เฝิงหลินนอนไปได้ไม่นานก็ปลุกหลินเฉิงเย่ให้ตื่น “ลุกเลิกนอนได้แล้ว ถึงเวลาไปจุดธูปแล้ว!”

หลินเฉิงเย่สะลึมสะลืออยู่พักใหญ่ “จุดธูปอะไร”

เฝิงหลินรีบกระโดดลงจากเตียงมาสวมเสื้อผ้าพลางเอ่ยว่า “เจ้าลืมแล้วรึ วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ ตกลงกันแล้วว่าจะไปจุดธูปที่วัดผู่จี้ก่อนใครไง!”

วัดผู่จี้เป็นวัดที่โด่งดังมากในเมืองหลวง วัดอื่นๆ ขึ้นชื่อเรื่องขอคู่ครองหรือไม่ก็ขอลูกเป็นส่วนใหญ่ แต่วัดผู่จี้ของเมืองหลวงแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องขอให้สอบติดจิ้นซื่อได้

เมืองหลวงมีข่าวลือมาตั้งนานแล้วว่าบัณฑิตที่แย่งจุดธูปที่วัดผู่จี้เป็นคนแรกต่างสอบจิ้นซื่อได้

เฝิงหลินไม่หวังว่าตัวเองจะสามารถสอบจิ้นซื่อผ่าน คุ้มครองเขาสอบผ่านรอบนี้เป็นก้งซื่อได้ก็อามิตตาพุทธแล้ว!

หลินเฉิงเย่เหมือนจะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย เขาดึงผ้าห่มมาคลุมโปง แล้วนอนหลับต่อ

เฝิงหลินดึงผ้าห่มเขาออก “ไม่ต้องนอนแล้ว! รีบลุกเร็วเข้า! ยังต้องไปเรียกลิ่วหลังอีกนะ!”

พอหลินเฉิงเย่ได้ยินว่าต้องเรียกลิ่วหลังก็ตื่นตัวขึ้นมามากทีเดียว

เฝิงหลินไปเคาะประตูห้องฝั่งตะวันออก

เซียวลิ่วหลังตกใจตื่น เขามองกู้เจียวที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ เริ่มไม่อยากลงจากเตียงเท่าใดนัก แต่ก็กลัวว่าตัวเองไม่ออกไป เฝิงหลินก็จะเคาะประตูอยู่อย่างนั้น

เขาลงจากเตียงไปเปิดประตูให้เฝิงหลิน ลมเย็นเยียบโชยพัดมา เขารีบเดินออกไปก่อนจะงับประตูห้องด้านหลัง “มีอะไรรึ”

เฝิงหลินถูมือพลางพ่นลม “ไปจุดธูปน่ะสิ! เร็วเข้า! หากยังชักช้าจะไม่ทันเอานะ! พวกเราต้องแย่งจุดคนแรกอีก! ต่อให้แย่งไม่ได้ แต่ธูปร้อยดอกแรกก็ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น!”

“แต่ว่าขาของ…ลิ่วหลัง จะ…ไม่เป็นอะไรแน่นะ” หลินเฉิงเย่เดินมาถาม

เฝิงหลินเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร! เดินไม่ไกล! นั่งรถม้าไปถึงริมน้ำแล้วพวกเราค่อยข้ามสะพานไปก็ถึงวัดแล้ว!”

ยิ่งไปกว่านั้นเซียวลิ่วหลังก็ทำการผ่าตัดสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทีเดียว เจียวเหนียงบอกว่าขาของเขาไม่เจ็บแล้ว แต่ต้องออกกำลังกายให้มากถึงจะดี!

