ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 159 สายลมใบไม้ผลิเข้าสู่ยามราตรี

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 159 สายลมใบไม้ผลิเข้าสู่ยามราตรี

“ท่าน เหล่านี้คือเอกสารที่ท่านต้องการ”

บุรุษหนุ่มสวมเกราะอ่อนกรมผู้คุมกฎวางเอกสารบนโต๊ะไม้ ก่อนจะมองบุรุษที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่อีกด้านของโต๊ะไม้

บุรุษหนุ่มคนนั้นมีชื่อว่ากู้เชียน

ตอนนี้กู้เชียนมีแววตาแปลกไปเล็กน้อย เขาคือผู้ช่วยทูตผู้ถือคำสั่งกรมผู้คุมกฎที่เพิ่งรับตำแหน่ง สำหรับเขา การได้ตำแหน่งนี้มาไม่ง่ายเลย คนส่วนใหญ่ทำงานทั้งชีวิตก็เป็นเพียงตัวเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงของกรมผู้คุมกฎ ดังนั้นเขาจึงรักษาโอกาสนี้ของตนไว้อย่างดี…ภารกิจเบื้องหน้าของเขาคือเป็นผู้ช่วยทูตผู้ถือคำสั่งท่านนี้ ออกไปทำงานอย่างเชื่อฟัง

กู้เชียนไม่รู้อย่างอื่น รู้แค่ว่าท่านนี้แซ่กงซุน นามเดี่ยวคือคำว่าเยวี่ย เป็นทูตผู้ถือคำสั่งของกรมผู้คุมกฎเมืองหลวง เล่าลือว่ามีเบื้องหลังหนาแน่นมาก

รู้แค่นี้ก็พอแล้ว

แน่นอนว่าเขายังรู้อีกหน่อย

กงซุนเยวี่ยเปลี่ยนลูกน้องบ่อยมาก ท่านทูตคนนี้เหมือนจะชอบเลื่อนขั้นคนใหม่มาก และยังชอบเปลี่ยนคนใหม่อีกหลังจากอีกช่วงเวลาหนึ่ง

ความจริงตำแหน่งทูตผู้ถือคำสั่งไม่ได้ใหญ่ แต่อยู่ในเมืองหลวงก็มีอำนาจที่คนปกติคาดไม่ถึง…ที่กู้เชียนมีสายตาแปลกๆ ก็เพราะเหตุผลอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อวานเขาเพิ่งรับตำแหน่งก็ทำงานตลอดทั้งคืน

ต่อให้ทำงานตลอดทั้งคืน กู้เชียนก็ยังกระปรี้กระเปร่า ระหว่างทางที่เขามาได้คิดอยู่หลายครั้งว่าท่านกงซุนเยวี่ยที่ตนพบ ตนควรจะแสดงออกอย่างไรให้ไม่มีความผิดพลาด คิดอยู่ในหัวสิบกว่ารอบ แต่เมื่อเขาผลักประตูห้อง…

เขาไม่นึกเลยว่าบุรุษที่นั่งอีกฝั่งของโต๊ะจะต่างจากที่ตนจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง…มีใบหน้าที่อัปลักษณ์อย่างยิ่ง

กู้เชียนพยายามให้สายตาตนดูไม่มีความผิดปกติอะไร

บุรุษทางนั้นของโต๊ะ เลือดเนื้อบนหน้าเหมือนถูกคนเอามีดฟันอย่างแรง กรีดและบีบเป็นก้อน มองหน้าเดิมไม่ออกเลย

ใบหน้าเขาเสียโฉม

กงซุนเยวี่ยมีสีหน้าสุขุม เขาชินกับสายตาเช่นนี้แล้ว ต่อให้เป็นอย่างนั้นใบหน้าเขาก็ยังดุร้าย เหมือนดอกไม้โคลนที่ทำให้คนหวาดกลัว มองไปดูเป็นคนชั่วอย่างยิ่ง

เขายังคงหลับตา ขานรับจากในรูจมูกเบาๆ จากนั้นตื่นจากการหลับตาพักผ่อน หยิบผ้าดำขึ้นมาจากบนโต๊ะ ผูกไว้ที่หลังศีรษะ ใช้ผ้าดำปิดใบหน้าตน

กู้เชียนรีบรวบรวมสมาธิ ก้มหน้าลง

เขาเอ่ยเนิบนาบ “ที่ท่านให้ข้าตรวจสอบ ยังตรวจไม่พบขอรับ สองคนนั้นเหมือนจะใช้กลอุบายผิดกฎหมายเข้ามา เอกสารสองปีมานี้วางไว้บนโต๊ะให้ท่านแล้ว”

