บทที่ 171.1 ไท่จื่อเฟยรับโทษ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เซียวลิ่วหลังชักเท้ากลับจากสะพานเชือก

“จะไปหรือไม่ไปน่ะหา ถ้าไม่ไปก็หลบ!” ชายฉกรรจ์ด้านหลังคนหนึ่งผลักเซียวลิ่วหลังไปด้านข้างอย่างป่าเถื่อนไร้เหตุผล

“เฮ้ย! เจ้าผลักคนได้อย่างไร ลิ่วหลัง! ลิ่วหลังเจ้ารีบขึ้นไปเร็วเข้า” เฝิงหลินโดนฝูงชนเบียดจนขึ้นสะพานมาแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าเซียวลิ่วหลังก็ตามเขาขึ้นสะพานมาติดๆ ไหนเลยจะคิดว่าตำแหน่งของเขาโดนคนแย่งไปแล้ว

เขายื่นมือไปคว้าเซียวลิ่วหลัง

แต่จับไม่ได้เลย

“เจ้าก็กลับลงมาด้วย!” เซียวลิ่วหลังบอกเขา

น่าเสียดายที่ไม่ทันเสียแล้ว

คนมากเยอะเกินไป เฝิงหลินโดนเบียดไปตรงกลางอย่างรวดเร็ว

หลิงเฉิงเย่อยู่ด้านหลังเซียวลิ่วหลัง

เซียวลิ่วหลังไม่ขึ้นไปบนสะพาน เขาก็ไม่ขึ้นเช่นกัน

ทางกู้เจียวยังคงตะโกนว่าอย่ามา สะพานจะขาดแล้ว น่าเสียดายที่มีเพียงคนที่ใกล้ถึงสะพานเท่านั้นที่ได้ยิน แต่พอได้ยินก็ไม่เชื่อนาง พากันส่ายหน้าเดินไปทางวัด

“ไอ้หยา!”

เฝิงหลินโดนคนเบียดข้ามสะพานมาแล้ว ยังไม่ทันยืนให้มั่น โซเซไปสองก้าวก็ล้มลง

เขาลูบหัวเข่าที่เจ็บแปลบก่อนจะคลานขึ้นมา ยังไม่ทันเห็นกู้เจียวที่อยู่ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงหวีดร้องด้านหลังลอยมา

‘ว๊ากกก’

‘อ๊ากกก’

‘กรี๊ดดด’

เฝิงหลินหันกลับไปมอง

พับผ่าสิ!

สะพานขาดแล้ว!

สะพานนั้นไม่ได้ขาดจากตรงกลาง มันขาดฝั่งที่ใกล้จะถึงวัดแล้ว

คนบนสะพานต่างตกลงไปในน้ำเย็นเยียบเสียดกระดูก

เซียวลิ่วหลังเห็นอย่างชัดเจนว่าชายฉกรรจ์ที่ทำตัวป่าเถื่อนใส่ตนเมื่อครู่ขึ้นสะพานไปก็ตกลงไปทันที

เขาตกลงไปอเนจอนาถที่สุด เพราะเมื่อครู่ยืนอยู่สูงที่สุด

หากกู้เจียวไม่ได้ห้ามตนไว้ ถ้าอย่างนั้นคนที่ตกลงไปในน้ำอย่างอนาถก็คงเป็นเขาเองเสียแล้ว

แล้วก็หลินเฉิงเย่ด้วย เขาอยู่ด้านหลังตน คงหลีกเลี่ยงหายนะนี้ไม่พ้น

คนที่ตกน้ำเหมือนเกี๊ยวที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างหนักในแม่น้ำที่เย็นยะเยือก ส่วนคนที่ยังไม่ขึ้นสะพานตกใจจนแข้งขาอ่อน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างด้วยแสงของพุทธะพลันกลายเป็นนรกบนดินทันใด

เซียวลิ่วหลังมองเงาร่างบอบบางฝั่งตรงข้ามไกลๆ

นี่มันครั้งที่เท่าใดแล้วที่นางช่วยตนให้พ้นจากหายนะ

ลมหนาวเย็นยะเยือก นางในชุดสีคราม ชุดคลุมนางขยับพลิ้ว ไหมครามสะบัดไหว ท่ามกลางฟ้าดินขาวกระจ่าง ราวกับเซียนน้อยลงมาเยือนโลกมนุษย์

กู้เจียวเดินกลับมาทางนี้ด้วยสะพานหิน

เฝิงหลินเดินตามหลังนางมาด้วยหน้าซีดเผือด

ว่ากันตามตรง ข้าตกใจจะตายแล้ว!

