ตอนที่ 232 อารองของภรรยาถือเป็นอารองของเขาด้วย

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 232 อารองของภรรยาถือเป็นอารองของเขาด้วย

ตอนที่ 232 อารองของภรรยาถือเป็นอารองของเขาด้วย

หลินเซี่ยถามเซี่ยไห่ถึงรูปถ่ายของเซี่ยเหลย

เซี่ยไห่ตอบกลับอย่างเร่งรีบ “มีสิๆ ฉันพกรูปถ่ายของแม่และพี่ใหญ่ติดตัวไปด้วยตอนที่คิดว่าจะออกไปตามหาคนชื่ออิงจื่อในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้คนในเทศมณฑลซีเหอสามารถยืนยันตัวตนของพี่ใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น”

เซี่ยไห่ค้นดูกระเป๋าสตางค์ของเขา ไม่นานก็เจอรูปถ่าย

เขาชี้ไปที่คนสองคนในรูปขาวดำซีดจาง แล้วพูดกับหลินเซี่ยว่า “ดูสิ นี่แม่ฉันเอง ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือพี่ใหญ่ของฉัน”

หลินเซี่ยเห็นว่าในรูปมีคนแค่สองคน จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมคุณกับพี่สาวไม่มาถ่ายรูปด้วยล่ะคะ?”

เซี่ยไห่อธิบาย “รูปนี้ถ่ายตอนที่พี่ใหญ่ของฉันกำลังจะออกเดินทางไปยังหน่วยรบ ตอนนั้นเราสองคนยังไม่เลิกเรียนก็เลยตามมาไม่ทัน”

เซี่ยไห่มองดูรูปถ่าย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายนุ่มนวล “ดูสิ พี่ใหญ่หน้าตาหล่อมาก ตัวสูงโปร่ง สมัยเขาอายุเท่าเธอ ในเวลานั้นเขาทุ่มเทสุดความสามารถและกายใจเพื่อรับใช้มาตุภูมิ เป็นคนที่มีจิตใจกล้าหาญมาก”

หลินเซี่ยมองไปที่ชายหนุ่มในรูปถ่าย เวลานั้นเขาน่าจะอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ คิ้วรูปดาบ จมูกโด่ง ใบหน้าฉายแววแห่งความเด็ดเดี่ยว ทั้งหล่อเหลาและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน

เช่นเดียวกับที่เซี่ยไห่อธิบายความเป็นเขา เขาดูเป็นคนที่มีจิตวิญญาณกล้าหาญสูงมาก

หนุ่มหล่อคนนี้คือพ่อแท้ ๆ ของเธองั้นเหรอ?

ตัวเธอเองก็อายุยี่สิบปีเหมือนกัน เมื่อได้เห็นรูปถ่ายของชายหนุ่มในวัยยี่สิบต้นที่เหมือนกับตัวเอง แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะยอมรับว่าเขาเป็นพ่อ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอเฝ้าดูรูปนั้น ความรู้สึกอบอุ่นแปลก ๆ ก็ค่อย ๆ ชัดเจนในใจ ดูเหมือนว่าเธอจะสัมผัสได้

ใครบ้างไม่เคยผ่านช่วงเวลาหนุ่มสาวมาก่อน?

ต้องโทษความโหดร้ายของสงครามที่พรากความสุขของครอบครัวคนทั้งสามไป

โชคดีที่ชีวิตของพ่อของเธอไม่ได้ถูกกำหนดไว้ให้เหลือเพียงความทรงจำนิรันดร์กาลเหมือนในภาพนี้

เขายังมีชีวิตอยู่ และเธอยังคงมีโอกาสได้เห็นกับตาว่าเดี๋ยวนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง

ดวงตาของเธอเปียกชื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ขณะที่เธอถือรูปถ่าย ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาให้กับมัน

เธอรู้ตัวว่าควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว จึงรีบปาดน้ำตา แล้ววางรูปถ่ายลงบนโต๊ะกาแฟ

เซี่ยไห่พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเสียใจว่า “เซี่ยเซี่ย ฉันไม่มีรูปถ่ายพี่สาวของฉันสมัยยังสาวเลย ไม่อย่างนั้นถ้าฉันเอารูปให้ดูว่าตอนนั้นหล่อนหน้าตาเป็นยังไง เธอจะต้องตกใจมากแน่ เพราะเธอดูเหมือนหล่อนสมัยยังวัยรุ่นจริง ๆ ถ้าเธอไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ใหญ่ของฉัน งั้นทำไมเธอถึงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับพี่สาวฉันขนาดนี้?”