เรื่องจุดธูปนี้เซียวลิ่วหลังรับปากกับเฝิงหลินไว้เมื่อวันส่งท้ายปีของปีที่แล้ว ตอนนั้นเฝิงหลินบอกว่าหากภายหน้ามีโอกาสได้เข้าเมืองหลวงมาสอบ จะไปไหว้พระที่วัดผู่จี้ได้ให้

เซียวลิ่วหลังไหนเลยจะคิดว่าตัวเองได้เข้าเมืองหลวงจริงๆ

เหตุใดคนที่เคยสาบานไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มาเหยียบเมืองหลวงอีกอย่างเขาจึงมาถึงขั้นนี้ได้กันนะ

“เอาละ เจ้าอย่าเสียงดัง ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าประเดี๋ยว” เซียวลิ่วหลังบอกพลางเดินเข้าห้อง

เขามองกู้เจียวที่หลับสนิทแวบหนึ่ง ก่อนจะดึงผ้าห่มมาห่มให้ เมื่อสวมใส่เรียบร้อยก็ไปล้างหน้าล้างตาที่เรือนท้าย แล้วออกบ้านไปกับทั้งสองคน

ผู้ดูแลโจวรู้ว่าพวกเขาต้องไปแย่งธูปดอกแรก จึงได้มารออยู่หน้าประตูแต่เนิ่นๆ มื้อเช้าก็จัดเตรียมเรียบร้อยอยู่บนรถม้าแล้ว

พวกเขาขึ้นรถม้าเดินทางเร่งรุดไปทางวัดผู่จี้

พวกเขาเพิ่งจะออกไปไม่นาน กู้เจียวก็ฝัน

ครานี้นางฝันเห็นเซียวลิ่วหลัง

ฝันเห็นเขาครั้งสุดท้ายเป็นตอนเดือนหกที่เขาไปสอบที่อำเภอ ครึ่งปีผ่านไปเขาไม่ได้เกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นอีก นางก็นึกว่าจะไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นกับเขาเสียแล้ว

วันแรกของปีใหม่ พวกเซียวลิ่วหลังสามคนไปวัดแห่งหนึ่งที่ชื่อวัดผู่จี้เพื่อแย่งจุดธูปดอกแรก การจุดธูปดอกแรกนี้ไม่ได้มีแค่ในสมัยโบราณเท่านั้น เมื่อชาติก่อนก็นิยมกันมากทีเดียว

เดิมทีก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่จุดธูปเท่านั้น หากแย่งได้ก็เป็นลางที่ดี หากแย่งไม่ได้ก็ไปไหว้พระไหว้เจ้าก็ไม่เลว

ยิ่งไปกว่านั้นเซียวลิ่วหลังเองก็ไม่ได้หวังอะไรกับพระกับเจ้าอยู่แล้ว เขาแค่ไปเป็นเพื่อนเฝิงหลินเท่านั้น

บังเอิญนักที่คนไปแย่งจุดธูปปีใหม่นี้นึกไม่ถึงว่าจะมีชนชั้นสูงอยู่ด้วยคนหนึ่ง เพื่อสะดวกในการเดินเหินของชนชั้นสูงคนนั้น องครักษ์ของเขาได้ยึดสะพานหินไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว

ศาสนิกชนคนอื่นที่อยากข้ามแม่น้ำต้องอ้อมไปใช้สะพานเชือกอีกสาย ปลายทางของสะพานอีกสายคือประตูหลังวัด

สะพานสายนั้นไม่ได้บูรณะมานาน ยามปกติคนใช้สอยไม่เยอะจึงปลอดภัยไร้เรื่องราว แต่วันที่หนึ่งของปีใหม่มีศาสนิกชนมาขึ้นสะพานสายนี้กันอย่างล้นหลาม

น้ำหนักมหาศาลกดทับทำให้เชือกของสะพานขาด บรรดาศาสนิกชนที่ขึ้นสะพานพากันตกลงในแม่น้ำเย็นเยียบเสียดกระดูก

เดือนแห่งเหมันตฤดู ทุกคนต่างสวมเสื้อผ้ากันหลายชิ้น จึงไม่มีใครว่ายน้ำกันได้เพราะมีน้ำมันหนักมาก

ศาสนิกชนที่เคราะห์ร้ายเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เข้าสอบขุนนางฤดูใบไม้ผลิของปีใหม่นี้กันทั้งนั้น จู่ๆ สูญเสียจวี่เหรินไปมากมายถึงเพียงนี้ ราชสำนักเสียหายอย่างหนัก

และการสอบขุนนางฤดูใบไม้ผลิรอบนี้ก็กลายเป็นการสอบที่ผู้เข้าสอบน้อยที่สุดตั้งแต่เปิดประเทศมา

เซียวลิ่วหลังก็เป็นหนึ่งในคนที่ตกลงไปในน้ำเช่นกัน คนข้างหน้าเขาเพิ่งขึ้นไป สะพานก็ขาด เพียงก้าวเดียวเท่านั้น แค่ก้าวเดียว!