หากช้าไปแค่ก้าวเดียว คนที่ตกลงไปได้เป็นเขาแน่!

แล้วก็ลิ่วหลังและหลินเฉิงเย่ที่โชคดีไม่ได้ขึ้นสะพานมา ไม่อย่างนั้นพวกเขาสองคนไหนเลยจะหลบพ้น

นึกมาถึงตรงนี้ ขาของเฝิงหลินก็เหมือนจะขยับเขยื้อนไม่ไปได้ ราวกับไปทำเรื่องเลวๆ มามากอย่างไรอย่างนั้น

“เร็วหน่อย” กู้เจียวเร่ง

“อ่า…” เฝิงหลินกอดอกด้วยมือสองข้างพลางเอ่ยเสียงสั่น

นางทำในสิ่งที่นางทำได้แล้ว ที่เหลือก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะไปยุ่งแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นอาณาประชาราษฎร์ทั้งแผ่นดินไม่เกี่ยวอะไรกับนางเสียหน่อย คนที่นางห่วงใยมีเพียงคนผู้นั้นเท่านั้น

ทั้งสี่คนรวมตัวกันมาถึงหน้ารถม้าของหลินเฉิงเย่

ผู้ดูแลโจวเห็นว่าทั้งสี่คนออกมาอย่างปลอดภัยก็พรูลมหายใจโล่งอกยาวเหยียด “ไอ้หยา สวรรค์ ข้าตกใจแทบแย่! ข้าตกใจหมดเลย! เมื่อครู่ข้าได้ยินคนบอกว่าสะพานขาด ก็กำลังคิดว่าท่านชายลิ่วกับพวกเจ้าจะอยู่บนสะพานหรือไม่…ข้า…ข้า…”

หลินเฉิงเย่ลูบหลังผู้ดูแลโจวปลอบใจ

และในขณะนี้เอง หลินเฉิงเย่จึงได้สัมผัสถึงความไม่ธรรมดาของผู้ดูแลโจว

คนที่รอดพ้นเคราะห์ภัยอาจจะอ่อนแอเป็นพิเศษ ในใจเขามองผู้ดูแลโจวเป็นคนรับใช้มาโดยตลอด ทว่ายามนี้กลับเห็นเงาของบิดาในตัวของผู้ดูแลโจวอยู่รางๆ

หลินเฉิงเย่พลันจมูกร้อนผะผ่าว

“ขึ้นรถกันเถิด” ผู้ดูแลโจวยิ้มเอ่ยเสียงสะอื้น

ทุกคนพากันขึ้นรถม้า

แม้ว่าเซียวลิ่วหลังกับหลินเฉิงเย่จะได้รับการช่วยเหลือแล้ว แต่พวกเขาบนรถม้ากลับคล้ายว่าจิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ไม่ได้ที่กู้เจียวตะโกนเมื่อครู่ คิดว่าเซียวลิ่วหลังถูกคนผลักจึงขึ้นสะพานมาไม่ได้

เนื่องจากทั้งสองคนต่างตื่นตกใจกับเหตุการณ์นี้จึงลืมถามกู้เจียวว่ามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ซ้ำยังมาถึงวัดเร็วกว่าพวกเขาอีกด้วย

รถม้ามาถึงบ้านของหลินเฉิงเย่อย่างรวดเร็ว ผู้ดูแลโจวเลิกม่านรถขึ้นแล้วยิ้มเอ่ยกับหลินเฉิงเย่และเฝิงหลินว่า “ท่านชายหก ท่านชายเฝิง พวกท่านลงรถก่อน ข้าจะไปส่งเซียวเจี่ยหยวนกับแม่นางเซียว”

“อ้อ” หลินเฉิงเย่ขานรับแล้วลงรถไปกับเฝิงหลิน

ทั้งสองคนต้องเรียกขวัญโดยด่วน

รถม้าวิ่งไปทางตรอกปี้สุ่ยต่อ

ผู้ดูแลโจวนั่งอยู่บนรถด้วยกันกับคนขับ

ตู้โดยสารเหลือเพียงเซียวลิ่วหลังกับกู้เจียว

เซียวลิ่วหลังมองกู้เจียวแวบหนึ่ง นางออกไปไหนก็มักจะสะพายตะกร้าไปด้วยใบหนึ่ง ในนั้นใส่กล่องยาใบเล็กของนางไว้