ในความเป็นจริง หลินเซี่ยได้ยืนยันตัวตนและสถานะของตัวเองในใจตั้งนานแล้ว

เธอเป็นลูกสาวของเซี่ยเหลย และเป็นครอบครัวเดียวกันกับเซี่ยไห่

แต่เมื่อหลิวกุ้ยอิงปฏิเสธที่จะยอมรับ จึงยังเป็นเรื่องยากสำหรับหลินเซี่ยและเซี่ยไห่ที่จะยอมรับว่าเป็นญาติกันล่วงหน้า

เธอถามเซี่ยไห่ด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล “ตอนนี้พี่ใหญ่ของคุณเป็นยังไงบ้างคะ?”

เซี่ยไห่ตอบว่า “ดีขึ้นมากแล้ว ขาข้างหนึ่งพิการก็จริง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเขา โชคร้ายที่เขาสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระหว่างที่เขาพักฟื้นร่างกายอยู่ในฮ่องกง เขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยรอรับการดูแลเพียงอย่างเดียว เขาสนใจศาสตร์การเขียนพู่กันเป็นพิเศษ ฝึกจนเก่งด้านนี้มาหลายปี ความรู้แตกฉานไปหลายด้าน ได้ยินแม่เล่าให้ฟังว่าช่วงนี้เขาสนใจฝึกทำอาหารด้วย เพราะอยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ในฐานะทหารผ่านศึก นี่ถือว่าเขามีกำลังใจที่แข็งแกร่งมากในการเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต เขาไม่เคยสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เลย”

“ดีแล้วค่ะ”

เธอรู้สึกโล่งใจมากที่ได้ยินข่าวดังกล่าว แม้ว่าเขาจะสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็ยังจดจำคนในครอบครัวได้ ไม่ได้มีชีวิตที่ยากลำบากอะไร

เมื่อหลินเซี่ยเริ่มถามเกี่ยวกับพี่ชายคนโตของเขา น้ำเสียงของเซี่ยไห่ก็เต็มไปด้วยความเอาใจใส่ และพูดอย่างไม่แน่นอนว่า “เซี่ยเซี่ย ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างพี่ใหญ่ของฉันกับแม่เธอกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา นับจากนี้เราสองคนจะกลายเป็นญาติกันต่อแต่นี้ไป ฉัน… ฉันถือเป็นอารองของเธอนะ”

เฉินเจียเหอที่อยู่ด้านข้างแทบจะพ่นน้ำที่เขาเพิ่งดื่มออกมา

อารมณ์ซึ้งละมุนของเซี่ยไห่ถูกเฉินเจียเหอรบกวน เขาจ้องเขม็งมองไปที่เฉินเจียเหอพลางกัดฟันพูด “ยอมรับไม่ได้หรือไง? นายเองก็ต้องเรียกฉันว่าอาเขยเหมือนกัน”

เฉินเจียเหอ “…”

แม้ว่าหลินเซี่ยจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อมองดูใบหน้าของเซี่ยไห่ ก็ยังเป็นเรื่องยากที่เธอจะเอ่ยปากเรียกเขาว่าอาได้อย่างสนิทใจ

เพราะเธอยังไม่เคยพบกับพ่อผู้ให้กำเนิดเลยด้วยซ้ำ

หลินเซี่ยมองเขาและยิ้มอย่างเชื่องช้า “รอจนกว่าความสัมพันธ์จะได้รับการยืนยันซะก่อน ดีไหมคะ?”

เซี่ยไห่ไม่ได้บังคับ เขาพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลง “ได้สิ”

“เซี่ยเซี่ย ฉันอยากไปเจอแม่เธอ” เซี่ยไห่ดูจริงจังเมื่อพูดถึงหลิวกุ้ยอิง “ฉันอยากจะอธิบายให้หล่อนฟังแทนพี่ใหญ่ของฉัน เพื่อให้เธอเข้าใจสถานการณ์ของเขา จริง ๆ แล้วพี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะทอดทิ้งให้หล่อนเผชิญความยากลำบากตามลำพังเลย แต่ตอนนั้นพี่ใหญ่สูญเสียความทรงจำและพิการ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ด้วยซ้ำ ถ้าเขาไม่มีปัจจัยพวกนี้เป็นอุปสรรค คงไม่มีทางที่จะไม่ติดต่อเธอ”

