า “ก็แค่โดนเสด็จพ่อกักบริเวณมิใช่หรือ แถมไม่ได้ให้นางออกมาเสียหน่อย ข้าเข้าไปหานางเองก็ได้!”
เอ่ยจบก็ไม่สนใจนางกำนัลว่าจะเชิญนางหรือไม่ นางยกชายกระโปรงสาวเท้าข้ามธรณีประตูเดินไปทางเรือนตะวันออกของไท่จื่อเฟยโน่นแล้ว
ไท่จื่อเฟยกำลังคุกเข่าอยู่บนเบาะอุ่นคัดคัมภีร์อยู่
“โอ๊ะ นี่พี่สะใภ้ทำอะไรเพคะ” รุ่ยหวังเฟยเลิกคิ้วเดินเข้ามาหา
“รุ่ยหวังเฟย!”
“ออกไป”
นางกำนัลคนหนึ่งเดินไปขวางรุ่ยหวังเฟย แต่โดนไท่จื่อเฟยตวาดห้าม
นางกำนัลคนนั้นถอยหลังไปอย่างเชื่อฟัง
รุ่ยหวังเฟยจึงนั่งลงบนเบาะรองนั่งฝั่งตรงข้ามกับนาง
แต่นางกำนัลสวี่กลับไม่กล้าตามเข้ามา นางรออยู่ด้านนอกด้วยกันกับนางกำนัลวัยกลางคนและนางกำนัลคนนั้นข้างนอก
ไท่จื่อเฟยวางพู่กันลงแผ่วเบา มองรุ่ยหวังเฟยด้วยพระพักตร์เรียบเฉย “ไม่ทราบว่ารุ่ยหวังเฟยมาหาข้าวันนี้ มีธุระอะไรรึ”
รุ่ยหวังเฟยยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้าถูกกักบริเวณ ข้ากลัวเจ้าจะอุดอู้ จึงมาหาเจ้าให้คลายเหงาโดยเฉพาะ เจ้าอย่าโทษข้าที่มาช้าล่ะ ข้าก็เพิ่งได้ยินเมื่อเช้านี้เองว่าเจ้าโดนกักบริเวณ”
ไท่จื่อเฟยไม่ได้ต่อบทสนทนา นางหยิบพู่กันขึ้นคัดคัมภีร์ต่อ
รุ่ยหวังเฟยกลับไม่ได้หมดความสนุกไปเพราะอีกฝ่ายไม่สนใจนาง ยี่สิบปีมานี้นางใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของเวินหลินหลังมาโดยตลอด ในที่สุดก็มีวันนี้ที่นางไม่ต้องถูกเวินหลินหลังข่มเอาไว้เสียที
รุ่ยหวังเฟยยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่สบายใจก็พูดออกมาสิ ไม่ต้องแสร้งทำทีเป็นไม่สนใจหรอก”
“ข้าไม่ได้ไม่สบายใจ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงเรียบ
รุ่ยหวังเฟยหัวเราะ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ได้จะออกจากวังไปวัด แต่บ้านเดิมเจ้าต่างหากที่อ้างชื่อเจ้า เหตุใดเจ้าไม่อธิบายกับเสด็จพ่อให้ชัดๆ ล่ะ”
จุดแข็งของรุ่ยหวังเฟยที่ดีกว่าไท่จื่อเฟยนั้นอยู่ตรงนี้ บ้านเดิมของรุ่ยหวังเฟยไม่เคยทำให้นางต้องลำบาก เพราะบ้านเดิมนางมีจวนหลัวกั๋วกง เป็นที่พึ่งก็แข็งแกร่งเพียงพออยู่แล้ว
เวินหลินหลังกลับไม่ใช่ ตระกูลเวินตกต่ำลงแล้ว บิดานางป่วยหนักอยู่ที่บ้าน พี่ชายนางเป็นเพียงผู้พิพากษาชั้นผู้น้อยในศาลสูงเท่านั้น
แน่นอนว่ารุ่ยหวังเฟยเข้าใจที่ไท่จื่อเฟยไม่อาจไปอธิบายได้นั้นเพราะจะทำให้เรื่องยิ่งแย่ลง และฝ่าบาทจะเข้าใจผิดว่าเกิดเรื่องแล้วนางดีแต่ปัดความรับผิดชอบ
ไท่จื่อเฟยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าได้ยินว่าก่อนที่สะพานจะขาดรุ่ยหวังเฟยก็รวบรวมกำลังคนแล้ว ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นนะ แค่อยากถามรุ่ยหวังเฟยว่ารู้ล่วงหน้าได้อย่างไรรึ”
รุ่ยหวังเฟยดวงตาเบิกโต “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าสงสัยว่าเขาจงใจตัดสะพานให้ข้าอย่างนั้นรึ ข้าไม่ได้จิตใจโหดเหี้ยมเพียงนั้น!”
ไท่จื่อเฟย “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะ”
“ข้า…” รุ่ยหวังเฟยจุกในลำคอ
อันที่จริงนางก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแม่นางกู้รู้ได้อย่างไร นางช่วยคนเสร็จแม่นางกู้ก็กลับไปแล้ว นางก็กังวลเช่นกันว่าแม่นางกู้จะเกี่ยวกับเรื่องสะพานขาดหรือไม่ จึงได้ระมัดระวังไม่ได้พูดถึงนางกับใคร
โรงหมอไม่เปิด แถมนางก็ไม่รู้ว่าแม่นางกู้พักอยู่ที่ไหน
ไท่จื่อเฟยแสยะยิ้ม ก้มหน้าคัดคัมภีร์ต่อ
รุ่ยหวังเฟยรู้สึกตัวขึ้นว่าตนโดนคนจูงจมูกเดินอยู่ก็อับอายกลายเป็นโกรธขึ้นมา ได้สติอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อไม่ได้ตรวจสอบรึ สะพานนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้บูรณะมานานหลายปี ซ้ำเจ้าก็ไล่ศาสนิกชนให้ไปทื่อื่น ไม่เกิดเรื่องสิแปลก!”
ฝ่าบาทตรวจสอบแล้วจริงๆ ไม่มีร่องรอยว่าใครไปแตะต้องสะพานเลย
แต่บนสีหน้าไท่จื่อเฟยยังคงไม่ได้เผยความพ่ายแพ้ที่รุ่ยหวังเฟยต้องการออกมา
รุ่ยหวังเฟยหรี่ตาลง
กว่าจะข่มนางได้สักครั้ง ไม่ได้เห็นท่าทางอกสั่นขวัญหายของนางจะปล่อยผ่านได้อย่างไร
รุ่ยหวังเฟยเท้าศอกกับโต๊ะ โน้มตัวไปใกล้อีกฝ่ายอย่างช้าๆ “อันที่จริงไม่นานมานี้ข้าเพิ่งได้ยินเรื่องหนึ่งมา ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือไม่ จึงได้มาถามเสด็จพี่สะใภ้”
ไท่จื่อเฟยไม่สนใจนาง
รุ่ยหวังเฟยเอ่ยว่า “ได้ยินว่าคืนนั้นที่เกิดเรื่องขึ้นกับท่านโหวน้อย…เขากำลังรอเจ้าอยู่ที่กั๋วจื่อเจียน หากเป็นเช่นนั้นจริง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงเป็นคนที่ทำร้ายเขาให้ตาย”
ไท่จื่อเฟยพู่กันหลุดมือวาดเป็นรอยหมึกยาวบนกระดาษ…