วันนี้นางไม่เอาอะไรมาเลย

เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนออกจากบ้าน

เขามองนางเป็นระยะ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสะพานจะขาด”

กู้เจียวเอ่ยโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “อ๋อ เมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนไข้คนหนึ่งมาที่โรงหมอ เพิ่งจะไปจุดธูปที่วัดผู่จี้มา บอกว่าสะพานนั้นไม่ได้บูรณะมาหลายปีมากแล้ว กลัวว่าจะใช้ได้ไม่นาน วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ คนมากมายไปแย่งจุดธูปกันถึงเพียงนั้น สะพานต้องรับน้ำหนักพวกเจ้าไม่ไหวแน่”

ชาติก่อนดีร้ายอย่างไรก็เคยผ่านการจับเท็จมาก่อน แม้แต่สีหน้าเล็กๆ ก็สามารถควบคุมไว้ได้

เซียวลิ่วหลังมองนางนิ่ง “แต่ที่นั่นมีสะพานสองสายนะ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะอ้อมกันไกลไปสะพานเชือกแทน หรือว่าเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าวันนี้จะมีชนชั้นสูงมาปิดสะพานหินเอาไว้”

กู้เจียวแบมือ “แน่นอนว่าข้าไม่รู้อยู่แล้ว ข้าไม่เคยไปวัดผู่จี้เสียหน่อย ไม่รู้ว่าที่นั่นยังมีสะพานหินอีก คนไข้คนนั้นไม่ได้พูดถึงสะพานหินนี่นา ข้านึกว่ามีแค่สะพานเชือกอย่างเดียว”

เหตุผลนี้เยียบยลไร้ช่องโหว่ ก่อนหน้านี้มีคนไข้มาบ่นกับนางว่าสะพานเชือกไม่ได้บูรณะใหม่มาหลายปีแล้วจริงๆ

ทีนี้เซียวลิ่วหลังก็ไม่มีทางค้นหาหลักฐานใดได้แล้ว

ทว่าเซียวลิ่วหลังก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้กับเรื่องมีหลักฐานหรือไม่นั้นมันไม่เกี่ยวกัน

เขามองไปยังกู้เจียว “เจ้าได้…”

ได้อะไร

คำถามนี้หลุดออกมาเซียวลิ่วหลังเองก็ยังไม่เชื่อ

เดิมทีคิดว่ากล่องยาน้อยๆ ใบหนึ่งก็เพียงพอให้เขาขบคิดอยู่แล้ว ใครจะคิดว่ามันมากกว่านั้น

ความลับของนางไม่ได้น้อยไปกว่าเขาเลย

สุดท้ายเซียวลิ่วหลังจึงกลืนความสงสัยทั้งหมดลงไป

ทุลักทุเลผ่านไปได้แล้ว ดีใจจัง!

กู้เจียวโคลงหัว เผยสีหน้าภาคภูมิแบบเดียวกันกับเสี่ยวจิ้งคงออกมา

เซียวลิ่วหลัง …เปิดเผยเร็วขนาดนี้จะดีรึ ข้าจะไม่อายหรือไร

“เซียวเจี่ยหยวน แม่นางเซียว ถึงแล้วขอรับ” ผู้ดูแลโจวที่อยู่นอกหน้าต่างเอ่ยบอก

ทั้งสองคนลงจากรถม้า เซียวลิ่วหลังเอ่ยขอบคุณ จู่ๆ ในลานบ้านก็มีเสียงร้องของเสี่ยวจิ้งคงลอยมา ทั้งสองพากันชะงักนิ่ง!

คราที่แล้วเสี่ยวจิ้งคงโวยวายท่านย่ายังมีให้เห็นอยู่เต็มตา

วันนี้กู้เจียวรีบร้อนออกไป ลืมปลุกเด็กน้อยบอกเขาว่าจะออกไปข้างนอก

หากเขาตื่นขึ้นมาพบว่าเมื่อคืนตัวเองไม่ได้นอนบนเตียงกู้เจียว เช่นนั้นเขาก็จะรู้สึกว่านอนหลับหนนี้เปล่าประโยชน์!