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้น่าเสียดาย

แม้ว่าคนจะตกลงไปมากมายเพียงนั้น แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนนั้นที่โชคร้ายที่สุด

กู้เจียวตื่นขึ้นมามองสีฟ้า ฟ้าสว่างรำไรแล้ว พวกเซียวลิ่วหลังสามคนไปถึงตีนเขากันแล้ว อีกทั้งพบว่าสะพานหินใช้สัญจรไม่ได้

เช่นนั้นพวกเขาจึงอ้อมไปใช้สะพานเชือกแทน

เพราะคนเยอะจึงได้แออัดไปตลอดทั้งทาง และเดินได้ช้ามาก

นางอาจจะพอตามทัน

ไม่สิ นางต้องตามให้ทัน

ตลาดปิดในวันแรกของปีใหม่เช่นนี้ รถม้าจึงหาเช่าไม่ได้ แต่ชายชราข้างบ้านน่ะอยู่

กู้เจียวจึงไปเคาะประตู บอกว่าตัวเองอยากไปจุดธูป

จี้จิ่วอาวุโสพยักหน้า แล้วรีบให้หลินเฉวียนขับรถไปส่งกู้เจียวที่วัด

ด้านหน้ายังพอทำเนา แต่เมื่อใกล้จะถึงวัดแล้วก็ติดจนไปไม่ได้

เดิมทีก็แคบอยู่แล้ว ยังจะมาปิดทางให้ชนชั้นสูงนั่นไปตั้งครึ่งหนึ่ง

กู้เจียวเลิกม่านขึ้น “ลุงหลิว ลุงกลับไปก่อน ข้าจะไปเอง”

“ไปได้รึ” หลิวเฉวียนมองฝูงชนคับคั่งแล้วค่อนข้างไม่วางใจ

“ไม่ไกลแล้ว” กู้เจียวกระโดดลงจากรถม้า

นางเบียดฝูงชนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ

จากตรงนี้จะเห็นวัดฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน ทว่าเบื้องหน้ามีเพียงสะพานสายเดียว สะพานนั้นโดนองครักษ์เฝ้าไว้ พวกศาสนิกชนพากันใกล้เกลือกินด่าง เดินไปทางฝั่งตะวันออกริมแม่น้ำ

ทางอ้อมนี้เกรงว่าอย่างน้อยๆ ต้องมีห้าหกลี้

ไม่ทันแล้ว

รอให้นางอ้อมไป เซียวลิ่วหลังก็ขึ้นสะพานไปแล้ว

วิธีเดียวก็คือเดินจากสะพานหินสายนี้เท่านั้น ต้องเดินทะลุวัดไปถึงประตูหลังแล้วคิดหาวิธีขวางเซียวลิ่วหลังที่กำลังจะขึ้นสะพานเอาไว้

กู้เจียวเดินไปทางสะพานหิน

เป็นไปดังคาด โดนองครักษ์คนหนึ่งขวางไว้ตรงหน้าทางขึ้นสะพาน

องครักษ์คนนั้นสวมชุดเกราะ มือถือหอกยาว ท่าทางน่าเกรงขาม

“ตรงนี้ห้ามผ่าน” เขาบอกเสียงเย็นชา

กู้เจียวเหลือบตามองเขา “ข้ามีเรื่องด่วนต้องผ่าน”

องครักษ์เอ่ยเสียงเย็น “ไปจุดธูปคนแรกใครบ้างจะไม่รีบ ทางนั้นยังมีสะพาน ใช้สะพานนั้นสิ!”