สิ่งแรกที่กงซุนเยวี่ยให้เขาทำ

คือหาข้อมูลที่สอดคล้องกับเงื่อนไขจากการเข้าออกด่านเมื่อสองปีก่อนของแดนประจิม

กงซุนเยวี่ยที่พิงเก้าอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง กดเอกสารช้าๆ กู้เชียนพิจารณาท่านทูตผู้ถือคำสั่งอย่างระมัดระวัง ใจนึกหากปิดส่วนล่างของใบหน้า มองแค่ดวงตาก็ไม่ได้รู้สึกถึงจิตสังหารอะไร

“คนนั้นที่ท่านต้องการตรวจสอบ เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งได้รับแต่งตั้งเอาใจใส่จากในวัง เป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจหนุ่มในอนาคตของเมืองหลวง” กู้เชียนโค้งตัวเล็กน้อยก่อนเตือนอย่างจริงจัง “การเข้าดินแดนผิดกฎหมายมีกำลังตรวจสอบน้อยมาก หากจะตรวจสอบจริงๆ ก็อาจจะเจอกับปราการหลายชั้น ต่อให้ตรวจสอบออกมาได้ ด้วยฐานะของอีกฝ่ายก็จะรอดไปได้ง่ายๆ”

กงซุนเยวี่ยพลันหยุดมือนั้นที่วางบนเอกสาร

เขาเอ่ยเสียงเบามาก “มีคนเคยบอกกับเจ้าเรื่องสามสิ่งต้องห้ามในการทำงานที่นี่หรือไม่”

กู้เชียนงุนงงเล็กน้อย

“จำไว้…ข้อแรก ทำสิ่งที่ตนควรทำให้ดี ข้อสอง อย่าถามในสิ่งที่ตนไม่ควรถาม ข้อสาม อย่าฟังในสิ่งที่ตัวเองไม่ควรฟัง”

น้ำเสียงของกงซุนเยวี่ยไม่หนักแน่น เขาพูดเรื่องนี้เบาๆ ขณะเดียวกันยังมองสองดวงตาของกู้เชียน เขาใช้ผ้าดำคลุมใบหน้า พลันมีกลิ่นอายดุร้ายหลั่งไหลมาจากดวงตา ทำให้ผู้ช่วยที่เพิ่งรับตำแหน่งถอยไปสองก้าวตามจิตใต้สำนึก

“เกิดเรื่องแล้ว ย่อมมีคนหนุนหลังเอง” เขาเอ่ยช้าๆ ราบเรียบ “ให้เจ้าตรวจสอบบันทึกเข้าออกแดนประจิมของหนิงอี้เมื่อสองปีก่อน เจ้าก็ไปตรวจสอบ ตรวจเจอหรือไม่เจอ วางเอกสารไว้ที่นี่ก็พอแล้ว”

“เจ้าไม่ต้องเตือนเรื่องฐานะของหนิงอี้ตอนนี้”

ตอนที่เอ่ยคำพูดนี้ แววตากงซุนเยวี่ยปะปนกลิ่นอายมรณะ เขาจ้องกู้เชียนลึกๆ ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ควรถามว่าเหตุใดข้าถึงตรวจสอบ ต่อให้ข้าบอกเจ้า เจ้าก็ไม่ควรฟัง เข้าใจหรือไม่ ข้าจะไม่เตือนเจ้าเป็นครั้งที่สองอีก!”

กู้เชียนรีบก้มหน้าลง

กงซุนเยวี่ยพลันขมวดคิ้ว เขาพิงเก้าอี้ ตัวเอนไปข้างหลัง เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวข้างนอกดึงดูดความสนใจของเขา เปิดหน้าต่างไม้ออก ยังมีสายลมหนาวสามส่วนพัดเข้ามา เอกสารบนโต๊ะไม้ปลิวขึ้น กู้เชียนรีบใช้สองมือกดไว้ มือเท้าพันกัน โอบเอกสารที่จะปลิวไปไว้ในอ้อมกอด

กงซุนเยวี่ยมองไปนอกหน้าต่าง มองถนนเมืองหลวงที่คึกคักใต้อาคารด้วยสีหน้าไม่แน่ใจนิดๆ

เขาถามเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “วันนี้วันอะไร”

กู้เชียนที่โอบเอกสารกองใหญ่มีแววตาแปลกประหลาด พบว่าคุณชายกงซุนท่านนี้ไม่ได้มองตน ดังนั้นเขาจึงเลื่อนสายตาออกจากอักษรในเอกสารช้าๆ และละโมบ

