หวังเฉินหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ยื่นมือออกไปบีบใบหน้าเล็กที่ทั้งขาวและนวลเนียนของน้องสาว กล่าวว่า “มีใครเอาเรื่องแต่งงานทำเป็นเรื่องเล่นอย่างเจ้าหรือเปล่า บุรุษกลัวเดินทางผิด สตรีกลัวแต่งคนผิด เจ้าตั้งใจสักหน่อยได้หรือไม่”
หวังซีหน้ามุ่ย กล่าวว่า “ผู้ใดจะรู้เรื่องในอนาคตกัน? จิตใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงง่ายที่สุด ข้ามีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า”
หวังเฉินกลับเห็นด้วยกับข้อนี้ อดกล่าวไม่ได้ว่า “เช่นนั้นเจ้าลองพูดมา ตอนนี้เจ้าคิดอย่างไร เหตุใดถึงลังเลตัดสินใจไม่ได้”
ไม่เสียแรงที่เป็นพี่ชายใหญ่ของนาง เพียงครู่เดียวก็จับใจความสำคัญได้แล้ว
หวังซีลอบชูนิ้วโป้งให้หวังเฉิน ยู่ปากกล่าวว่า “ข้ากลัวจะนำปัญหามาให้ที่บ้าน”
หวังเฉินจัดเสื้อผ้าปรับท่านั่งให้เรียบร้อย เตรียมตัวคุยความในใจกับน้องสาว ผลปรากฏว่ารอไปแล้วกว่าครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ได้ยินประโยคนี้
เขาอดประหลาดใจไม่ได้ “แค่เรื่องนี้หรือ”
หวังซีพยักหน้า กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าปกติพวกท่านต่างไม่ค่อยคุยเรื่องในบ้านกับข้านัก แต่ข้าเดินทางจากสู่จงมาถึงจิงเฉิง ก็นับว่าเดินทางมาหมื่นลี้ พอจะมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าอย่างมากครอบครัวพวกเราก็มีอิทธิพลที่สู่จงเท่านั้น กระทั่งข้ามาถึงจิงเฉิงถึงได้ค้นพบว่า คนที่มั่งคั่งเหมือนครอบครัวพวกเรานั้นมีไม่มาก แต่ครอบครัวพวกเรากลับมีชื่อเสียงไม่เท่าเหล่าพ่อค้าที่เจียงหนาน”
กล่าวถึงตรงนี้ นางหยุดครู่หนึ่ง หันไปขยิบตาให้พี่ชายอย่างซุกซน กล่าวว่า “มิใช่เพราะข้ากลัวว่าจะทำให้งานของที่บ้านเสียหายหรอกหรือ”
หวังเฉินมองน้องสาวที่แม้จะดื้อรั้นไปบ้างแต่ก็รู้จักหนักเบาดีตรงหน้าแล้ว อดกล่าวชมนางสองประโยคไม่ได้ว่า “ไม่เลวๆ สมองยังใช้การได้อยู่”
หวังซีหัวเราะฮ่าเสียงดัง
แต่หวังเฉินกลับกล่าวขึ้นว่า “นอกจากเรื่องนี้แล้ว เจ้ายังมีความกังวลอะไรอีก”
“นี่ยังไม่เพียงพอให้ข้ากังวลหรือเจ้าคะ” หวังซีถาม
นางรักพี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง รวมถึงรักบิดามารดา และรักท่านปู่กับท่านย่ามากกว่าใคร เมื่อเทียบกับตัวนางเองแล้ว คนเหล่านี้สำคัญกว่า
ฟังจากคำพูดและน้ำเสียงนั่น หวังเฉินพอจะรู้ปมในใจของหวังซีคร่าวๆ แล้ว เขากล่าว “ถ้าไม่พิจารณาเรื่องในบ้าน เจ้ารู้สึกว่าเฉินลั่วเหมาะสมหรือไม่”
“พอได้เจ้าค่ะ!” หวังซีตรึกตรองอย่างละเอียด กล่าวว่า “เขาหน้าตาดี ทั้งเรื่องกินเรื่องเล่นก็เข้ากับข้าได้ดี ถึงแม้บางครั้งจะพูดจาไม่น่าฟังไปบ้าง แต่ข้าให้เขาทำอะไร เขาก็จัดการได้อย่างเหมาะสมตลอด ทำให้คนสบายใจ”
นี่ก็ถือว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว
