ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 160 ธูปหอม

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 160 ธูปหอม

โต๊ะหมู่บูชาภายในห้องปักธูปดอกหนึ่ง

เด็กสาวนั่นหน้าโต๊ะหนังสือ นางออกแรงคลึงระหว่างคิ้วด้วยความกลุ้มใจ เปิดตำรา แต่ผ่านไปนานก็ยังสงบใจลงไม่ได้

ควันธูปหอมวนเวียน

ไม่ใช่ว่าเผยฝานเชื่อสำนักพุทธเขาวิญญาณ เพียงแต่ตอนเด็กนางอยู่ในอารามโพธิ์ของเทือกเขาประจิมจนชิน ทุกครั้งที่จิตใจไม่สงบ จุดธูปดอกหนึ่งก็จะช่วยให้นอนหลับสบาย ถึงตอนที่ตนขอพร ก็จะปักธูปในเถ้าถ่านบนแท่น จะช่วยลบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ออกไปได้

“ขอให้หนิงอี้ปลอดภัย…”

“ขอให้พายุหิมะเบาลงกว่านี้หน่อย ฝนก็เบาลงหน่อย ทางเดินง่ายขึ้นหน่อย…”

เสียงพึมพำลอดผ่านควันธูปวนเวียน

วันนี้ไม่เหมือนเดิม

เด็กสาวไม่ต้องเขย่งเท้าปักธูปอย่างระมัดระวังเหมือนในอารามโพธิ์เทือกเขาประจิม หลังจากขอพรแล้วก็กลั้นใจ เป่าธูปดับ

พายุหิมะผ่านไป ก็คือต้นใบไม้ผลิ

ข้างนอกมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว

เผยฝานจำวันล่าเหยื่อเสร็จไว้ในใจ ยังไม่ใช่วันนี้ นอกจวนตนไม่น่าจะเสียงดังขนาดนี้…ไม่มีเสียงตะโกนห้ามของนักพรตชุดคลุมหยาบ ดูท่าพวกเขาเหมือนจะไม่อยากล่วงเกินอีกฝ่าย เป็นใครกันที่มาเยือน

เด็กสาวผลักประตู นางขมวดคิ้วขึ้น เดินเร็วๆ มาหน้าประตูจวน จากนั้นใช้สองมือแง้มออกเป็นเส้นยาว

แสงตะวันส่องเข้ามา

นางเห็นใบหน้ารูปไข่งดงามยิ่ง

สวีชิงเยี่ยนหามหนิงอี้มาด้วยความลำบาก เด็กหนุ่มที่ก้มหน้ายังคงหลับใหล ใบหน้าไม่มีสีเลือดเลย ขาวซีดและแห้งเหี่ยว แขนพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว มีเลือดซึมออกมา ดูค่อนข้างน่าอนาถ ในมือยังถือร่มกระดาษมันที่พังเละไปหมด

นอกประตูจวนมีทหารม้าเหล็กที่มีพลังน่าเกรงขามสิบกว่าคนควบม้าเข้ามา บุรุษหนุ่มที่นำหน้ามาห้อยกระบี่สั้นยาวสามเล่มตรงเอว เก็บป้ายคำสั่งที่เป็นตัวแทนฐานะในสำนักเต๋าของตนกลับไปด้วยรอยยิ้ม ตบๆ บ่าของนักพรตชุดคลุมหยาบสองคน ก่อนจะหันไปถลึงตามองทหารม้าเหล็กที่คิดจะทำอะไรไม่ดีข้างหลังตนด้วยสายตาเตือนสิบส่วน

ม้ากระทืบเท้า ส่งเสียงจมูกดัง พวกนี้คือม้าสงคราม ห้อวิ่งบนที่ราบเทพสวรรค์มาหลายปี มีนิสัยป่าเถื่อนทำลายล้างทุกอย่าง การขวางของนักพรตชุดคลุมหยาบไปยั่วโทสะพวกมัน

ทหารม้าเหล็กสิบกว่าคนหน้าแดง ต่อว่าไปสองที ก่อนจะตบหัวม้าใหญ่ข้างล่างแรงๆ

ไม่นานนัก ประตูจวนขุนนางรองท่องกระบี่ก็เงียบลง

…….