ความจำเขาดีมาก

กู้เชียนหลังตาลงครุ่นคิด ก่อนพูดอย่างระมัดระวัง “แดนอุดรเหมือนจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายบางอย่าง การล่าเหยื่อจบลงก่อนเวลากำหนด…ดังนั้น วันนี้คือวันสุดท้ายของวันล่าเหยื่อ และเป็นวันที่สององค์ชายจะกลับจวน”

……

เสียงบนถนนดังคึกคักเล็กน้อย

รถม้าสองคัน คันหนึ่งสีดำ อีกคันสีขาว แกะสลักดอกบัวบูรพาและประจิมสองแดน หน้าหลังซ้ายขวาโอบล้อมกลุ่มใหญ่ เคลื่อนไปช้าๆ สองข้างทางเมืองหลวงมีคนอ่านผลงานวันล่าเหยื่อในครั้งนี้เสียงดัง

แดนบูรพาแดนประจิม ยอดฝีมือและผู้แข็งแกร่งที่ไปแดนอุดรครั้งนี้มีนับไม่ถ้วน…วันล่าเหยื่อในอดีตไม่ได้ใหญ่เท่าครั้งนี้ ย่อมไม่มีผลงานอู้ฟู้เท่าครั้งนี้

สัตว์ปีศาจที่สังหาร ศพก็ดี เนื้อหนังก็ดี แก่นปีศาจที่นำออกมา ไข่มุกครรภ์ พวกนี้เป็นทรัพย์สินที่เมืองหลวงต้าสุยจะกระจายไปในสี่เขต

คนที่ติดตามข้างรถม้าสองคันเป็นทหารม้าเหล็กที่มีสีหน้าเฉยเมย นอกจากนี้ยังมีผู้บำเพ็ญที่ร่วมวันล่าเหยื่อและสร้างคุณูปการให้ต้าสุยอย่างมาก พวกเขามีสีหน้าสับสนเล็กน้อย…การปะทุตอนท้ายสุดในวันล่าเหยื่อทำให้สถานการณ์ของที่ราบสูงเทพสวรรค์เสียการควบคุม ตอนนี้สามกรมคุมสถานการณ์ไว้ได้ การล่าจึงถูกหยุดลง

ประชากรในเมืองหลวงได้ฟังยอดผู้บำเพ็ญเอ่ยผลการล่าในครั้งนี้แล้วก็มีสีหน้าคึกคัก กำสองหมัด ชูธงด้วยความตื่นเต้น

ต้าสุยไม่มีทางบอกประชาชนได้เลยว่าภูเขาแดงเกิดอะไรขึ้น…ดังนั้นสององค์ชายกลับมาก่อนจึงใช้คำว่า การล่าได้รับความคืบหน้าในการรบตามที่คาดหวังไว้จึงกลับเมืองหลวงก่อน และเพื่อรักษาสมดุลของสัตว์ปีศาจเป็นเหตุผล นี่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก พลังของต้าสุยแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ก็หมายความว่าเผ่าปีศาจยิ่งไม่อาจต้านสงครามโลกเทาได้

สององค์ชายที่นั่งกันคนละตู้รถม้ามีสีหน้าหลากหลาย

เหมือนยอมรับชะตาอย่างรู้กัน…

รถม้าดอกบัวสีดำกับรถม้าดอกบัวสีขาว ต่างเปิดม่านรถมุมหนึ่ง สองคนนั่งชิดหลังเก้าอี้รถม้า สบตากันช้าๆ

“หนิงอี้ยังไม่ตาย”

เสียงของหลี่ไป๋หลินเบามาก ข้ามผ่านกลางรถม้าสองคัน เขาคลึงระหว่างคิ้ว ถามปนโกรธ “เจ้าจะให้หานเยวียหลอมรวมเขารึ เจ้าคิดอย่างไรกัน”

องค์ชายรองมีสีหน้าปกติ เอ่ยราบเรียบ “อะไรกัน มีแต่เจ้าที่จัดการเขาได้ แต่ข้าห้ามลงมือรึ”

“ข้ารู้ว่าเจ้าตรวจสอบเขามาตลอด” หลี่ไป๋จิงยิ้ม “ผู้ใต้บัญชาเจ้ามีคนแซ่กงซุน ทำเอกสารได้สะอาดมาก สวมผ้าดำแสดงมาตลอด เกรงว่าคงเป็นคนที่เปิดเผยไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงทูตผู้ถือคำสั่งตัวเล็ก แต่หลังจากวันนั้นที่ตรอกฝนพรำก็รับตำแหน่งอย่างราบรื่น ขอบเขตอำนาจมากมายของกรมผู้คุมกฎเปิดทางให้เขา ชีวประวัติของหนิงอี้ ออกจากแดนประจิมอย่างไร เข้าเขาสู่ซานอย่างไร เขากำลังตรวจสอบทั้งหมด ทุกเรื่องจะเปลี่ยนผู้ช่วยหนึ่งคน”