หวังเฉินกล่าว “เช่นนั้นเจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ หากเจ้ากับเฉินลั่วอยู่ด้วยกันไม่ได้จะทำอย่างไร”
“นี่มีอะไรยากเจ้าคะ!” หวังซีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างอยู่! อย่างมากก็กลับสู่จงไปเกาะพี่ชาย!” ขณะที่กล่าวหวังซียังวิ่งไปอ้อนพี่ชายครู่หนึ่งอีกด้วย
หวังเฉินไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
แน่นอนเขาอยากให้น้องสาวได้เจอคนที่นางชอบสักคนหนึ่ง จากนั้นใช้ชีวิตด้วยกันอย่างเป็นสุขไปตลอดชีวิต
แต่หวังซีที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ นางกลัวเฉินลั่วอับจนหนทาง จึงช่วยหาคนมาจำแนกผงหอมให้เขา กลัวเฉินลั่วเสียเปรียบ ก็ช่วยหาจอมยุทธ์มาให้เขา แค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาระหว่างชายหญิงแล้ว แต่หวังซียังเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่
หวังเฉินกล่าว “เช่นนั้นก็ดี รอผ่านพ้นปีใหม่แล้ว เจ้าตามข้ากลับสู่จงก็แล้วกัน ถึงเวลาพวกเราจะเลือกสักคนหนึ่งจากตระกูลที่รู้จักมักคุ้นกันดี กำหนดเรื่องงานแต่งของเจ้าให้แล้วเสร็จ”
ได้กลับสู่จงหวังซีย่อมดีใจ นางขานรับด้วยความยินดี
แต่เมื่อคิดว่าต้องหาใครสักคนที่เหมาะสมจากตระกูลที่รู้จักมักคุ้นกันดีมาแต่งงานด้วยแล้ว นางก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
ในบรรดาบุรุษที่นางรู้จักไม่มีสักคนที่เหมาะสม หาไม่แล้วมารดาของนางคงไม่ให้นางเดินทางมาจิงเฉิง
หรือนางต้องเลือกคนที่มีความสูงที่สุดจากหมู่คนแคระมาสักคนจริงๆ
หวังซีมีสีหน้าเป็นทุกข์ ถามพี่ชายว่า “ข้าเลือกจากครอบครัวที่ไม่รู้จักได้หรือไม่เจ้าคะ”
หวังเฉินกล่าว “ทำไมหรือ เจ้าไม่ถูกใจสักคนเลยหรือ”
หวังซีกล่าวซ้ำๆ ว่า “เจ้าค่ะ”
หวังเฉินกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเคยบอกว่าหากอนาคตขายไม่ออก จะหาสักคนหนึ่งจากบรรดาญาติผู้พี่มิใช่หรือ”
นางเคยกล่าวเช่นนี้ด้วยหรือ
หวังซีลูบท้ายทอย อยากจะโต้แย้งเหลือเกิน แต่พี่ชายใหญ่ของนางได้ชื่อว่าเป็นคนความจำดี นางไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองไม่เคยกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นมาก่อน
หวังเฉินมองสีหน้าสับสนของน้องสาวแล้วไม่กล่าวอะไร
สุดท้ายก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
หวังซีในอดีต ต่อให้มีเรื่องกังวลใจ ก็เป็นแค่ความกังวลใจเรื่องวันนี้สวมชุดสีแดงหรือสวมชุดสีเขียวดี ไปเที่ยวสวนหรือไปพายเรือดี และกังวลอยู่ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น แต่ไม่ใช่กังวลเรื่องผลได้ผลเสียของตัวเอง มีท่าทางเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรดีอย่างที่เป็นในตอนนี้
ช่างตรงกับที่ว่าสตรีเติบใหญ่ต้องออกเรือนนั่นจริงๆ!