ในความคิดเด็กสาวว่างเปล่า นางผลักประตูจวนตามจิตใต้สำนึก หามบ่าอีกข้างของหนิงอี้ เส้นทางจากลานบ้านไปในห้องไม่ไกล แต่นางรู้สึกเหนื่อยมาก…จนวางหนิงอี้ลงบนเตียง คลุมด้วยผ้าห่ม นางก็ตรวจสอบดูอย่างเต็มที่ บาดแผลในตัวหนิงอี้ไม่ใหญ่ บาดแผลภายนอกน้อยมาก ล้วนเป็นบาดแผลข้างใน ใช้ความเป็นเทพเกินขีดจำกัดจากในไปสู่นอก ดังนั้นพลังในกายจึงไม่อาจมัดไว้ได้อีก ‘ขวดแตกน้ำก็ไหลออก’ ภาชนะบาดเจ็บสาหัสมาก น้ำในนั้นก็หลั่งทะลักออกมา ซึมผ่านผิวหนัง

ครั้งก่อนที่ออกกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด บาดแผลของหนิงอี้ไม่ได้หนักเท่านี้

เด็กหนุ่มที่นอนบนเตียงเหมือนหลับอย่างปลอดภัย เกราะเกล็ดอ่อนที่เขาสวมแตกออก ถูกฟันแตก มีรอยใยแมงมุมตรงหัวใจ ตำแหน่งตรงกับหัวใจพอดี ต้านหายนะความตายไว้ได้ ยันต์ที่พกติดตัวใช้แทบหมด ไม่มีของก้นหีบที่ใช้ได้อีก

จินตนาการได้เลยว่าภูเขาแดงครั้งนี้ หนิงอี้ผ่านความลำบากมามากเพียงใด

เด็กสาวยืนอยู่ข้างเตียง นางมีสีหน้าปั้นยากนิดๆ หลังคลุมผ้าห่ม นางก็ก้าวเท้ายาวออกจากห้อง และยังถือโอกาสแปะยันต์กันเสียง ลอยอยู่หลังประตูหนิงอี้ จากนั้นปิดประตู

นางพิงประตูไม้ของหนิงอี้

อารมณ์ที่เรียกไม่ถูกหลั่งไหลในใจนางช้าๆ จากนั้นมาถึงริมฝีปาก เปลี่ยนเป็นเสียงแหบแห้ง

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น”

นางกวาดสายตาจากลานบ้าน มีหลายคนเข้ามาในลานบ้าง บุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าโอนอ่อนและสวมเกราะเบาของกรมปราบปีศาจรวมถึงทหารม้าเหล็กที่ลงจากม้ากลุ่มหนึ่ง

แต่นางรู้จักเพียงแม่นางงดงามที่มีสีหน้าไม่แน่ใจคนนี้

ดังนั้นเสียงนี้จึงถามแม่นางท่านนั้น

เกิดอะไรขึ้น

หนิงอี้ไปแดนอุดรดีๆ…เหตุใดถึงกลับมาเป็นสภาพนี้

สวีชิงเยี่ยนส่ายหน้า ฟังออกถึงความโกรธลับๆ ในน้ำเสียงเด็กสาว ยังไม่ทันพูดอะไร

“เป็นฝีมือคนใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ” ซ่งอีเหรินหรี่ตาลง เขารู้ว่าหนิงอี้มีความขัดแย้งกับสององค์ชายต้าสุย และเขายังรู้ว่าอะไรควรพูดและไม่ควรพูด เขาหยิบเศษดาบแตกขึ้นมา พูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เจอในภูเขาแดง…นับว่าเป็นอาวุธที่ยึดมาได้จากข้าศึกของหนิงอี้ ของเจียงหลินใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ ยอดปีศาจขอบเขตที่สิบ สามอันดับแรกในรุ่นเยาว์เผ่าปีศาจ ล่าวารีที่เขาดึงมาจากสุสานโบราณบิดา ถูกเขาฟันหัก”

“เขาน่าจะใช้พลังเกินขีดจำกัด สู้กับเจียงหลินในแดนผนึกแสงดารา ไม่มีใครได้เปรียบใคร ดูจากแนวโน้มแล้ว…หลับสองวันก็คงฟื้น” ซ่งอีเหรินยิ้ม พลันเอ่ยขึ้น “ยัยหนู”

เผยฝานเหม่อลอยไปเล็กน้อย

คนที่ซ่งอีเหรินเรียกว่า ‘ยัยหนู’ ไม่ใช่นาง

นอกจวน หญิงสาวสวมเกราะแดงองอาจห้าวหาญกอดกล่องไม้หนักใบหนึ่ง วางลงในลานบ้าน กล่องไม้พันโซ่หนัก หญิงเกราะแดงวางกล่องไม้ลงแล้วก็ดึงปิ่นปักผมไม้ออกมา เส้นผมยาวสยาย ก่อนจะฟันปิ่นปักผมเฉียดผ่านเหมือนกระบี่