หลินเซี่ยเสนอว่า “ไว้ฉันจะไปหาหล่อนพรุ่งนี้ แล้วไปลองเกริ่น ๆ กับหล่อนเอาไว้ก่อน พี่ชายฉันและคนอื่น ๆ ยังไม่รู้ตัวตนของฉันเลย ดังนั้นถ้าคุณเจอหลินจินซานแล้วช่วยเก็บเป็นความลับไว้ก่อนนะคะ เราสองแม่ลูกจะหาโอกาสบอกพวกเขาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

เซี่ยไห่พยักหน้า “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”

เฉินเจียเหอดูนาฬิกาข้อมือ แล้วพูดกับเซี่ยไห่ว่า “ดึกมากแล้ว เราแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

“อืม งั้นฉันขอตัวกลับไปนอนก่อน แล้วค่อยคุยกันพรุ่งนี้”

วันนี้เซี่ยไห่เหน็ดเหนื่อยมากจากการเดินทางไกล แม้ว่าเขาจะเหนื่อยแค่ไหน แต่อารมณ์ของเขาก็ยังร่าเริง

จากการสนทนากับหลินเซี่ยเบื้องต้น ทำให้เขาแน่ใจแล้วว่าหลินเซี่ยเป็นลูกสาวของพี่ใหญ่เขาจริง ๆ เธอจึงเป็นหลานสาวของเขาด้วย

เมื่อนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวที่ฉลาดและสะสวยตรงหน้าแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้นและยินดีอย่างอธิบายไม่ถูก

เขามีหลานสาวแล้ว

ในที่สุดตระกูลเซี่ยก็มีหลานรุ่นที่สาม

พอมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในครอบครัว ชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความหวัง

พี่น้องสามคนของตระกูลเซี่ยต่างก็ครองตัวเป็นโสด แม่ผู้ชราของพวกเขาเอาแต่ทอดถอนหายใจตลอดทั้งวัน ขอร้องให้เขามีหลานชายให้นางสักคน

ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจะมีความสุขแค่ไหนเมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีหลานสาวที่โตเป็นสาวแล้วตกลงมาจากท้องฟ้า

ต่อไปนี้นางจะได้ไม่กระตุ้นให้เขาและพี่สาวแต่งงานและมีหลานให้นางอีกต่อไป

เซี่ยไห่รู้สึกว่าชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” หลินเซี่ยพูดกับเซี่ยไห่ “เถ้าแก่เซี่ย ฉันขอรูปถ่ายใบนั้นไว้ได้ไหมคะ? จะได้เอามันไปให้แม่ดูเพื่อขอคำยืนยันอีกแรง”

“ได้สิ” ว่าแล้วเซี่ยไห่ก็ยื่นรูปถ่ายเก่า ๆ ไปให้เธอ

เฉินเจียเหอเดินลงไปส่งเซี่ยไห่ที่ชั้นล่าง เซี่ยไห่ดึงเฉินเจียเหอเข้ามาใกล้ และพูดอย่างวิตกกังวลว่า “เหล่าเฉิน ฉันรู้สึกว่าหลานสาวไม่ค่อยกระตือรือร้นในตัวอาคนใหม่เท่าไหร่เลย นายเองก็ช่วยพูดหว่านล้อมให้เธอยอมรับฉันได้เร็ว ๆ ด้วยล่ะ”

เฉินเจียเหอจ้องมองเขา แล้วตอบกลับเบา ๆ “สมควรไหมที่จะเรียกหล่อนว่าหลานสาว แต่เรียกฉันว่าเหล่าเฉิน?”

เซี่ยไห่กลอกตาใส่ “นายนี่ก็ร้อนใจอยากถูกลดสถานะจากสหายมาเป็นหลานเขยจริง ๆ เลยนะ?”

เฉินเจียเหอไม่ได้สนใจเลยว่าก่อนหน้านี้ตัวเองจะเคยเป็นสหายรุ่นน้องของเซี่ยไห่มาก่อน

โดยหลักแล้วอารองของภรรยาก็ถือว่าเป็นอารองของเขาเช่นเดียวกัน

เขาค่อนข้างพึงพอใจที่ตัวเองกลายเป็นคนรุ่นหลังและดูอ่อนเยาว์ลงจากสถานะดังกล่าว

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เหลือแค่ยอมรับแล้วล่ะว่าใช่จริงไหม ถ้าใช่จริงๆ ก็ยินดีที่เซี่ยเซี่ยเจอครอบครัวที่แท้จริงเสียที

พี่เหอดูตื่นเต้นกับสถานะที่ดูเด็กกว่าเดิมนะคะ

ไหหม่า(海馬)