หวังเฉินถอนหายใจอยู่ในใจ
แน่นอนว่าเขาฉวยโอกาสทำให้หวังซีแต่งงานไปอย่างมึนๆ งงๆ ได้ แต่ก็กลัวว่าสักวันที่หวังซีคิดได้ขึ้นมา จะรู้สึกปล่อยวางไม่ได้ รู้สึกค้างคาใจ เช่นนั้นน่าเป็นห่วงกว่าตอนนี้ที่ไม่รู้ว่าควรจะแต่งกับผู้ใดเสียอีก
หวังเฉินอยากให้น้องสาวมีชีวิตราบรื่นไปตลอดชีวิต ไม่อยากให้นางมีกินมีใช้อย่างสุขสบายทว่าในใจกลับเหมือนตกนรก รู้สึกไม่สมปรารถนาไปตลอดกาล
เขาเองก็ไม่ได้บีบคั้นหวังซี กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าไปตรึกตรองด้วยตัวเองดีๆ ดูก็แล้วกัน”
พิจารณาผลได้ผลเสียกระจ่างแล้วตัดสินใจเลือกตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ย่อมดีกว่าเลือกไปอย่างสับสนมึนงงแล้วเสียใจภายหลังในอนาคต
หวังซีรู้สึกขุ่นใจเล็กน้อย
เหตุใดพี่ชายถึงโยนเรื่องนี้กลับมาให้นางอีกแล้ว ไหนบอกว่าจะช่วยตัดสินใจให้นาง พูดไม่เป็นคำพูด
นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงมาจิงเฉิงหรือเจ้าคะ”
หวังเฉินมองน้องสาวอย่างไร้ทางเลือกครั้งหนึ่ง
หากมิใช่เพราะเรื่องของนาง เขาจะทิ้งงานหนึ่งกองใหญ่อย่างไม่คิดแล้วเร่งเดินทางมาจิงเฉิงทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไร
หวังซีเห็นเช่นนั้นแล้วยิ้มกระดาก ถูจมูกพลางกล่าว “พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องร้อนใจด้วยเรื่องของข้า ค่อยมาตอนฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็เหมือนกัน”
หวังเฉินไม่รู้จะชมน้องสาวว่าฉลาดสักประโยคหนึ่งหรือด่าน้องสาวว่าเด็กโง่ประโยคหนึ่งดี
การค้าของตระกูลหวังขยับขยายใหญ่โต มีกิจการหลายอย่างที่ร่วมลงทุนกับผู้อื่น ให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ด้วยกลัวว่าถ้าชื่อเสียงโดดเด่นเกินไปจะถูกคนเล่นงาน จึงไม่ค้ากำไรกับเงินแผ่นดินมาโดยตลอด ครั้งนี้ได้รับงานส่งเสบียงให้จวนชิงผิงโหวมาอย่างกะทันหัน แม้นกล่าวว่าอีกฝ่ายจะสร้างเล่ห์ดักเอาไว้หลายอย่าง แต่เมื่อเขาสงบใจลงมาคิดดีๆ แล้ว พบว่าการค้าครั้งนี้เหมือนมีคนยื่นมาให้เขาโดยตรงก็ไม่ปาน
เขาเข้าใจว่าหวังซีทำอะไรบางอย่างที่จิงเฉิงเสียอีก
อย่างไรเสียสุดท้ายแล้วหวังซีไม่ใช่คนทำการค้าจริงๆ
เขากลัวหวังซีถูกหลอก หรือไม่ก็เพื่อครอบครัวแล้ว หวังซีจะจ่ายค่างวดกับอะไรไปด้วยความใจร้อน
หวังเฉินไม่มีแก่ใจสนใจการค้านี้อีก เร่งเดินทางมาจิงเฉิงทั้งวันทั้งคืน
กระทั่งเขามาถึงทงโจว ใกล้จะเข้าเมืองหลวงแล้ว ถึงได้รู้ว่ามีเรื่องที่จ่างกงจู่ถูกใจหวังซี ต้องการให้หวังซีไปเป็นบุตรสะใภ้เกิดขึ้นด้วย
เขาก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น
รู้สึกว่าไม่ว่าจะมองอย่างไรเรื่องนี้ก็น่าสงสัยเป็นอย่างมาก เขาอดคิดมากขึ้นมาไม่ได้
เมื่อมาถึงจิงเฉิง ยังไม่ได้ไปร้านของตระกูลหวังที่จิงเฉิงเขาก็ตรงมาที่จวนหย่งเฉิงโหว ถึงขั้นไม่ส่งป้ายชื่อมาแจ้งล่วงหน้าและไม่ไปคารวะผู้อาวุโสของจวนหย่งเฉิงโหวก่อนตามหลักที่สมควรกระทำ แต่แอบตรงมาที่สวนร่มหลิวเลย