โซ่หนักที่พันกล่องไม้แตกออกตามเสียง

จูซากัดปิ่นปักผมไม้ สองมืออ้อมหลังศีรษะ ยืนข้างซ่งอีเหรินเงียบๆ ม้วนเส้นผมยาว

“ขอแนะนำตัวหน่อย…ข้าคือทูตผู้ถือคำสั่งของทหารม้าเหล็กสามสิบเก้าอักษรทมิฬกรมปราบปีศาจ” บุรุษหนุ่มเกาศีรษะ “ข้าแซ่ซ่ง…ในกล่องมียาบำรุงให้เล็กน้อย เจ้าจะเข้าใจว่าเป็นพวกสมบัติฟ้าดินก็ได้ ตามกฎต้าสุย ข้าก็ไม่รู้ว่าข้อใด แต่คุณชายหนิงอี้ควรได้รับของพวกนี้”

เด็กสาวเผยฝานเงียบลง

จูซาเลิกคิ้วขึ้น รวบเส้นผมเสร็จ ปากยังคาบปิ่นปักผม พูดคลุมเครือ “ของจากในวัง รับไว้เถอะ”

“เช่นนั้น…เราก็ไม่รบกวนแล้ว”

ซ่งอีเหรินคีบสองนิ้วมือ ยกขึ้นตรงหน้าผากเบาๆ ทหารม้าเหล็กอักษรทมิฬตามเขาออกจากจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ปิดประตูใหญ่ลง

ทูตผู้ถือคำสั่งหนุ่มคนนี้ถึงได้โล่งอก พิงประตูทองสัมฤทธิ์ ทำเสียงจิ๊ๆ ถอนหายใจ “ส่งคนแซ่หนิงกลับจวน ไม่อยากเชื่อว่าจะเจอกับศึกเดือดเช่นนี้…ข้าก็คิดว่าเจ้านี่จะครองรักกับแม่นางสวีดั่งสวรรค์สรรค์สร้าง ไม่นึกเลยว่าในจวนยังซ่อนหญิงงามไว้อีก”

ซ่งอีเหรินที่เอาหลังพิงประตูทองสัมฤทธิ์รู้สึกถึงสายตาแข็งกระด้างจากข้างกายตน จูซามัดผมเสร็จแล้ว แต่มือข้างหนึ่งยังอยู่ในท่าทางจับปิ่นปักผม พร้อมจะดึงปิ่นปักผมไม้ทุกเมื่อ

ซ่งอีเหรินนึกถึงความคมของปิ่นปักผมนั้นแล้ว

เขาก็ถอนหายใจ “ไม่ได้อิจฉา…แค่แม่นางสวีคนนี้งดงามมากจริงๆ”

จูซาขยับมือออกเงียบๆ นางพลิกตัวขึ้น กลุ่มทหารม้าเหล็กขึ้นม้าตาม

ทหารม้าเหล็กอักษรทมิฬออกเดินทางไปช้าๆ

“แม่นางสวีงดงามมากจริงๆ” จูซาที่เงียบพูดน้อยมาตลอดเอ่ยเสียงเบา “เด็กสาวนั่นในจวนหนิงอี้ก็งดงามเช่นกัน แต่ไม่เท่านาง”

ซ่งอีเหรินหน้าแข็งทื่อขึ้นทีละนิด เขาพูดเสียงเบามาก “ทุกคนต่างบอกว่าดอกไม้งามมีพิษถึงแก่ชีวิต…คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องโกหกเลย”

จูซามองซ่งอีเหรินด้วยความตกใจเล็กน้อย “แม่นางสวีไม่เหมือนหญิงงามงูแมงป่อง ข้าว่านางเหมือนกระดาษขาวมากกว่า…”

ระหว่างทาง คนส่วนใหญ่ในทหารม้าอักษรทมิฬมองสวีชิงเยี่ยนด้วยอาการน้ำลายสอ แม้แต่ม้าสงครามพวกนี้ยังลดความระแวงลง เข้าไปทักทายแม่นางเผ่ามนุษย์ที่มีความงดงามยิ่งคนนี้ น่าเสียดายที่มีทั้งสองท่านอยู่ จึงไม่กล้าพูดคุยกับสวีชิงเยี่ยน

สวีชิงเยี่ยนดูแลหนิงอี้ตลอดทาง จนกลับถึงเมืองหลวง ระหว่างทางจูซาคุยกับนางเป็นบางครั้ง จูซาไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็น แต่สวีชิงเยี่ยนงดงามมากจริงๆ และยังมีกลิ่นอายยั่วให้คนมาเด็ดในตัว…คุยกันหลายประโยค จูซาก็ชอบแม่นางสวีคนนี้มาก