แววตากู้เจียวเรียบนิ่ง แต่ทำให้องครักษ์รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างแปลกประหลาด เขาเอ่ยขึ้นอีกว่า “มีคำสั่งเรื่องจุดธูป พวกเราทำอะไรไม่ได้”

กู้เจียวเอ่ยว่า “ทางนั้นคนมากนัก สะพานจะถล่มได้”

องครักษ์คนนั้นหัวเราะเสียงเย็น “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งไปสะพานนั้นมาเอง ยังใช้การได้ดียิ่ง จะถล่มได้อย่างไร”

เดิมทีกู้เจียวยังคิดว่า ตัวเองไปไม่ได้ ให้พวกเขาส่งคนไปขวางไม่ให้คนขึ้นสะพานก็ได้นี่นา

ทว่ายามนี้ดูท่าแล้วจะพูดกันไม่รู้เรื่อง

แววตากู้เจียวเป็นประกายเย็นเยียบ “หากข้าจะผ่านทางนี้ให้ได้ล่ะ”

จู่ๆ แววตานางก็ดุดันขึ้น องครักษ์คนนั้นชะงักไป

ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นแค่แม่นางน้อยคนหนึ่ง องครักษ์จึงเอ่ยเสียงแข็งไปว่า “เช่นนั้นข้าก็จำต้องจับเจ้าไปแล้ว!”

บริเวณทางเข้ามีองครักษ์แปดคน บนสะพานทุกๆ สิบก้าวจะมีองครักษ์สองนาย สะพานยาวสามสิบเมตร ปลายสะพานไปจนถึงทางเข้าวัดล้วนมีองครักษ์ยืนอยู่

ทั้งหมดหนี่งร้อยคน

บริเวณในวัดที่ไม่เห็นอีกเกรงว่าก็มีอีก

ฝ่าวงล้อมองครักษ์หนึ่งร้อยคนออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

แต่วันนี้นางต้องใช้สะพานนั้นให้ได้!

กู้เจียวเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง

องครักษ์ยกมือขึ้นหมายจะจับนาง กู้เจียวกดแขนเขาไว้มือหนึ่ง ยืมแรงพลิกตัวบนหลังเขา ตีลังกากลางอากาศ มืออีกข้างชักดาบที่เหน็บอยู่บั้นเอวเขาออกมา!

นางใช้เข่าข้างหนึ่งยันพื้น แล้วใช้ดาบยันพื้นพยุงตัวไว้ แววตาดุดันดุจดาบน้ำแข็ง

องครักษ์คนนี้ชะงักงันไป เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวหน้าตาไม่น่าพิสมัยคนหนึ่งจะมีฝีมือเช่นนี้

หลังจากได้สติแล้วเขาจึงตวาดเสียงดังว่า “มัวแต่ทำอะไรอยู่ รีบจับนางสิ!”

องครักษ์บนสะพานกรูกันเข้ามาหานาง!

เดิมทีรับมือกับเด็กสาวคนหนึ่งไม่ต้องระดมคนมามากมายเช่นนี้ แต่เมื่อครู่กระบวนท่านั้นของกู้เจียวทำเอาพวกเขาตื่นตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าทุกคนจะชักดาบออกมากันหมด

จู่ๆ บนร่างกู้เจียวก็แผ่รังสีสังหารอันดุดันออกมา

แต่นางกลับไม่ได้คิดจะฆ่าใคร

องครักษ์คนหนึ่งพุ่งมาจะแทงนาง

กู้เจียวฟันใส่ดาบเขา ดาบยักษ์สั่นจนแขนขององครักษ์ชาดิก

แต่ว่านี่ก็แค่องครักษ์คนเดียวเท่านั้น ไม่นานก็มีองครักษ์คนอื่นพุ่งเข้ามาหาอีก

ไม่ฆ่าคน ความเร็วจึงช้าลง

ทางเซียวลิ่วหลังขึ้นสะพานไปแล้ว

มีองครักษ์อีกสามคนพุ่งมาทางนาง ดาบหนึ่งฟาดฟันลงเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น แต่ให้ล้มทีละคนกลับต้องเสียเวลานางมากเกินไป

“อย่าบีบคั้นข้า…”

กู้เจียวกำดาบยาวในมือแน่น

นางไม่ใช่คนใจบุญมาตั้งแต่ไหนแต่ไร องค์กรในชาติก่อนก็ไม่ใช่พันธมิตรที่ห่วงใยกันเพื่อบรรเทาทุกข์อะไรอยู่แล้ว ก็แค่คนที่หนีตายไปสุดขอบฟ้าเท่านั้น เจ้ากล้าเสี่ยงข้าก็กล้าฆ่า!