กล่าวถึงสวนร่มหลิว เขายังไม่ได้สำรวจที่อยู่ของน้องสาวดีๆ เลย
หวังเฉินมองสำรวจไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน
แม้นเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่สถานที่อยู่ของหวังซียังคงอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ มุมห้องวางต้นส้มจี๊ดที่มีผลส้มสีทองอร่าม บนโต๊ะน้ำชาใช้เชือกสีแดงผูกดอกดารารัตน์เอาไว้ บนโต๊ะตัวยาววางส้มหัตถ์พระพุทธเจ้าส่งกลิ่นหอมสดชื่นประดับเอาไว้ เบาะรองนั่งสีแดงเข้มบนเก้าอี้มีเท้าแขนหนาและนุ่มกว่าเบาะรองนั่งทั่วๆ ไป แค่มองก็รู้ว่าเป็นความชอบของหวังซี ม่านผ้าไหมผืนเรียบหนาหนัก ตรงปลายมุมแต่ละที่เย็บราชสีห์เล่นลูกกลมสีเขียวเข้มเอาไว้ นั่นเป็นสิ่งที่หวังซีเรียนมาจากอาสะใภ้ห้าที่แต่งเข้าตระกูลพวกเขามาจากเจียงหนาน...หากไม่มองดีๆ เขายังคิดว่าตัวเองนั่งอยู่ในเรือนชั้นในของหวังซีที่สู่จงเสียอีก
ดูแล้วน้องสาวมีชีวิตที่ไม่เลวนัก
หวังเฉินลอบพยักหน้า กล่าวกับหวังซีเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าส่งจดหมายเร็วไปให้ท่านปู่กับท่านย่าแล้ว สะพานที่พวกท่านเคยผ่านมากมายกว่าถนนที่พวกเราเคยเดินนัก เรื่องนี้ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจเลือกอย่างไร พวกเราล้วนมีทางออก เจ้าเพียงตัดสินใจเลือกตามที่เจ้าคิดก็พอ หาไม่แล้วความตรากตรำอันเหนื่อยยากที่ผ่านมาเหล่านั้นพวกเราจะทำไปเพื่ออะไร”
มิใช่เพื่อเป็นโล่กำบังให้คนในครอบครัวในยามคับขันหรอกหรือ
หวังเฉินไม่พูดอะไรมากความอีก ตามความเห็นของเขาแล้ว ต่อให้แต่งงานกับเฉินลั่วก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหวังซีไม่อยากแต่ง เขาก็ไม่มีทางพูดชักนำหวังซีอย่างแน่นอน
ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา “ข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าวผู้อาวุโสจวนหย่งเฉิงโหว เป็นความผิดของข้าเอง เช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้ว พรุ่งนี้จะให้คนส่งป้ายขอเยี่ยมมาให้ ค่อยไปคารวะหย่งเฉิงโหวในวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย พวกเราพี่น้องก็จะได้เจอกัน ได้คุยเรื่องการตัดสินใจของเจ้าดีๆ ด้วย”
หวังซีดูแคลนหย่งเฉิงโหว ไม่อยากให้พี่ชายต้องกลายเป็นคนรุ่นเด็กของหย่งเฉิงโหวเพราะนาง ที่ยามเจอหย่งเฉิงโหวต้องโค้งคำนับให้อย่างนอบน้อม นางกล่าวว่า “อย่างไรจวนหย่งเฉิงโหวก็ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาอยู่แล้ว หากพี่ใหญ่ไม่มาหา พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าท่านมาถึงจิงเฉิงแล้ว ท่านอย่ามาเลยดีกว่า มีเรื่องอะไร เรียกข้าไปหาก็พอ”