หากแต่เมื่อทั้งสองคนหอบอารมณ์กระวนกระวายใจเดินมาถึงเรือนท้าย กลับเห็นเสี่ยวจิ้งคงกับหมาน้อยตัวหนึ่งในบ้านและลูกเจี๊ยบเจ็ดตัว รวมถึงอินทรีย์ตัวหนึ่งเล่นอยู่บนหิมะอย่างเริงร่า

กู้เจียว …หืม ข้าไม่สำคัญแล้วรึ

เสี่ยวจิ้งคงเห็นกู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังก็วิ่งตึกตักมาหา “เจียวเจียว เจียวเจียว!”

เสียงเล็กๆ ตื่นเต้น

“พี่เขยนิสัยไม่ดี”

เสียงเล็กกดเสียงขรึม

กู้เจียวอ้าปากพะงาบๆ “คือว่า เมื่อครู่ข้า…”

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างน่าเอ็นดูว่า “ข้ารู้ ข้ารู้! เจียวเจียวไปจุดธูปมา! เจียวเจียวอยากให้พระคุ้มครองข้าให้ตัวสูงๆ!”

กู้เจียว เกิดอะไรขึ้นละนี่

แววตาเสี่ยวจิ้งคงคล้ายมีดวงดาวแวววาว “อาจารย์เฒ่าเขามาหาล่ะ”

บทสนทนาเปลี่ยนไปค่อนข้างเร็ว

กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ อย่างนิ่งอึ้ง ก็เห็นเสี่ยวจิ้งคงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากในกล่อง ส่งให้กู้เจียว “เจียวเจียวเจ้าดูสิ!”

นี่มัน…หืม…อะไรน่ะ

กู้เจียวอ่านตัวหนังสือในนี้ไม่ออก

เซียวลิ่วหลังอ่านแล้วเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “โฉนดบ้านของแคว้นเหลียง”

กู้เจียว นี่เก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์จนไปถึงต่างแคว้นเลยรึ

กู้เจียวส่งสายตาที่เข้าใจได้แต่ไม่น่าเชื่อไปให้เซียวลิ่วหลัง เจ้ากับท่านปู่คงไม่ได้ทำโฉนดปลอมขึ้นมาเพื่อปลอบใจเด็กน้อยหรอกกระมัง

เซียวลิ่วหลังชี้ที่ตราประทับ “โฉนดจริง มีตราประทับของศาลาว่าการ”

กู้เจียว “…”

กู้เจียวได้รู้จากปากเสี่ยวจิ้งคงว่าอาจารย์มาทิ้งของขวัญให้เขาเมื่อกลางดึกแล้วก็ไป

กู้เจียวถามว่า “แล้วเจ้าเห็นเขาหรือไม่”

เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิด “เห็นสิ! เห็นสิ!”

เด็กน้อยยึดมั่นในความเชื่อของตัวเองเสมอมา ขอแค่ตนอยากเห็น ไม่เห็นก็กลายเป็นเห็นได้!

กู้เจียวเอ่ยอีกว่าต่อ “เจ้าเป็นคนเปิดประตูให้เขารึ”

เสี่ยวจิ้งคง “ใช่น่ะสิ!”

เด็กน้อยบางครั้งพูดจาก็ตามแต่ใจคิดนัก!

ขอแค่เสี่ยวจิ้งคงเชื่อว่าตัวเองเป็นคนเปิดประตูให้อาจารย์ ตนก็ยังจะผ่านพ้นค่ำคืนอันรื่นเริงด้วยกันกับกับอาจารย์อีกด้วย!

เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะวิ่งไปเล่นแล้ว

ในกล่องยังมีจดหมายแนบมาด้วยฉบับหนึ่ง เป็นลายมือที่กู้เจียวไม่อาจทนมองได้ ในจดหมายบอกว่านางต้องไปแย่งธูป ให้พระคุ้มครองเสี่ยวจิ้งคงให้เติบโตมาตัวสูงๆ กลัวว่าเขานอนคนเดียวแล้วจะรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงอุ้มเขาไปไว้บนเตียงท่านย่า

กู้เจียวมองเซียวลิ่วหลัง “นี่คงไม่ใช่ของจริงกระมัง”

เซียวลิ่วหลังแบมือ “ไม่ใช่ข้านะ”

ตัวหนังสือแบบนี้เขาเขียนไม่ได้จริงๆ

ในที่สุดจี้จิ่วอาวุโสบ้านข้างๆ ก็พรูลมออกมาอย่างโล่งใจยกใหญ่ เขาเลียนแบบจิตรกรชื่อดังมาได้ แต่เลียนแบบลายมือผู้มีพระคุณตัวน้อยเกือบทำเขาตายแล้ว…