กู้เจียวกัดฟันตวาดอย่างแรง เท้าข้างหนึ่งปีนไปบนรั้วหินของสะพาน ทะยานตัวขึ้นกลางอากาศพร้อมกับดาบยาว ประกายเย็นเยียบวาบผ่านดวงตาสองข้างของนาง

ไอสังหารอันแข็งแกร่งลอยตลบอบอวล

เมื่อเห็นว่าในที่สุดดาบของนางก็เปื้อนเลือดแล้ว จู่ๆ เสียงอันคุ้นเคยก็ลอยมาจากไม่ไกลนัก “หยุด!”

กู้เจียวรู้สึกแน่นๆ ที่บั้นเอว นางชะงักกลางอากาศโดยพลัน ดาบยาวเปลี่ยนทิศ ฟาดฟันใส่เกราะขององครักษ์สามคนจนแยกออก

องครักษ์ทั้งสามตกใจจนหน้าถอดสี

กระบวนท่านี้โหดเหี้ยมนัก พวกเขาไร้เรี่ยวแรงจะโต้คืนแม้แต่น้อย หากมิใช่เสียงเมื่อครู่นี้ ดาบเล่มนี้คงได้ผ่าเกราะพวกเขาแยกไปได้ง่ายๆ แน่

“องค์หญิงสาม!”

องครักษ์คนหนึ่งจำสตรีในชุดอาภรณ์หรูหราตรงทางขึ้นสะพานได้

เขาประสานมือคำนับให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม

องครักษ์ที่เหลือก็พากันคำนับเช่นกัน

กู้เจียวหันกลับไปช้าๆ

องค์หญิงสามไม่สนใจองครักษ์ที่คำนับให้นาง นางสาวเท้ามาตรงหน้ากู้เจียวอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง แม่นางกู้ พวกเขาทำร้ายเจ้าให้บาดเจ็บหรือไม่”

“ไม่เพคะ” กู้เจียวบอก

องค์หญิงสามพินิจมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่านางไร้คราบเลือดบนร่างก็วางใจลง

แต่ว่านางไม่ใช่หมอหรอกหรือ

เหตุใดจึงใช้ดาบเป็นด้วยล่ะ

ฝีมือเมื่อครู่ทำเอานางอกสั่นขวัญหายไม่น้อย

“แม่นางกู้ เจ้าก็มาจุดธูปเหมือนกันรึ” องค์หญิงสามมองกู้เจียวพลางถาม

ความจริงแล้วองค์หญิงสามก็มาจุดธูปเช่นกัน แต่ไม่ใช่นางที่อยากมา เป็นบ้านเดิมนางที่เร่งเร้าให้นางมาต่างหาก

นางเห็นคนมากันมาก คร้านจะไปร่วมความคึกคักนี้ จึงให้คนมาจอดรถม้าอยู่ในป่าละแวกนี้เพื่อพักผ่อน กะว่ารอให้คนซาลงก่อนค่อยไป ไหนเลยจะรู้ว่าจะมาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบนสะพานหิน

กู้เจียวพยักหน้า “ข้ามีเรื่องด่วนต้องข้ามสะพานเพคะ”

องค์หญิงสามรีบเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด”

“องค์หญิงสาม!” องครักษ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “สะพานนี้…”

องค์หญิงสามเอ่ยเสียงเย็นว่า “ทำไมรึ ข้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม สะพานนี้ข้าเดินไม่ได้หรือไร”

องครักษ์เอ่ยว่า “แน่นอนว่าได้…”

องค์หญิงสามสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นก็รีบหลบข้าสิ!”