“กระดาษขาวก็เรื่องของกระดาษขาว”

ซ่งอีเหรินนั่งเรียบร้อย ม้าสงครามใต้หว่างขาเขาเดินหน้าไปช้าๆ ดอกไม้โรยรารอบกายเกลื่อนกลาด สามเดือนโลกมนุษย์มีทิวทัศน์สวยงาม เมืองหลวงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสุรา

“เบื้องหลังแม่นางสวีไม่ธรรมดา”

จูซาเงียบลง

นางรู้ว่าคำพูดของคุณชายตนมีน้ำหนักมากเพียงใด

ด้วยฐานะและตำแหน่งของซ่งอีเหริน มีน้อยคนมากที่จะให้เขาเอ่ยว่า ‘มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา’ ได้

“นี่เป็นครั้งแรกที่สวีชิงเยี่ยนได้พบปะผู้คน” ซ่งอีเหรินหรี่ตา ก่อนพูดอย่างเกียจคร้าน

“หากไม่ใช่เพราะหนิงอี้พานางมาอยู่ตรงหน้าเรา เจ้าจะไม่รู้จักคนเช่นนี้เลย”

“ก่อนหน้านี้ เจ้ากล้าเชื่อหรือไม่ว่าโลกนี้จะมีคนงามเช่นนี้”

จูซาส่ายหน้าช้าๆ

“หากไม่ได้หนิงอี้พานางออกมา นางก็จะไม่เห็นแสงสว่าง แสงสว่างก็จะไม่เห็นนางเช่นกัน…เพราะว่านางคือเนื้อต้องห้ามขององค์ชายสามต้าสุยหลี่ไป๋หลิน เก็บไว้มานานมากแล้ว” ซ่งอีเหรินยิ้ม สองแก้มมีลักยิ้มบางๆ “ที่เจ้าคิดว่านางเหมือนกระดาษขาว ก็เพราะเดิมทีนางเป็นกระดาษขาว”

“พี่ชายของแม่นางสวีคนนี้คือนักวางแผนแดนประจิมสวีชิงเค่อ เผยแววออกมาแล้ว ได้เป็นหนึ่งในสามราชครูเมืองหลวง” บุรุษหนุ่มหัวเราะเบาๆ “ตามแผนการเดิมของแดนประจิม หญิงงามที่งามจนไม่อาจมองได้คนนี้ควรจะถวายให้กับวังหลังวันล่าเหยื่อ…แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม”

จูซางุนงงเล็กน้อย

“ฝ่าบาทได้เห็นนางอยู่ข้างกายหนิงอี้ อยู่บนยอดภูเขาแดงด้วยตาท่านเอง” รอยยิ้มของซ่งอีเหรินมีความรู้สึกยากจะคาดเดาเสี้ยวหนึ่ง เขาพูดปลง “ตอนนี้ด้วยตัวตนของสวีชิงเยี่ยน ไม่ใช่น้องสาวของสวีชิงเค่อ และไม่ใช่หญิงงามแห่งแดนประจิม…และยิ่งไม่ใช่เครื่องบรรณาการที่หลี่ไป๋หลินส่งเข้าวัง”

จูซามีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย พูดงึมงำ “คุณชาย หมายความว่า…”

ซ่งอีเหรินพยักหน้า เขาพลิกตัวลงจากม้า โยนเงินทองแดงไปเหรียญหนึ่ง ตอนที่พลิกตัวขึ้นมา ในมือเปลี่ยนเป็นขนมถังหูลู่ไม้หนึ่งเหมือนกับเล่นกล

เขากินไปคำใหญ่ พูดไม่ชัด “ฝ่าบาทมองทีเดียวก็ถูกใจนาง คนเช่นนี้ วางไว้ที่ใดจะต้องเปล่งแสงสว่างแน่นอน…”

จูซาคลึงระหว่างคิ้วตนเอง

นางยังย่อยคำพูดเมื่อครู่ของซ่งอีเหริน

หากบอกว่าก่อนหน้านี้สวีชิงเยี่ยนเป็นเนื้อต้องห้ามของหลี่ไป๋หลิน…ตอนนี้ฝ่าบาทถูกใจนาง นี่หมายความว่าอย่างไร

“อ๋อ”

นางเงยหน้าขึ้น มองขนมถังหูลู่ที่ถูกกินไปครึ่งหนึ่งส่งมาตรงหน้าตน บุรุษหนุ่มคนนั้นไม่รู้ขึ้นมาข้างหลังตนตั้งแต่เมื่อไร

ซ่งอีเหรินยิ้มแป้น

“อ้าปาก กินขนม”