พี่ชายใหญ่ของนางมีลุงของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากท่านลุงของพี่ชายใหญ่จะรักพี่ชายใหญ่ของนางมากแล้ว ยังให้ความสำคัญมากอีกด้วย ไม่เหมือนหย่งเฉิงโหวที่ตัวเองหาได้มีความสามารถอะไร ทว่ากลับเย่อหยิ่งจนดวงตาขึ้นไปอยู่กลางศีรษะ
หวังเฉินเป็นคนสุภาพนุ่มนวลกว่า เขาลูบผมของน้องสาวยิ้มๆ กล่าวว่า “เห็นแก่หน้าของพวกเจ้า ข้าเองก็ต้องมาคารวะหย่งเฉิงโหวสักครั้งถึงจะถูก”
“ข้าก็แค่ไม่อยากให้ท่านต้องมารองรับอารมณ์เพราะข้า!” หวังซียู่ปาก
หวังเฉินหัวเราะไม่เถียงกับหวังซีอีก
เขารู้ความคิดของน้องสาวดี ก็เลยยิ่งไม่อยากให้ผู้อื่นมาตำหนิน้องสาวเพราะเขา
หวังเฉินออกจากประตูหลังของจวนหย่งเฉิงโหวไปโดยไม่พูดอะไรอีก เดินทางไปร้านค้าของตระกูลหวัง
หลงจู๊ใหญ่ตรวจรายการบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้ว หอบสมุดบัญชีหนึ่งกองรอหวังเฉินอยู่ในห้องหนังสือ
หวังเฉินเห็นแล้วกล่าวเย้าเขาว่า “เจ้าทำหน้าที่หลงจู๊ใหญ่ได้ไม่ได้เรื่องจริงๆ! นี่ข้ายังไม่ทันได้พักหายใจเลย เจ้าก็ให้ข้าดูบัญชีแล้ว รีบร้อนเกินไปหน่อยแล้วกระมัง”
หลงจู๊ใหญ่ชื่นชมหวังเฉินเป็นอย่างมาก แล้วก็รู้จักหวังเฉินมาสิบกว่าปีแล้ว นอกจากความสัมพันธ์ฉันนายบ่าวแล้ว ยังมีความเคารพนับถือด้วย เขาเองก็ไม่ปิดบังความคิดของตัวเอง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดว่าท่านจะรีบดูบัญชีให้เสร็จ จะได้มีเรี่ยวแรงและเวลาเหลือไปจัดการเรื่องของคุณหนูใหญ่!”
หวังเฉินหัวเราะดังลั่น ถือเป็นการยอมรับสิ่งที่หลงจู๊ใหญ่กล่าวมา
หลังจากผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว เขากับหลงจู๊ใหญ่นั่งตรวจบัญชีอยู่ในห้องบัญชี ทว่าในใจกลับลอยไปคิดเรื่องหวังซีบ่อยๆ เขาถามหลงจู๊ใหญ่ว่า “ตกลงแล้วเฉินลั่วผู้นั้นเป็นคนเช่นไร แล้วถ้อยคำของจ่างกงจู่นั่นมาจากที่ใด ยังมีคุณชายเจ็ดสกุลปั๋วอีก เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าเขาส่งของไปให้อานั่วอยู่เนืองๆ? บัดนี้สถานการณ์ของจวนชิ่งอวิ๋นป๋อเป็นอย่างไรบ้าง สองพยัคฆ์ขับเคี่ยวกัน พวกเรามีโอกาสอะไรหรือไม่”
นี่คุณชายใหญ่กลัวว่าคุณหนูใหญ่จะไม่ยอมแต่งกับเฉินลั่ว เลยหาทางดึงจวนชิ่งอวิ๋นป๋อเข้ามาร่วมด้วย อยากใช้ประโยชน์จากจวนชิ่งอวิ๋นมาต่อกรกับจ่างกงจู่ แล้วให้ตระกูลหวังได้ประโยชน์อยู่ตรงกลางอย่างนั้นหรือ
หลงจู๊ใหญ่เล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ให้หวังเฉินฟังทั้งหมด
ด้านเฉินลั่ว ตอนที่หวังเฉินให้คนนำป้ายขอเยี่ยมไปส่งที่จวนหย่งเฉิงในวันรุ่งขึ้นเขาถึงรู้ว่าหวังเฉินมาถึงจิงเฉิงแล้ว
เขาถามหลิวจ้งด้วยความประหลาดใจว่า “มิใช่บอกว่ายื้อเขาไว้ที่เจิ้นเจียงหรอกหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงมาอยู่จิงเฉิงได้ คงไม่ใช่ว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไรกับงานที่กรมกลาโหมหรอกกระมัง”
………………………………………………………