พวกองครักษ์พากันสบตากันรอบหนึ่ง สุดท้ายก็แหวกทางให้

องค์หญิงสามเอ่ยกับกู้เจียวว่า “เจ้าเดินเร็วกว่าข้า เจ้าไปก่อนเลย ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“ขอบพระทัยยิ่ง” กู้เจียวเอ่ยขอบคุณ กำลังจะจากไปก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปเอ่ยกับองค์หญิงสามว่า “ท่านพาองครักษ์มาด้วยหรือไม่”

“เอามาสิ” องค์หญิงสามตอบ

กู้เจียวเอ่ยว่า “เรียกองครักษ์ทั้งหมดที่ว่ายน้ำเป็นไปที่สะพานเชือกหน้าประตูหลังวัด”

“พะ…เพราะเหตุใดเล่า” องค์หญิงสามอยากถามต้นสายปลายเหตุ แต่กู้เจียวกลับไม่มีเวลามาอธิบายแล้ว นางถือดาบวิ่งข้ามสะพานตรงไปถึงฝั่งตรงข้ามจึงได้โยนดาบยาวในมือทิ้งไป จากนั้นก็เดินเร็วๆ เข้าวัดไป

องค์หญิงสามจ้องมองนางเอย่างเงียบๆ เฝ้าสะพานให้นางข้ามไป

นางกลับอยากจะตามไปดู แต่จนใจที่บาดเจ็บสาหัสร้อยวัน นางผ่าตัดเสร็จได้แค่เดือนเดียว แม้จะฟื้นตัวดีมาก แต่อย่างไรก็ไม่กล้าออกแรงมากอยู่ดี

เมื่อนึกถึงคำพูดของกู้เจียว นางก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เหตุใดต้องเป็นองครักษ์ที่ว่ายน้ำเป็นด้วยละ แม่นางกู้จะทำอะไรกันแน่”

หลังจากที่กู้เจียวเข้าวัดไปแล้ว ก็ถามพระอย่างรวดเร็วว่า “ประตูหลังอยู่ตรงไหนรึ”

“ทางนั้น อ้อมจากตำหนักเทียนหวังไป เดินไปสุดทางก็จะเห็นสวนเล็กๆ เจ้าค่อยเดินไปทางซ้าย…” พระพูดได้ครึ่งทางก็ไม่เห็นกู้เจียวแล้ว

กู้เจียวปีนไปบนหลังคา กระโดดขึ้นลงไปทั้งทาง ใช้ทางตรงไปยังประตูหลังโดยตรง

พระรูปนั้นตกใจจนปากอ้าตาค้าง “อามิตตาพุทธ อามิตตาพุทธ…”

คนตรงประตูหลังก็มีเยอะเช่นกัน กู้เจียวเดินสวนไปจนถึงสะพานเชือก นางมองเชือกที่แขวนสะพานแวบหนึ่ง ใกล้จะขาดจริงๆ ด้วย

นางเบี่ยงเท้าไปด้านข้างสองสามก้าว มองแวบเดียวก็เห็นเงาร่างนั้นท่ามกลางฝูงชน

เขาใกล้จะเดินขึ้นสะพานแล้ว

กู้เจียวตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “อย่ามา!”

บนสะพานเชือกคนเต็มไปหมด บนสะพานอีกฝั่งก็ไม่ได้น้อยไม่กว่ากัน ผู้คนล้นหลาม เพียงพริบตาเสียงตะโกนที่มีจากฝั่งตรงข้ามก็โดนกลบไป

ทว่าเซียวลิ่วหลังคล้ายได้ยินแว่วๆ มา ใจเขาพลันกระตุก เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณทันที

เท้าข้างหนึ่งของเขาเหยียบสะพานแล้ว

เขาชะงักมองฝั่งตรงข้ามก็เห็นกู้เจียวยืนมองเขาด้วยสีหน้าร้อนใจโดยมีแม่น้ำกางกั้น

กู้เจียวไม่ใช่คนเป็นโรคใบหน้าอัมพาต แต่น้อยนักที่จะมีอารมณ์ปรากฏอยู่บนสีหน้า แววตาร้อนรนเพียงนี้ เขาเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

อย่ามา

นางบอก