หลี่ไป๋หลินหรี่ตาลง

“ดีมาก เจ้าไม่ได้ทำเป็นตกใจ…” องค์ชายรองพูดเสียงเบา “แม้เจ้ากับข้าจะถือว่าเป็นพันธมิตรในบางความหมาย แต่เจ้าต้องรู้ว่าทุกเรื่องที่แดนประจิมทำ ข้ารู้ดีทุกอย่าง กงซุนมีกำลังตรวจสอบหนิงอี้ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน ไม่ใช่แค่แดนบูรพา สำนักเต๋าก็รู้แล้ว ได้ยินว่าอีกไม่นาน เฉินอี้จะเข้าเมือง ด้วยท่าทีของสำนักเต๋า พวกเจ้าตรวจสอบอะไรไม่ได้หรอก”

หลี่ไป๋หลินพิงรถม้า เขาเอ่ยเนิบนาบ “สำนักเต๋าเป็นคนช่วยทำเอกสารของหนิงอี้ สมบูรณ์แบบมาก แทบจะไม่มีตกหล่น เขาเป็นเด็กกำพร้าเทือกเขาประจิม กรมข่าวกรองของต้าสุยเก่งกาจกว่านี้ก็ไม่มีทางไปถึงตัวประชากรทุกคนได้ ส่วนเด็กกำพร้าที่เติบโตในป่าเขา ผ่านอะไรมาบ้าง ต่อให้เจ้ากับข้ามีมือเท้าเชื่อมฟ้าก็ไม่อาจรู้ได้”

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ หลี่ไป๋หลินก็ถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น โยนทุกอย่างทิ้งไป เจ้าคิดว่าเขาควรประสบอะไรล่ะ”

นี่เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก

ควรประสบอะไร ไม่ใช่เคยประสบอะไรมาบ้าง

เอกสารและการตรวจสอบมากมายรู้ว่าหนิงอี้เป็นคนแบบใด

เข้มแข็ง

หัวแข็ง

ดื้อรั้น

นี่เป็นหญ้าเล็กต้นหนึ่ง มีปราณกระบี่ของสวีจั้ง เริ่มเหยียดหลังตรง

มีคนอยากจะให้หญ้าต้นนี้เติบโตไปในทางที่ตนอยากเห็น

ดังนั้นถึงมีคำตอบนี้

“ความแค้น”

องค์ชายสามไม่คิดอะไรมาก พูดสามคำตามจิตใต้สำนึก

เขาหลับตาลง นึกไปถึงสิ่งที่สวีชิงเค่อเคยพูดกับตน น้ำเสียงช้าลง พูดอย่างแน่วแน่ “ต้องเป็นความแค้น เป็นได้แค่ความแค้น”

หลี่ไป๋จิงเงียบลง

เขาดึงม่านรถกลับมา สองรถม้าเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน เคลื่อนตัวไปช้าๆ ท่ามกลางเสียงดังในเมืองหลวง ทันใดนั้นหลี่ไป๋จิงเอ่ยมาประโยคหนึ่ง

“เด็กสาวแซ่เผยข้างกายหนิงอี้นั่น”

องค์ชายสามพูด “แล้วอย่างไร”

หลี่ไป๋จิงพูดสองคำง่ายๆ “ต้องตรวจสอบ”

“ตระกูลเผยล่มสลายไปแล้ว” หลี่ไป๋หลินก้มหน้าลง ขมวดคิ้วขึ้น “นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้”

“ไม่ใช่ความเห็นของแดนประจิม แดนประจิมขวางไม่ได้” องค์ชายรองพ่นลมหายใจ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “อาจจะเป็นคดีน่าสงสัยของจวนเขาครามที่ทำให้ความสงสัย…เอกสารของหนิงอี้อยู่ในมือกงซุนเยวี่ยแล้ว วังจะตรวจสอบ เรื่องนี้เป็นสายลมใบไม้ผลิเข้าสู่ยามราตรี ขวางก็ขวางไม่ได้”

องค์ชายสามในรถม้าเงียบไปชั่วครู่

เขาพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “ในเมืองหลวงมีไข่มุกเชื่อมสวรรค์ แต่ก็ยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้…เดิมทีข้าคิดว่าเขารู้ทุกอย่าง ตอนนี้ข้าคิดว่าเขาชราแล้ว เขาชราแล้วจริงๆ”